สร้างวัด สืบต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา





สร้างวัด
สืบต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา


เมื่อครั้งพุทธกาล หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงมีเวลาสั่งสอนธรรมะแก่มหาชน ๔๕ ปี ในช่วงแรก ๆ ที่ยังมีพระภิกษุไม่มากและยังไม่มีวัด พระภิกษุต้องแยกย้ายกันจาริกไปในที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต่อมาพระพุทธศาสนาเริ่มเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนมากขึ้น ทำให้ญาติโยมต้องการฟังเทศน์ฟังธรรมและอยากบำเพ็ญบุญกุศล จึงมีการสร้างวัดขึ้นในเมืองต่าง ๆ เพื่อเป็นสถานที่พักของพระภิกษุ ผู้เป็นเนื้อนาบุญ

วัดใหญ่ในครั้งพุทธกาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็คือ วัดพระเชตวันและวัดบุพพาราม ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงสาวัตถี เมืองใหญ่ที่เจริญด้วยเศรษฐกิจและมีพลเมืองมากมาย ทั้ง ๒ วัดนี้ เป็นสถานที่ที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ ตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑-๔๔ เป็นเวลาถึง ๒๐ กว่าพรรษา

วัดพระเชตวันที่สร้างโดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในครั้งพุทธกาล รองรับพระภิกษุได้นับหมื่นรูป รองรับญาติโยมได้เป็นแสนคน ภายในมีพระคันธกุฎี ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเสนาสนะสำหรับพระเถระและพระสงฆ์สาวก มีสระโบกขรณี มีศาลา ที่จงกรม ที่พักกลางวัน ที่พักกลางคืน ฯลฯ นอกจากนี้ อาณาบริเวณวัดยังได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามสะอาดสะอ้าน สมเป็นสถานที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ราคาสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดสูงถึง ๑๘ โกฏิ ค่าที่ดินอีก ๑๘ โกฏิ ค่าทำบุญฉลองวัดเป็นเวลา ๙ เดือน อีก ๑๘ โกฏิ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๕๔ โกฏิ (๕๔๐ ล้านกหาปณะ) คิดเป็นเงินปัจจุบันหลายหมื่นล้านบาท

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้สร้างวัดพระเชตวันได้รับการสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลายผู้ถวายทาน



ส่วนวัดบุพพารามที่สร้างโดยมหาอุบาสิกาวิสาขา มีปราสาทชื่อมิคารมาตุปราสาท เป็นที่ประทับของพระบรมศาสดาและพระสงฆ์สาวก ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างสวยงามและประณีต คุมการก่อสร้างโดยพระมหาโมคคัลลานะ ตัวปราสาทมี ๒ ชั้น มีห้องพัก ๑,๐๐๐ ห้อง บนหลังคาปราสาทมีสถานที่เก็บน้ำสร้างด้วยทองคำ จุน้ำ ๖๐ ถัง รวมค่าก่อสร้างเป็นเงิน ๙ โกฏิ ค่าที่ดิน ๙ โกฏิ ทำบุญฉลองวัดนาน ๔ เดือน เป็นเงิน ๙ โกฏิ รวมทั้งสิ้น ๒๗ โกฏิ (๒๗๐ ล้านกหาปณะ)

มหาอุบาสิกาวิสาขาได้รับการสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าอุบาสิกา ทั้งหลายผู้ถวายทาน

วัดทั้ง ๒ แห่งนี้ นอกจากจะเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระศาสนาในยุคนั้นอีกด้วย กล่าวคือ เมื่อพระภิกษุในวัดต่าง ๆ ออกพรรษาแล้ว ก็จะส่งตัวแทนไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และพักอยู่ที่วัดพระเชตวันระยะหนึ่ง เพื่อเรียนรู้พระธรรมคำสอนและข้อบัญญัติต่าง ๆ เมื่อท่องจำคำสอนต่าง ๆ ได้แม่นยำแล้ว จึงกราบบังคมทูลลากลับวัด ในระหว่างการเดินทาง เมื่อท่านแวะพักตามวัดต่าง ๆ ก็จะเปิดประชุมสงฆ์ เพื่อแจ้งข่าวว่า ขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยอะไรอีกบ้าง มีพระธรรมคำสอนอะไรบ้าง เมื่อคณะสงฆ์ในวัดนั้น ๆ ทราบแล้วก็จะทรงจำไว้ แล้วนำไปกระจายต่อ ๆ กันไป เป็นผลให้พระภิกษุทั้งแผ่นดินรู้พระธรรมวินัยที่พระศาสดาบัญญัติขึ้นมาใหม่อย่างครบถ้วน ทำให้ท่านสามารถรักษาพระวินัยได้เท่าเทียมกัน มีผลให้คณะสงฆ์เป็นเอกภาพ เป็นปึกแผ่น ทำให้พระพุทธศาสนายืนยงมาจนทุกวันนี้ ดังนั้น การมีวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อลมหายใจของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง


ในยุคปัจจุบัน หากจะฟื้นฟูศีลธรรมโลก จะนำความเจริญรุ่งเรืองกลับมาสู่พระศาสนาอีกครั้งดังเช่นพุทธกาล ก็จำเป็นต้องมีวัดใหญ่ ที่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นศูนย์รวมในการบริหารงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารของการคณะสงฆ์ เป็นสถานที่ที่พระภิกษุและชาวพุทธจากทั่วโลกมาพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง ความเป็นปึกแผ่น และความมีเอกภาพของพระพุทธศาสนา

ที่สำคัญ วัดขนาดใหญ่ก็เปรียบเสมือนโรงเรียนสอนศีลธรรมขนาดใหญ่ ที่สามารถรองรับทั้งครูสอนศีลธรรมและประชาชนที่จะมาเรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก ยิ่งวัดใหญ่มากเท่าไร ก็ยิ่งรองรับคนได้มากเท่านั้น และเมื่อคนจำนวนมากมีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นปึกแผ่นของพระพุทธศาสนา ก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว




เมื่อพุทธบริษัท ๔ เป็นหนึ่งเดียวกัน
ความเป็นปึกแผ่นของพระพุทธศาสนาก็บังเกิดขึ้น


ด้วยเหตุนี้ วัดพระธรรมกายจึงดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานทุกสิ่งขึ้น เพื่อรองรับงานเผยแผ่พระศาสนาแบบครบวงจร ซึ่งขณะนี้ การก่อสร้างสำเร็จลุล่วงไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังมีบางโครงการอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน และบางโครงการกำลังจะเริ่มดำเนินงาน ซึ่งทุกโครงการจะสำเร็จลุล่วงไม่ได้เลย หากปราศจากความร่วมแรงร่วมใจของพุทธศาสนิกชนผู้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะทุกสิ่งที่สร้างขึ้นในวัดล้วนเกิดจากทรัพย์ของสาธุชนผู้มีศรัทธา และเห็นประโยชน์ในการทำงานพระศาสนาทั้งสิ้น


ท่านสาธุชนผู้มีบุญทั้งหลาย การที่พวกเราได้มาเกิดในช่วงนี้ เรียกว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของเรา ที่ไม่มีอนาถบิณฑิกเศรษฐีและมหาอุบาสิกาวิสาขามาเหมาสร้างวัด ทำให้เรามีโอกาสสร้างบุญใหญ่ในครั้งนี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้รับการสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายผู้ถวายทาน แต่วิหารทานของเราก็เป็นทานที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ และจะมีอานิสงส์อันไพศาลให้ผู้ถวายสมบูรณ์พร้อมทุกสิ่ง

นอกจากนี้ การสร้างความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรืองแก่พระพุทธศาสนา และสืบต่ออายุพระศาสนาให้สถิตสถาพรยั่งยืนนาน อยู่เป็นหลักชีวิตแก่อนุชนรุ่นหลัง  ยังเป็นบุญอันมหาศาล ที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิตของเราทั้งในปัจจุบันชาติ (ดังที่หลาย ๆ ท่านได้ประสบกับตนเองมาแล้ว) และในภพชาติเบื้องหน้า ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อให้ความเจริญแก่พระพุทธศาสนาแล้ว ความเจริญก็หันเข้าสู่ตัว”


การก่อสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์ฯ


ดังนั้น จึงขอเรียนเชิญทุกท่านที่ปรารถนาความสุขความเจริญ มาร่วมกันก่อสร้างศาสนสถานทุกสิ่งให้สำเร็จครบถ้วนตามเป้าหมาย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ ความสุขความเจริญทั้งหลายก็จะย้อนกลับคืนมาสู่ตัวเรา ดังคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ข้างต้น



Cr. พราวน้ำเพชร
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๘  เดือนตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๔
สร้างวัด สืบต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา สร้างวัด  สืบต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:42 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.