มหาอุบาสิกา ยอดหญิงอาชาไนย




บุรุษกับสตรี แม้ถูกมองว่าแตกต่างกันทางค่านิยม หรือฐานะสังคม แต่คุณค่าและคุณธรรมนั้น มิอาจกำหนดได้ด้วยเส้นกั้นเขตแบ่งเพศภาวะ เพราะเพศหญิงเป็นเพศมารดาที่นอกจากให้กำเนิดบุตรธิดาแล้ว ยังรังสรรค์สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในโลกมากมาย ดังเช่น พระนางมัลลิกา..สตรีคู่บุญของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางเป็นอุบาสิกาผู้มีปัญญามาก และตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ นางได้สร้างประวัติศาสตร์ “อสทิสทาน” ไว้ในพระศาสนา ทรงเป็นแสงสว่างให้กับพระสวามี อีกทั้งเป็นที่พึ่งแก่มหาชนยามต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้าย

มัลลิกามหาอุบาสิกา ผู้ให้กำเนิดอสทิสทาน

ครั้งหนึ่งในเมืองสาวัตถีได้มีเหตุการณ์บุญบันเทิงครั้งสำคัญ เป็นการแข่งขันถวายมหาทาน ระหว่างฝ่ายพระราชากับฝ่ายชาวเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อถวายมหาทานแด่พระบรมศาสดา เริ่มแรกพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเชื้อเชิญชาวเมืองให้มาดูความอลังการของทานที่จะถวาย ชาวเมืองเมื่อเห็นแล้วก็ไม่ยอมแพ้พระราชาจึงร่วมใจเตรียมมหาทานให้มากกว่าและประณีตกว่า ถวายแด่พระศาสดาเช่นกัน ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงดำริว่า "มหาทานสามัคคีของพวกชาวเมืองดีกว่าทานของเราเสียอีก" จากนั้นจึงทรงเพิ่มปริมาณและความประณีตของทานให้ยิ่งขึ้นไปอีก แม้ทั้ง ๒ ฝ่าย จะขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างนี้ ก็ไม่มีฝ่ายไหนทำให้อีกฝ่ายแพ้ได้อย่างเด็ดขาด ต่อมาในครั้งที่ ๖ ชาวเมืองได้เพิ่มจำนวนวัตถุทานไปร้อยเท่าพันเท่า โดยบอกได้คำเดียวว่า "เป็นทานสมบูรณ์แบบมีสิ่งของครบทุกอย่าง ไม่มีสิ่งไหนเลยที่จะไม่มีในทานนี้” ทำให้พระราชาทรงดำริว่า “หากเราแพ้ชาวเมือง เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม" ทรงครุ่นคิดหาหนทางชนะอย่างหนักจนมิอาจบรรทมหลับได้

เมื่อพระนางมัลลิกาผู้มีปัญญาทรงทราบเข้าก็ปลอบพระทัยว่า "หม่อมฉันมีวิธีที่จะทำให้ฝ่ายเราได้ชัยชนะเด็ดขาด" แล้วทูลแนะนำกุศโลบาย ทั้งยังทรงเป็นผู้คุมงานเอง ทำให้ทานของชาวเมืองไม่สามารถมาเปรียบเทียบได้อีกต่อไป มหาทานครั้งนี้จึงสำเร็จเป็น "อสทิสทาน" ทานที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเหมือน เป็นทานอมตะที่เลื่องลือจนถึงทุกวันนี้ ส่วนในอสทิสทานนั้นได้มีการจัดปะรำวงกลมใหญ่ใช้เป็นที่นั่งของพระอรหันต์ ๕๐๐ รูปโดยมีพระศาสดาเป็น ประธานสงฆ์ มีเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน มีช้าง ๕๐๐ เชือก เอางวงกั้นฉัตรให้พระสงฆ์ มีเรือทำด้วยทองคำ ๑๐ ลำ อยู่ท่ามกลางปะรำวงกลมนั้น ใกล้ที่นั่งของภิกษุขีณาสพทุก ๆ ๒ รูป จะมีเจ้าหญิงประจำอยู่ ๒ องค์ ทำหน้าที่บดของหอมและยืนโบกพัดถวาย ส่วนเจ้าหญิงองค์อื่น ๆ ที่เหลือ จะนำของหอมที่บดแล้ว ไปใส่ในเรือทองคำเพื่อให้ไออบของหอม ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายให้เป็นที่สบายกายของเหล่าภิกษุ และในอสทิสทานนี้พระราชาทรงบริจาคทรัพย์ถึง ๑๔ โกฏิ ทรงถวายของหาค่ามิได้ ๔ อย่างแด่พระศาสดา ได้แก่ เศวตฉัตร บัลลังก์ เชิงบาตร ตั่งเช็ดเท้า จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครจะทำทานเยี่ยงนี้ได้อีกแล้ว เพราะมีวัตถุทานที่พิเศษจากวัตถุทานทั่วไป ซึ่งในแต่ละพุทธันดรจะมีอสทิสทานเพียงครั้งเดียว และต้องเป็นสตรีเพศเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้นำสร้างสรรค์ภารกิจนี้ให้สำเร็จลงได้

ยอดมหาอุบาสิกาผู้ปลดเปลื้องให้สรรพสัตว์

นอกจากเรื่องอสทิสทาน พระนางมัลลิกายังมีคุณูปการต่อชีวิตจำนวนมาก ทรงไถ่ชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความตายและได้อิสรเสรีกลับคืนมา โดยเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังบรรทมอยู่ ทรงได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนโดยพูดได้เพียงคนละคำว่า "ทุ สะ นะ โส" ทรงสะดุ้ง ไม่อาจหลับลงได้จนสว่าง รุ่งเช้าทรงเรียกปุโรหิตมา สอบถามเหตุการณ์ว่าจะมีผลกระทบถึงชีวิตพระองค์หรือไม่ พราหมณ์ปุโรหิตมืดแปดด้าน แต่ก็แกล้งทำเป็นรู้ จึงทูลว่า "อันตรายใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นแก่พระองค์ แต่มีทางแก้ด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ" จึงมีพระดำรัสสั่งให้จับมัดคนและสัตว์มาชนิดละ ๑๐๐ อย่าง ได้แก่ ช้าง ม้า โค แม่โคนม แพะ แกะ ไก่ หมู เด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิง รวมแล้วกว่าพันชีวิต ซึ่งต่างก็รู้สึกทรมานและพากันร้องขอชีวิตตนเอง



เสียงร้องของมหาชนและเหล่าสัตว์ดังลั่นราวกับแผ่นดินสะเทือน ทำให้พระนางมัลลิกาเทวีผู้เป็นมเหสีทรงได้สดับ จึงเข้าเฝ้าสอบถามเรื่องราวของการบูชายัญนี้ พอพระนางฟังจบจึงทูลเตือนสติว่า "การได้ชีวิตมาจากความตายของคนอื่น พระองค์ทรงเคยเห็นที่ไหนบ้าง ทำไมทรงเชื่อคำของปุโรหิตผู้เขลาเบาปัญญา ขอพระองค์โปรดเสด็จไปทูลถามสาเหตุของเสียงร้องจากพระพุทธเจ้าเถิด"

ทั้งสองพระองค์จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับแล้วก็ตรัสปลอบโยนว่า "มหาบพิตรอย่าทรงหวาดหวั่น ไม่มีอันตรายน่าวิตกหรอก นั่นเป็นเสียงร้องของสัตว์นรกที่เคยทำกรรมชั่วไว้" และตรัสเล่าความเป็นมาว่า สัตว์นรกทั้ง ๔ อยู่ในนรกขุมโลหกุมภี ถูกต้มในหม้อยักษ์ลึก ๖๐ โยชน์ ลอยไปมาในน้ำร้อนเดือดพล่าน ใช้เวลาถึง ๓๐,๐๐๐ ปีนรกจึงจะจมถึงก้นหม้อ กว่าจะลอยถึงปากหม้อก็ต้องใช้เวลาอีก ๓๐,๐๐๐ ปีนรก  ดังนั้น เมื่อลอยขึ้นมาพร้อมกันก็อยากจะพูดถึงทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่พูดได้เพียงคนละ ๑ คำ ก็กลับจมลงเหมือนเดิม  สัตว์นรกทั้ง ๔ เคยเกิดเป็นลูกเศรษฐี เมื่อครั้งที่มนุษย์มีอายุยืนถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ตลอดชีวิตพวกเขาผลาญทรัพย์ด้วยการเที่ยวผู้หญิง รวมทั้งเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น เมื่อตายลงจึงไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ๑ พุทธันดร  ยังเหลือเศษกรรมจึงต้องมาชดใช้ในโลหกุมภีนรกอีก พระราชาครั้นได้สดับก็สลดพระทัย จึงทรงเลิกพิธีบูชายัญพร้อมปล่อยมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องจองจำไปหมดสิ้น ทำให้ชาวเมืองต่างสดุดีพระคุณของพระนางมัลลิกา ซึ่งช่วยให้ชีวิตจำนวนมากรอดพ้นจากทุกข์ตลอดชีวิต พระนางได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรแก่พระสวามีจนเป็นกำลังสำคัญทำนุบำรุงพระศาสนา



มหาอุบาสิกาแก้ว
พร้อมแล้วกับภารกิจฟื้นฟูศีลธรรมโลก

หนึ่งชีวิตนี้...มีลมหายใจ..เพื่ออีกหลายชีวิต คนแม้หนึ่งคน...ย่อมส่งผลต่อมหาชนนับไม่ถ้วน อุบาสิกาแก้วแม้เพียงหนึ่งคนสามารถเปลี่ยนชีวิตคน ให้มีศรัทธาและสัมมาทิฐิได้ซึ่งนับเป็นบุญใหญ่  หากชายใดที่อุบาสิกาแก้วชวนมาบวชและได้ซาบซึ้งภารกิจของตนในกองทัพธรรม พระศาสนาก็จะมีกำลังและได้วีรบุรุษผู้กล้าเพิ่มขึ้น โดยไม่มีวันที่จะหมดศาสนทายาทไปจากผืนแผ่นดินชาวพุทธ

อุบาสิกาแก้วแม้เพียงหนึ่งคน...ย่อมชวนคนบวชได้มากมาย งานพระศาสนาทั้งอดีตและปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่สำเร็จได้ก็เพราะได้แรงหนุนจากอุบาสิกาแทบทั้งนั้น  ดังคำของคุณครูไม่ใหญ่ที่ว่า "ปลานั้นแรงที่หาง" หากขาดใครคนใดคนหนึ่งในอุบาสิกาแก้วผู้กล้า ๕๐๐,๐๐๐ อัศจรรย์แล้ว ผังสำเร็จในการบวชพระ ๑๐๐,๐๐๐ รูป เข้าพรรษา ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยกำลังของอุบาสิกาแก้วอาชาไนยทุก ๆ ท่าน เพื่อผนึกกำลังขยายเครือข่ายตามชายผู้มีบุญมาบวชเป็นพระแท้พลิกฟื้นพระศาสนาให้รุ่งเรือง

ดังนั้น ขอเชิญชวนหญิงแท้ ๆ มาร่วมบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๕๐๐,๐๐๐ คน ที่จะถึงนี้ ซึ่งในวันคุ้มครองโลกปีนี้ ลานมหาธรรมกายเจดีย์จะเต็มไปด้วยพลังของนักบวชยิ่งใหญ่ ๒ พลัง คือ พลังพุทธบุตรพระสังฆาธิการหลายหมื่น และพลังมหาอุบาสิกาแก้วกว่าครึ่งล้าน นับเป็นปรากฏการณ์ให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้งที่ได้มีการแสดงพลังศรัทธาความดีอันบริสุทธิ์ทั้งภายนอกภายในแห่งเพศมารดาของโลก ผู้ฝึกตนจนงดงามทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งต่อไปเทรนด์ผู้หญิงที่มาแรงและดีที่สุด คือ การได้บวชเป็น “อุบาสิกาแก้ว” นั่นเอง

อุบาสิกาแก้ว คือ ผู้ยอยกพระพุทธศาสนา

อุบาสิกาแก้ว คือ ผู้จะมาทำวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง

อุบาสิกาแก้ว คือ ผู้จะมาช่วยขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำโลก

โลกจะเกิดสันติภาพเพราะพลังสตรีผู้ยกฐานะตนเองขึ้นสู่ความเป็น "มหาอุบาสิกาแก้ว" ดุจดั่งมหาอุบาสิกาในสมัยพุทธกาล



Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๙๐  เดือนเมษายน  พ.ศ. ๒๕๕๓
มหาอุบาสิกา ยอดหญิงอาชาไนย มหาอุบาสิกา  ยอดหญิงอาชาไนย Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:15 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.