อัศจรรย์วันมาฆบูชา
หากย้อนไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อนในยุคพุทธกาลนี้
ประวัติศาสตร์การประชุมพระสาวก ครั้งที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา
ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ไม่มีครั้งใดเกินการมารวมตัวของพระอริยสาวก
๑,๒๕๐ รูป ในวันเพ็ญมาฆปุณณมี ณ
วัดเวฬุวันมหาวิหาร เรียกว่า "มหาสาวกสันนิบาต" คือ การชุมนุมของพระสาวกเป็นการประชุมที่อัศจรรย์ไม่เหมือนการประชุมครั้งใด ที่เรารู้จักกันดีว่า "จาตุรงคสันนิบาต" หรือการประชุมที่มีองค์พิเศษ ๔ ประการ
ได้แก่
๑. เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือนมาฆนักษัตร (เดือน ๓)
๒.
ภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญา
ไม่มีแม้แต่รูปเดียวที่จะเป็นพระปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
หรือพระอรหันต์ธรรมดา คือ หมดกิเลสแต่ไม่มีคุณวิเศษอื่นใด
๓. ล้วนเป็นภิกษุที่เป็นเอหิภิกขุ
นั่นก็คือ พระพุทธเจ้าประทานการบวชให้ด้วยพุทธานุภาพ ปรากฏเป็นบรรพชิตทันใด ไม่มีรูปใดที่ทำการปลงผมด้วยมีดโกนหรือมีผู้อื่นบวชให้เลย
๔. เป็นการประชุมวาระเร่งด่วนฉับพลัน
ที่ไม่มีการนัดหมายมาก่อนล่วงหน้า
ในอรรถกถามหาปทานสูตรได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญนี้เอาไว้ว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เวทนาปริคคหสูตรแก่ทีฆนขปริพาชก
ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร ณ ถ้ำสูกรขาตา ภูเขาคิชฌกูฏ
ฝ่ายพระสารีบุตรได้ส่งจิตไปตามพระเทศนาจึงบรรลุสาวกบารมีญาณ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพอทรงทราบว่า ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็เสด็จเหาะไปปรากฏพระองค์
ณ วัดเวฬุวัน ส่วนพระเถระก็เหาะไปปรากฏตัว ณ วิหารเวฬุวันเช่นกัน
จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประกาศโอวาทปาฏิโมกข์"
ข้อความนี้บ่งบอกว่า
พระศาสดามิได้ตรัสสั่งนัดหมายประชุมใด ๆ
กับพระสารีบุตรผู้แม้จะอยู่ใกล้ตัวพระองค์ก็ตาม แต่พระเถระก็สามารถทราบถึงภารกิจต่อไปด้วยตนเอง
ไม่ต้องกล่าวถึงภิกษุที่ต้องเข้าประชุมนอกจากนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากพระพุทธองค์
เพราะท่านจะมีปกติแยกกันบำเพ็ญสมณธรรมตามที่ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นในวัดหรืออยู่นอกวัดเวฬุวันก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับท่านเหล่านั้นเพราะทุกองค์ล้วนแต่มีญาณวิเศษแก่กล้า
สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ได้เร็วไว และกระดิกจิตมาแบบอจินไตย
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่มีการประสานการชุมนุมกันอย่างรวดเร็วเหนือกว่าเทคโนโลยีหรือพาหนะใด
ๆ ในโลก เพราะการเหาะเหินเดินอากาศ หรือหายตัวไปมาถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีฤทธิ์
มาฆบูชา
วันรวมพลทหารกล้ากองทัพธรรม
สาวกสันนิบาต...แห่งวันมาฆปุณณมีนี้
ถือเป็นการ "รวมพลสถาปนากองทัพธรรมครั้งแรก" เพราะพระพุทธเจ้าทรงรอคอยการบรรลุอรหันต์ของพระสารีบุตรผู้จะมาเป็นธรรมเสนาบดีก่อน
เมื่อทรง ทราบว่าท่านบรรลุแล้ว ก็ทรงให้มีการประชุมสาวกผู้ทรงฤทธิ์ในวันเพ็ญมาฆะนั้นทันที
เพื่อประกาศ "โอวาทปาฏิโมกข์" หรือยุทธศาสตร์การเผยแผ่คำสอนอย่างเป็นทางการ
ที่พระสาวกต้องยึดถือไว้เป็นหลักปฏิบัติ ดุจการประชุมใหญ่ของเหล่าบรรดาขุนพลในการจัดทัพ..ก่อนเคลื่อนเข้าประจัญศึก
แต่ถ้าจะย้อนกลับขึ้นไปอีกในหลายพุทธันดรที่ผ่านมา
จะพบว่าสาวกสันนิบาตไม่ได้มีเฉพาะแต่ในยุคพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเราเท่านั้น
แต่เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตอีกด้วย
หากแต่ต่างกันที่ปริมาณพระสาวกและจำนวนครั้ง เช่น
ในยุคของพระพุทธเจ้าบางพระองค์มีถึง ๓ ครั้ง หรือบางพระองค์มีเพียงครั้งเดียว
และแต่ละครั้งก็จะมีพระอรหันต์เอหิภิกขุทั้งสิ้นจำนวนมากมายยิ่งนัก
เกินการคาดเดามาชุมนุมกันเป็นมหาสาวกสันนิบาต
ซึ่งจะยกตัวอย่างยุคของพระพุทธเจ้าเพียงบางพระองค์ พอให้เห็นภาพตามได้ ดังต่อไปนี้
พระเรวตะพุทธเจ้า
ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวกจำนวนเกินที่จะนับได้
ณ สุธัญญวดีนคร
ครั้งที่
๒ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ณ เมขลนคร
ครั้งที่
๓ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
พระติสสะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต
๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก
๑๐๐,๐๐๐ รูป ณ ยสวดีนคร
ครั้งที่
๒ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก ๙,๐๐๐,๐๐๐ รูป ณ นาริวาหนนคร
ครั้งที่
๓ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘,๐๐๐,๐๐๐ รูป ณ เขมวดีนคร
พระปุสสพุทธเจ้า
ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก
๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป ณ กัณณกุชชนคร
ครั้งที่
๒ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก ๕,๐๐๐,๐๐๐ รูป ณ กรุงกาสี
ครั้งที่
๓ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสาวก ๔,๐๐๐,๐๐๐ รูป
พระกกุสันธพุทธเจ้า
ทรงประชุมสาวกสันนิบาตเพียงครั้งเดียว และทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ พระสาวก ๔๐,๐๐๐ รูป ณ สวนป่าอิสิปตนมิคทายวัน
กรุงกัณณกุชชนคร
ส่วนโอวาทปาฏิโมกข์
อันเป็นหัวใจแห่งสาวกสันนิบาตที่ทรงประทานในครั้งนี้
ก็นับว่าอัศจรรย์ยาวนานเหมือนส่งทอดต่อ ๆ กันมาไม่ขาดสาย
เพราะล้วนมีเนื้อความเหมือนกันทุกพระองค์ มิใช่เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
ดังที่เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า แม้อายุกาลของแต่ละพระองค์จะต่างกัน
แต่เนื้อความพระโอวาทนั้นเหมือนกันทุกประการ
สังเกตได้จากประโยคสุดท้ายในแต่ละบทสวดโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งจะมีคำว่า "นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"
มาฆบูชา
วันรวมพลนัดสำคัญ
ทหารใหม่แห่งกองทัพธรรม
วันมาฆบูชาของปีนี้
จะตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เพราะเป็นปีอธิกมาสตามจันทรคติและนับเป็นปีพิเศษที่ไม่เหมือนปีไหนมาก่อน
จะเป็นอัศจรรย์มาฆบูชาที่ยากจะลืมเลือน ซึ่งมิได้มีแต่เพียงโคมประทีปนับแสนดวงเท่านั้น
แต่จะมีพุทธบุตรกองพลสถาปนาแสนรูป จาก ๓๓๐ กว่าวัดศูนย์อบรม ทั่วประเทศ
ซึ่งเกิดจากการทุ่มเททำหน้าที่ของยอดกัลยาณมิตร
ในการเชิญชวนชายไทยมาบวชฝึกฝนอบรมตนอย่างดี รวมทั้งพุทธบุตรอีกมากมายจากทุกมุมโลก
ที่จะมาชุมนุมด้วยสีจีวรเหลืองทองอร่ามตา เป็นมหาสมาคมเต็มลานมหารัตนวิหารคด
เพื่อน้อมระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ผ่านบทสวดโอวาทปาฏิโมกข์
แสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา
ให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่อัศจรรย์ในวันมาฆบูชาโลก ดั่งพลิกโฉมหน้าจำลองประวัติศาสตร์
ย้อนยุคไปให้คล้ายการชุมนุมใหญ่ยุคพุทธกาลทุกพุทธันดร
อีกทั้งยังถือเป็นการรวมพลนัดสำคัญที่จะรวมใจของมหาสมาคมพุทธบุตรและเหล่าชาวพุทธให้เป็นปึกแผ่นและเป็นหนึ่งเดียวกันในการสถาปนาฟื้นฟูศีลธรรมโลก
ก่อนจะก้าวไปสู่การร่วมแรงร่วมใจ ที่จะมาสถาปนาบวชพุทธบุตรล้านรูปในภายภาคหน้าและเผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก
พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย...
ถ้าปรารถนาให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
และรักษาไว้ให้คงอยู่เคียงคู่อนุชนรุ่นหลังสืบไป แม้พันธกิจนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ไม่ยาก ขอเพียงให้พุทธบริษัท ๔ เป็นหนึ่งเดียวกัน
เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว ถ้าพุทธบริษัทสามัคคีกลมเกลียวเหมือนเชือกฟั่น
ผู้ไม่ประสงค์ดีที่ต้องการให้พุทธศาสนาขาดสะบั้นไปจากผืนแผ่นดินไทย
ย่อมไม่สามารถทำได้ดังตั้งใจ วันมาฆบูชาที่จะถึงนี้
จึงเป็นวันสำคัญที่พุทธบริษัทไม่ควรพลาดในการมาร่วมฟัง “โอวาทปาฏิโมกข์” และประกาศให้ชาวโลกรับรู้ว่า พุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ณ
ประเทศไทย
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๘
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
อัศจรรย์วันมาฆบูชา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:06
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: