ผู้อยู่เบื้องหลัง



เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาหลวงพ่อธัมมชโย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖

ชีวิตในสังสารวัฏ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่คอยพลัดผันชีวิตให้เราเป็นไปในเรื่องราวต่างๆ มีกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นยิ่งกว่ากฎเหล็กทั้งหลายในโลกที่คอยบังคับบัญชาสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายอยู่ ใครๆ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แม้บุคคลนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทุกคนล้วนแต่ตกเป็นเชลยอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ถ้าไม่รู้หรือไม่ได้ศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม การดำเนินชีวิตในสังสารวัฏอันตรายมาก 

ชีวิตจะถูกเขาปั่นเหมือนจิ้งหรีดที่เขาเอามาปั่นหัวเล่น หรือถูกเขาเอาใส่ครกโขลกให้มีความทุกข์ทรมานตลอดเวลา บังคับให้เราทำไม่ดี ทั้งทางความคิด คำพูด และการกระทำ ทั้งบังคับและเอาวิบากมารองรับให้ไปทุกข์ทรมานในอบายอีกยาวนาน พอหมดกรรมจากอบายมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ทำให้ลืมเสียอีก ลืมเรื่องราวในอดีต ไม่เห็นเรื่องราวในอนาคต ไม่รู้เรื่องราวในปัจจุบัน มีชีวิตอยู่กันไปวันๆ ถูกบังคับใหม่ บังคับซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำอีก ลงไปอีก ขึ้นมาอีก วนเวียนกันอยู่ในสังสารวัฏอย่างนี้

แต่ถ้าหากว่า เป็นผู้รู้แต่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เราก็ยังเป็นประดุจเชลยผู้รู้ แม้จะอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมก็ยังสามารถประคองชีวิตให้รอดปลอดภัยได้ อย่างน้อยที่สุดก็จะทุกข์น้อยกว่าคนอื่นเขา จะสุขมากกว่าคนอื่น แล้วก็จะท่องเที่ยวอยู่ใน ๒ ภูมิเท่านั้น คือในมนุษยโลก กับในเทวโลก จากเทวโลกก็ลงมาในโลกมนุษย์ จากมนุษย์ไปเทวโลก

บุญบาปเขาชักใยกันอยู่เบื้องหลัง เราหนีไม่พ้น เขาสร้างเรื่องราวอะไรกันมาตั้งแต่เกิด ให้เป้าหมายเบี่ยงเบน ไม่รู้เรื่องบุญเรื่องบาป ให้ทำบาปแต่ไม่ให้สร้างบุญ แล้วก็ให้ไปวุ่นวายกับธุรกิจการงานและครอบครัว ให้เอาใจไปใช้แก้ปัญหาต่างๆ เพื่อให้หมดเวลากันไป พอปัญหาผ่อนคลายก็ดึงเอาไปสนุกสนานไปเพลิดเพลิน แล้วตอนสุดท้ายก็มาตัดสินกันด้วยบุญกับบาป

ตอนก่อนจะเดินทางไปสู่ปรโลก แทนที่จะตัดสินกันด้วยความชำนาญในอาชีพ ที่ตัวได้ฝึกฝนเลี้ยงชีพมาตลอดชีวิต หรือตัดสินจากการได้ครอบครองทรัพย์สิน มีลาภ ยศ สรรเสริญ พวกพ้องบริวาร หล่อ รวย สวย ฉลาดก็หาไม่ แต่กลับไปตัดสินกันที่หมองกับใส ซึ่งเกิดจากบุญและบาปเป็นบทสรุปงบดุลชีวิตในตอนนั้นว่า ใจใครจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง ถ้าใสก็ไปสุคติโลกสวรรค์ ถ้าหมองก็ไปอบาย

หมองกับใสขึ้นอยู่กับการกระทำของเราตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ถ้าทำบุญด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ใจก็จะผ่องใสไม่เศร้าหมอง ถ้าทำบาปใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเปิดช่องไหนให้ใจรับ อะไรที่ทำเป็นอาจิณกรรมทำบ่อยๆ เสพคุ้นบ่อยๆ มันคุ้นเคยกับความคิด พอนึกคิดสิ่งนั้นง่าย ภาพนั้นจะมาปรากฏก่อน จะมาฉายให้เราเห็นอย่างต่อเนื่องกันทีเดียว เดี๋ยวภาพบุญบ้าง ภาพบาปบ้างสลับกันไป บางช่วงภาพบุญยาว ภาพบาปสั้น บางช่วงภาพบาปยาว ภาพบุญสั้น สลับไปสลับมาอย่างนี้ แล้วเห็นอยู่คนเดียว กองเชียร์อยู่รอบข้างไม่เห็น แล้วก็พอภาพสุดท้ายของใครได้ภาพที่ดีก็ไปดี ใครได้ภาพที่กระทำไม่ดีก็ดึงดูดให้ไปอบาย นี่บทสรุปของชีวิตเขาสรุปกันตรงนี้

ชีวิตในปรโลก ถ้ามีบุญมากก็ไปมีความสุขในสุคติโลกสวรรค์มาก บางท่านท่องเที่ยวอยู่ในโลกสวรรค์เลย คือจากสวรรค์ชั้นหนึ่งไปชั้นสอง สองไปสาม ไปสี่ ไปห้า ไปหก หกแล้วย้อนลงมาใหม่ หลายเที่ยวก็มี เที่ยวเดียวก็มี อย่างนี้เขาเรียกว่า ท่องอยู่ในสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าบาปมากก็ท่องในอบายยาวนานทีเดียว ในมหานรกขุมต่างๆ จากขุมนี้ไปขุมโน้น ขุมโน้นไปขุมนี้ ขุมใหญ่ไปขุมบริวาร ขุมบริวารไปขุมใหญ่อีกแล้ว หรือขุมใหญ่ไปขุมใหญ่ หรือขุมบริวารไปขุมบริวาร สลับกันไปมา หรืออยู่ในขุมเดียวกันแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระกันเจอกันอีก หลุดจากนี้ไปเจอโน้น หลุดโน้นไปกันต่อๆ กันไป

กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็เป็นเวลายาวนาน และพอจะมาเป็นมนุษย์ ตอนก่อนจะมาเกิดก็ตัดสินกันที่บุญกับบาปอีก มีบุญก็มาเกิดในตระกูลที่ดี ชีวิตเริ่มต้นก็จะดี สดใส เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานไม่มีหนอนชอนไชแต่ถ้าบาปเป็นชนกกรรมนำมาเกิด ก็เหมือนกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ตายในครรภ์บ้าง คลอดออกมาตายบ้าง หรือเติบโตก็เกิดในตระกูลที่ลำบากยากจนอย่างนี้เป็นต้น และในระหว่างทางจะมีสุขมีทุกข์ ชีวิตจะขึ้นจะลง เจริญหรือเสื่อมก็ขึ้นอยู่กับบุญบาปที่ทำมาจากในอดีตนั่นแหละค่อยพลัดผัน

ถ้าโชคดีเจอกัลยาณมิตรมาแนะนำ ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้แจ่มแจ้ง แล้วก็กลับเนื้อกลับตัวได้ สั่งสมบุญในปัจจุบัน บาปเก่าแม้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ใจมันก็จะไม่เป็นทุกข์มากกว่าปกติ มันทุกข์เท่าที่เจอ แต่ไม่ทุกข์เพิ่มขึ้นเพราะความฟุ้งซ่านวิตกกังวล เพราะว่าเราเข้าใจชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง และเมื่อเราสั่งสมบุญมากเข้า หนักก็เป็นเบา เบาก็หาย

ชีวิตนี่ขึ้นอยู่กับบุญบาปในตัวนะลูกนะ จะประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตสักอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีบุญอยู่เบื้องหลัง บุญทำให้เรามีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณสมบัติที่สมบูรณ์ มีเหตุการณ์ดี สมองแจ่มใส ความคิดอ่านดี คาดการณ์อะไรต่างๆ ได้ดี แล้วความคิดนั้นถูกเสียด้วย เมื่อขยายมาสู่คำพูด คำพูดก็มีพลัง แจ่มแจ้ง ใครฟังแล้วก็เชื่อตาม ทำตาม พอลงมือทำทางกายมันก็ประสบความสำเร็จ แต่พอถึงตรงนี้ ถ้าหากว่าขาดความรู้เรื่องบุญเรื่องบาป เราก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะความรู้ความสามารถของตัวเรา แล้วตอนนี้อติมานะก็จะเข้ามา จะมีทิฏฐิมานะว่า เราเก่งด้วยฝีมือของเรา เลยลืมคิดไปว่า คนเก่งกว่าเราก็เยอะแต่เขาไม่ประสบผลสำเร็จ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เก่งเกินกว่าเขา แต่เราประสบความสำเร็จ เพราะว่าบุญนี่แหละมันอยู่ฉากหลัง

ต่อให้มือถึง ใจถึง ทีมถึง ทุนถึง แต่ถ้าบุญไม่ถึงทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าบุญถึงด้วยก็สำเร็จ ดังนั้นบุญบาปนี่แหละ คอยชักใยอยู่ข้างหลังนะลูกนะ

เรื่อง : พระธรรมเทศนาหลวงพ่อธัมมชโย
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***

คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ PDF
https://drive.google.com/file/d/1-GH37LtVWV9JrKJ74Brr0UuJgVWg1W_d/view

คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202546/09YNB_4607/09YNB_4607.html

คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ที่นี่

ผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้อยู่เบื้องหลัง Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 20:32 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.