เครือข่ายคนดีสัมพันธ์
เครือข่ายคนดีสัมพันธ์
โดย หลวงพ่อทัตตชีโว
วันนี้ หลวงพ่อมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาฝากพวกเรา ซึ่งจะมีความสำคัญกับพวกเราในอนาคต เนื่องจากได้ยินเสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยปรารภว่า พวกเราตามสมาชิกใหม่มาวัดน้อยเกินไป ถ้าท่านปรารภอย่างนี้แสดงว่าต้องมีเหตุ วันนี้หลวงพ่อจึงขอโอกาสเทศน์เรื่อง "การสร้างเครือข่ายคนดี" ให้แก่พวกเรา
ความสำคัญของเรื่องนี้ มีปรากฏให้เห็นชัดในพระไตรปิฎกอยู่ ๒-๓ เรื่อง เมื่อเราศึกษาเรื่องราวแล้ว เกิดความเข้าใจ เหมือนกับที่หลวงพ่อเข้าใจว่า ทำไมต้องสร้างเครือข่ายคนดี
๑. สร้างเครือข่ายคนดีมากพอ ระงับการจองเวรได้
เรื่องที่ ๑ ศึกแย่งชิงน้ำ
ในสมัยพุทธกาล เมืองกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ซึ่งเป็นเมืองพ่อเมืองแม่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองเมืองนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา มีแม่น้ำไหลผ่าน อาชีพหลักคือทำนา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ มีอยู่ปีหนึ่งอากาศแห้งแล้ง น้ำท่าไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างเคย ชาวเมืองทั้งสองฝ่ายเกิดการทะเลาะแย่งน้ำกัน เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตจนถึงระดับบ้านเมืองพระญาติทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นผู้ปกครอง ถึงกับยกกองทัพมา เพื่อเตรียมทำสงครามแย่งชิงน้ำกัน โดยต่างฝ่ายต่างถือเอาความรับผิดชอบที่ตัวเองมีต่อชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ เพราะเกรงว่า ถ้าเกิดความแห้งแล้งมากไปกว่านี้ ประชาชนในปกครองของตัวเองจะเดือดร้อน
เหตุการณ์นี้ไปปรากฏในข่ายพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงรีบเสด็จมาห้ามทัพ โดยตรัสถามกับพระญาติเพียงสั้น ๆ ว่า ระหว่างน้ำในแม่น้ำ กับเลือดในกายของพระญาติ อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน พระญาติทั้งสองฝ่ายตอบชัดเจนว่า เลือดมีค่ามากกว่า พระพุทธองค์จึงตรัสสรุปว่า ถ้าเลือดมีค่ามากกว่าน้ำ แล้วทำไมจึงเอาเลือดไปแลกกับน้ำล่ะ พระญาติทั้งหมดได้หยุดคิด แล้วต่างฝ่ายก็เลิกราถอยทัพกลับไป ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น
เรื่องที่ ๒ จองเวรข้ามชาติ
ในสมัยพุทธกาล มีหญิงคนหนึ่ง คลอดลูกออกมาครั้งใด จะมีนางยักษิณีมาจับเอาลูกไปกินหมดทุกครั้ง ครั้งสุดท้าย นางจึงอุ้มลูกหนีนางยักษ์มาที่เชตวันมหาวิหาร เพราะเขตวัดอยู่ในรัศมีคุ้มครองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางยักษิณีจึงตามเข้ามาไม่ได้
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องราวแต่หนหลังของคนทั้งสอง จึงเรียกทั้งสองเข้ามาไกล่เกลี่ย ทรงระลึกชาติหนหลัง เล่าอดีตชาติให้ฟังว่า ทั้งแม่ของเด็กและนางยักษ์ เคยเป็นคู่อาฆาตจองเวร ต่างฝ่ายต่างเกิดมาตามฆ่าลูกของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่รู้จบสิ้น และตกนรกกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว หากไม่พบพระพุทธองค์ จะไม่มีทางเลิกจองเวรกันได้ เมื่อทั้งสองรู้ที่มาที่ไปของสาเหตุการผูกอาฆาตแล้ว จึงได้คิดพร้อมทั้งอโหสิกรรมให้แก่กัน หลังเทศนาจบลงนางยักษิณีจึงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่นั้นมาก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
จากทั้ง ๒ เรื่องนี้ จะเห็นว่าคนเมื่อได้จองเวรกันแล้ว ยากเหลือเกินที่จะมาให้อโหสิกรรม จะทำได้ก็ต่อเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมานั่งต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระองค์ทรงเป็นประธานให้ แล้วระลึกชาติไปดูให้รู้ที่มาที่ไปของการผูกเวร ทั้งคู่จึงจะเต็มใจให้อโหสิกรรมให้กันและกัน แต่ถ้าชาตินั้นเกิดมาไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะทำอย่างไร มีทางเดียวคือ ทั้งคู่ต้องเข้าถึงพระธรรมกายในตัวแล้วอโหสิกรรมให้แก่กัน
พวกเราเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมผู้ที่จองเวรถึงได้ยอมความกัน เมื่อพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ?
เพราะว่าเขาเหล่านั้น ภพอดีตชาติ เคยได้พบพระองค์มาก่อน เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เคยเป็นลูกศิษย์ เคยเป็นญาติของพระองค์ เคยเกื้อกูลผูกพันกันมา เพราะฉะนั้น เมื่อเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไม่กี่คำในชาตินี้ ก็ทรงสามารถห้ามศึกได้ นี่คือฤทธิ์ของการสร้างเครือข่ายคนดีมามากพอ
๒. สร้างเครือข่ายคนดีน้อย ระงับการจองเวรไม่ได้
ถ้าหากสร้างเครือข่ายคนดีได้น้อย แล้วจะเป็นอย่างไร? หลวงพ่อก็อยากจะชี้แจงให้พวกเราเห็นภาพจากเหตุการณ์เหล่านี้
เรื่องที่ ๑ ศึกฆ่าล้างโคตร
เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นโกศลที่มีอำนาจมาก แม้แต่กรุงกบิลพัสดุ์ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของแคว้นนี้ ด้วยความที่พระองค์มีความรักเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก อยากเป็นพระญาติด้วย จึงไปสู่ขอธิดาของพระญาติของพระพุทธองค์ แต่พวกศากยวงศ์ ถือชั้นวรรณะจัด แทนที่จะให้ธิดาที่เกิดจากนางกษัตริย์ กลับเอาธิดาที่เกิดจากคนใช้ ซึ่งเป็นคนจัณฑาลมาให้อภิเษกสมรสแทน แล้วปกปิดเป็นความลับจนกระทั่งมีพระราชโอรสชื่อเจ้าชายวิฑูฑภะ
กาลต่อมาเจ้าชายวิฑูฑภะโตขึ้นจึงไปเยี่ยมพระเจ้าตาที่กรุงกบิลพัสดุ์ ไปถึงนอกจากจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ แล้วยังถูกเขาดูถูกว่าเป็นจัณฑาลอีกด้วย พระองค์พอรู้ความจริงเข้าก็โกรธมาก แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ เพื่อรอการแก้แค้น ต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงยกกองทัพเตรียมจะไปฆ่าล้างโคตรศากยวงศ์
พระพุทธองค์ทรงทราบในข่ายพระญาณ จึงทรงมาห้ามด้วยการมานั่งอยู่ที่กลางแดด พระเจ้าวิฑูฑภะทรงเห็นเข้าจึงถามเหตุแห่งการมาประทับนั่งที่นี่ พระองค์ตรัสว่า "ร่มเงาของพระญาติเย็นกว่าร่มไม้" พอได้ยินเช่นนี้ก็ได้คิด จึงยกทัพกลับไป
วันเวลาผ่านไป พระองค์นึกถึงความแค้นนี้ขึ้นมาได้ จึงยกทัพมาตีอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จมาห้ามอีก แล้วก็ยกทัพกลับไปอีก เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นถึง ๓ ครั้ง พอครั้งที่ ๔ พระองค์ดูแล้วว่า ห้ามไม่อยู่เลยต้องปล่อยให้ยกทัพไปฆ่าล้างโคตรศากยวงศ์จนหมด
หลวงพ่ออ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ได้ข้อคิดว่า ใครที่จองเวรกันมามากๆ แล้วในอดีตชาติก็ไม่เคยสร้างบุญมากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผูกพันกันมามากพอ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีเรื่องบาดหมางใจกันอีก แม้พระพุทธองค์ทรงมาห้ามเองก็ห้ามไม่อยู่ เพราะความผูกพันมีน้อย
เรื่องที่ ๒ คนงานทะเลาะกัน
อีกเรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อเจอมากับตัวเอง สมัยที่วัดของเรากำลังสร้างโบสถ์ ผู้รับเหมาก่อสร้างรายหนึ่ง เขาไม่ได้คัดคนงานมาดีเท่าที่ควร คนงานดื่มเหล้าแล้วก็มาทะเลาะต่อหน้าต่อตา หลวงพ่อจึงเข้าไปไกล่เกลี่ย หลวงพ่อก็คิดว่าห้ามอยู่แล้ว จึงเดินออกมา เพียงแค่หันหลังเท่านั้น เขากลับทะเลาะกันอีก
จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้หลวงพ่อได้ข้อคิดว่า ขนาดเราเป็นพระ ไปห้ามไปเตือน ยังไม่ฟัง นั่นแสดงว่า
๑) กำลังบุญของเรายังไม่พอ
๒) ความเคารพความเกรงใจของเขาที่มีต่อเรา ยังมีไม่พอ
คุณยายอาจารย์เคยบอกว่า คนที่จะไปห้ามไปเตือนใครได้นั้น ต้องมีบุญมากพอสมควร ถ้าคนบุญน้อยจะห้ามหรือเตือนใครๆ ก็ยาก เหมือนหิ่งห้อย แต่เมื่อไรที่บุญของเรามากกว่านี้ สว่างเป็นดวงตะวันขึ้นมา จึงจะไปห้ามเขาอยู่ การที่เขาจะมีบุญมากขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยเราไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้
การจะแก้ไขความพยาบาทของใครต่อใครได้ มีทางเดียวคือ เขาต้องเคยผูกพัน เคารพเชื่อฟังเราข้ามภพข้ามชาติ
งานเราที่จะต้องทำร่วมไปกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ก็คือ การรื้อวัฏสงสาร และหัวใจของการทำงานนี้ก็คือ การสร้างเครือข่ายคนดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยมีหลักว่า
ในการสร้างญาติธรรมหรือเครือข่ายคนดีนั้น เราต้องเอากำลังบุญ เอาความเมตตาและความปรารถนาดีของเรา ผูกเข้ากับคนหมู่มากให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยิ่งมากเท่าไรก็จะเป็นประโยชน์ต่อการรื้อสัตว์ขนสัตว์มากเท่านั้น ถ้าน้อยก็ไม่พอที่จะให้สัตวโลกเลิกจองเวรต่อกัน
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ขอให้พวกเราขยันมาช่วยกันสร้างเครือข่ายคนดีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าเป็นอย่างนี้ งานรื้อวัฏสงสารในภายภาคหน้าของหมู่คณะเราคงจะง่ายขึ้น และใช้เวลาน้อยลง
เรื่อง : พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ PDF
ในสมัยพุทธกาล เมืองกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ซึ่งเป็นเมืองพ่อเมืองแม่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองเมืองนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา มีแม่น้ำไหลผ่าน อาชีพหลักคือทำนา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ มีอยู่ปีหนึ่งอากาศแห้งแล้ง น้ำท่าไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างเคย ชาวเมืองทั้งสองฝ่ายเกิดการทะเลาะแย่งน้ำกัน เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตจนถึงระดับบ้านเมืองพระญาติทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นผู้ปกครอง ถึงกับยกกองทัพมา เพื่อเตรียมทำสงครามแย่งชิงน้ำกัน โดยต่างฝ่ายต่างถือเอาความรับผิดชอบที่ตัวเองมีต่อชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ เพราะเกรงว่า ถ้าเกิดความแห้งแล้งมากไปกว่านี้ ประชาชนในปกครองของตัวเองจะเดือดร้อน
เหตุการณ์นี้ไปปรากฏในข่ายพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงรีบเสด็จมาห้ามทัพ โดยตรัสถามกับพระญาติเพียงสั้น ๆ ว่า ระหว่างน้ำในแม่น้ำ กับเลือดในกายของพระญาติ อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน พระญาติทั้งสองฝ่ายตอบชัดเจนว่า เลือดมีค่ามากกว่า พระพุทธองค์จึงตรัสสรุปว่า ถ้าเลือดมีค่ามากกว่าน้ำ แล้วทำไมจึงเอาเลือดไปแลกกับน้ำล่ะ พระญาติทั้งหมดได้หยุดคิด แล้วต่างฝ่ายก็เลิกราถอยทัพกลับไป ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น
เรื่องที่ ๒ จองเวรข้ามชาติ
ในสมัยพุทธกาล มีหญิงคนหนึ่ง คลอดลูกออกมาครั้งใด จะมีนางยักษิณีมาจับเอาลูกไปกินหมดทุกครั้ง ครั้งสุดท้าย นางจึงอุ้มลูกหนีนางยักษ์มาที่เชตวันมหาวิหาร เพราะเขตวัดอยู่ในรัศมีคุ้มครองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางยักษิณีจึงตามเข้ามาไม่ได้
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องราวแต่หนหลังของคนทั้งสอง จึงเรียกทั้งสองเข้ามาไกล่เกลี่ย ทรงระลึกชาติหนหลัง เล่าอดีตชาติให้ฟังว่า ทั้งแม่ของเด็กและนางยักษ์ เคยเป็นคู่อาฆาตจองเวร ต่างฝ่ายต่างเกิดมาตามฆ่าลูกของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่รู้จบสิ้น และตกนรกกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว หากไม่พบพระพุทธองค์ จะไม่มีทางเลิกจองเวรกันได้ เมื่อทั้งสองรู้ที่มาที่ไปของสาเหตุการผูกอาฆาตแล้ว จึงได้คิดพร้อมทั้งอโหสิกรรมให้แก่กัน หลังเทศนาจบลงนางยักษิณีจึงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่นั้นมาก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
จากทั้ง ๒ เรื่องนี้ จะเห็นว่าคนเมื่อได้จองเวรกันแล้ว ยากเหลือเกินที่จะมาให้อโหสิกรรม จะทำได้ก็ต่อเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมานั่งต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระองค์ทรงเป็นประธานให้ แล้วระลึกชาติไปดูให้รู้ที่มาที่ไปของการผูกเวร ทั้งคู่จึงจะเต็มใจให้อโหสิกรรมให้กันและกัน แต่ถ้าชาตินั้นเกิดมาไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะทำอย่างไร มีทางเดียวคือ ทั้งคู่ต้องเข้าถึงพระธรรมกายในตัวแล้วอโหสิกรรมให้แก่กัน
พวกเราเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมผู้ที่จองเวรถึงได้ยอมความกัน เมื่อพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ?
เพราะว่าเขาเหล่านั้น ภพอดีตชาติ เคยได้พบพระองค์มาก่อน เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เคยเป็นลูกศิษย์ เคยเป็นญาติของพระองค์ เคยเกื้อกูลผูกพันกันมา เพราะฉะนั้น เมื่อเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไม่กี่คำในชาตินี้ ก็ทรงสามารถห้ามศึกได้ นี่คือฤทธิ์ของการสร้างเครือข่ายคนดีมามากพอ
๒. สร้างเครือข่ายคนดีน้อย ระงับการจองเวรไม่ได้
ถ้าหากสร้างเครือข่ายคนดีได้น้อย แล้วจะเป็นอย่างไร? หลวงพ่อก็อยากจะชี้แจงให้พวกเราเห็นภาพจากเหตุการณ์เหล่านี้
เรื่องที่ ๑ ศึกฆ่าล้างโคตร
เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นโกศลที่มีอำนาจมาก แม้แต่กรุงกบิลพัสดุ์ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของแคว้นนี้ ด้วยความที่พระองค์มีความรักเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก อยากเป็นพระญาติด้วย จึงไปสู่ขอธิดาของพระญาติของพระพุทธองค์ แต่พวกศากยวงศ์ ถือชั้นวรรณะจัด แทนที่จะให้ธิดาที่เกิดจากนางกษัตริย์ กลับเอาธิดาที่เกิดจากคนใช้ ซึ่งเป็นคนจัณฑาลมาให้อภิเษกสมรสแทน แล้วปกปิดเป็นความลับจนกระทั่งมีพระราชโอรสชื่อเจ้าชายวิฑูฑภะ
กาลต่อมาเจ้าชายวิฑูฑภะโตขึ้นจึงไปเยี่ยมพระเจ้าตาที่กรุงกบิลพัสดุ์ ไปถึงนอกจากจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ แล้วยังถูกเขาดูถูกว่าเป็นจัณฑาลอีกด้วย พระองค์พอรู้ความจริงเข้าก็โกรธมาก แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ เพื่อรอการแก้แค้น ต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงยกกองทัพเตรียมจะไปฆ่าล้างโคตรศากยวงศ์
พระพุทธองค์ทรงทราบในข่ายพระญาณ จึงทรงมาห้ามด้วยการมานั่งอยู่ที่กลางแดด พระเจ้าวิฑูฑภะทรงเห็นเข้าจึงถามเหตุแห่งการมาประทับนั่งที่นี่ พระองค์ตรัสว่า "ร่มเงาของพระญาติเย็นกว่าร่มไม้" พอได้ยินเช่นนี้ก็ได้คิด จึงยกทัพกลับไป
วันเวลาผ่านไป พระองค์นึกถึงความแค้นนี้ขึ้นมาได้ จึงยกทัพมาตีอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จมาห้ามอีก แล้วก็ยกทัพกลับไปอีก เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นถึง ๓ ครั้ง พอครั้งที่ ๔ พระองค์ดูแล้วว่า ห้ามไม่อยู่เลยต้องปล่อยให้ยกทัพไปฆ่าล้างโคตรศากยวงศ์จนหมด
หลวงพ่ออ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ได้ข้อคิดว่า ใครที่จองเวรกันมามากๆ แล้วในอดีตชาติก็ไม่เคยสร้างบุญมากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผูกพันกันมามากพอ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีเรื่องบาดหมางใจกันอีก แม้พระพุทธองค์ทรงมาห้ามเองก็ห้ามไม่อยู่ เพราะความผูกพันมีน้อย
เรื่องที่ ๒ คนงานทะเลาะกัน
อีกเรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อเจอมากับตัวเอง สมัยที่วัดของเรากำลังสร้างโบสถ์ ผู้รับเหมาก่อสร้างรายหนึ่ง เขาไม่ได้คัดคนงานมาดีเท่าที่ควร คนงานดื่มเหล้าแล้วก็มาทะเลาะต่อหน้าต่อตา หลวงพ่อจึงเข้าไปไกล่เกลี่ย หลวงพ่อก็คิดว่าห้ามอยู่แล้ว จึงเดินออกมา เพียงแค่หันหลังเท่านั้น เขากลับทะเลาะกันอีก
จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้หลวงพ่อได้ข้อคิดว่า ขนาดเราเป็นพระ ไปห้ามไปเตือน ยังไม่ฟัง นั่นแสดงว่า
๑) กำลังบุญของเรายังไม่พอ
๒) ความเคารพความเกรงใจของเขาที่มีต่อเรา ยังมีไม่พอ
คุณยายอาจารย์เคยบอกว่า คนที่จะไปห้ามไปเตือนใครได้นั้น ต้องมีบุญมากพอสมควร ถ้าคนบุญน้อยจะห้ามหรือเตือนใครๆ ก็ยาก เหมือนหิ่งห้อย แต่เมื่อไรที่บุญของเรามากกว่านี้ สว่างเป็นดวงตะวันขึ้นมา จึงจะไปห้ามเขาอยู่ การที่เขาจะมีบุญมากขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยเราไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้
การจะแก้ไขความพยาบาทของใครต่อใครได้ มีทางเดียวคือ เขาต้องเคยผูกพัน เคารพเชื่อฟังเราข้ามภพข้ามชาติ
งานเราที่จะต้องทำร่วมไปกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ก็คือ การรื้อวัฏสงสาร และหัวใจของการทำงานนี้ก็คือ การสร้างเครือข่ายคนดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยมีหลักว่า
ในการสร้างญาติธรรมหรือเครือข่ายคนดีนั้น เราต้องเอากำลังบุญ เอาความเมตตาและความปรารถนาดีของเรา ผูกเข้ากับคนหมู่มากให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยิ่งมากเท่าไรก็จะเป็นประโยชน์ต่อการรื้อสัตว์ขนสัตว์มากเท่านั้น ถ้าน้อยก็ไม่พอที่จะให้สัตวโลกเลิกจองเวรต่อกัน
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ขอให้พวกเราขยันมาช่วยกันสร้างเครือข่ายคนดีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าเป็นอย่างนี้ งานรื้อวัฏสงสารในภายภาคหน้าของหมู่คณะเราคงจะง่ายขึ้น และใช้เวลาน้อยลง
เรื่อง : พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ PDF
https://drive.google.com/file/d/1-GH37LtVWV9JrKJ74Brr0UuJgVWg1W_d/view
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202546/09YNB_4607/09YNB_4607.html
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ที่นี่
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202546/09YNB_4607/09YNB_4607.html
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ที่นี่
- ความเพียร โอวาทพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
- ผู้อยู่เบื้องหลัง
- เครือข่ายคนดีสัมพันธ์
- ความเคารพ อดทน และมีวินัย ทำให้คุณยายเป็นผู้มีคุณธรรมสูงสุด
- Carpenters เมืองไทย เปิดใจ เผยเคล็ดลับที่ทำให้จิตใจไม่อ่อนไหว
- วิธีป้องกันบริษัทล้มละลาย
- รวย! กะทันหันทันใช้
- เหล่ากอสมณะ...ผู้ได้โอกาส
- เปิดบันทึก รำลึกกฐิน
- เลิกบุหรี่ สุราเมรัย คือความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ
- ลูกพระราชฯ รวมใจบูชาธรรม สร้างอาคาร ๖๐ ปี พระราชฯ
- ประวัติท่านคุณานันทะ
- สมาธิ... พลังสู่ความสำเร็จ
- วิธีเพิ่มคุณค่าให้ชีวิต
เครือข่ายคนดีสัมพันธ์
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
21:08
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: