วิชาพระพุทธศาสนา เมื่อศึกษาไปแล้วให้ประโยชน์อะไรแก่ผู้เรียน
วิชาพระพุทธศาสนา
เมื่อศึกษาไปแล้วให้ประโยชน์อะไรแก่ผู้เรียน
คำถาม
นักเรียนมักจะถามเสมอว่า
วิชาพระพุทธศาสนาให้ประโยชน์อะไรกับเขา เพราะวิชาความรู้ที่เขาเรียนส่วนใหญ่
ได้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จึงอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า วิชาพระพุทธศาสนา เมื่อศึกษาไปแล้วให้ประโยชน์อะไรแก่ผู้เรียนบ้าง?
คำตอบ
เวลาเราสอนพระพุทธศาสนา
ทุกยุคทุกสมัยมักจะเริ่มต้นด้วย..
ประการที่ ๑. เริ่มต้นด้วยพุทธประวัติ
ซึ่งเด็ก ๆ บางทีตามไม่ทัน
เพราะความเป็นมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามีเรื่องที่อยู่เบื้องหลังเยอะมาก
ประการที่ ๒. พอเจาะลึกเข้าไปในพระพุทธศาสนา
ก็มักจะเอาหลักธรรมหนัก ๆ มาสอนเด็ก เด็กชั้นประถมก็สอนอริยสัจ ๔ แล้ว
แม้แต่ครูก็ยังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่เด็กเลย เมื่อเราเอาเรื่องหนัก ๆ ไปสอนเด็ก
ก็เลยทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าพระพุทธศาสนาไม่ค่อยจะเกี่ยวอะไรกับชีวิตของเขา
ก็เลยค่อนข้างจะต่อต้านวิชาพระพุทธศาสนา ควรจะเปลี่ยนแนวสอนใหม่ คือ
แทนที่จะสอนในลักษณะที่เป็นธรรมะแท้ ๆ
ให้สอนพระพุทธศาสนาที่แทรกเข้าไปในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น เรื่องของการใช้ปัจจัย ๔
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไรบ้าง เช่น เรื่องของข้าวปลาอาหารที่เราต้องกินต้องดื่มกันอยู่ทุกวัน
พระพุทธศาสนาได้แทรกเอาไว้ในนั้นเรียบร้อยแล้ว คือ
คนในโลกนี้ส่วนมากไม่ได้กินเพื่ออยู่ แต่มุ่งจะอยู่เพื่อกิน เพราะฉะนั้นความโลภ
ความเห็นแก่ได้ก็เลยมีมากในมนุษย์
ตรงกันข้าม
ถ้าเราสอนเด็กของเราให้กินเพื่ออยู่ ซึ่งการกินเพื่ออยู่นี้ จะกินกันไม่มาก ไม่ได้กินเล่น
กินจุกจิก ยิ่งไปกว่านั้น ให้สอนลูกหลานของเราให้รู้ว่าในการกินข้าวปลาอาหารนั้น
ข้าวจานเดียวกัน ถ้ากินเมื่อตอนโกรธ พอมีเรี่ยวแรงแล้ว
ก็เอาเรี่ยวแรงจากอาหารนั้นไประบายความโกรธ ไปยกพวกตีกัน
ข้าวปลาอาหารนั้นก็กลายเป็นข้าวบาปไป แต่ว่าข้าวปลาอาหารจานเดียวกันนั้น
กินเมื่อตอนจิตใจงาม พอกินอิ่มก็เอาเรี่ยวแรงไปทำความดี
ข้าวปลาอาหารนั้นก็กลายเป็นข้าวบุญไป ไม่ใช่ข้าวบาปเหมือนจานที่แล้ว
และวิธีที่จะทำให้ใจเป็นบุญ
ควรจะสวดมนต์หรือบูชาข้าวพระเสียก่อน เพื่อให้ใจผ่องใส พอบูชาข้าวพระเสร็จ ก็เอาข้าวนั้นมากิน
ข้าวนั้นจะกลายเป็นข้าวบุญ เพราะกินเมื่อใจผ่องใส
เพียงแค่นี้พระพุทธศาสนาก็เข้าไปอยู่ในใจเด็กในขณะที่กินข้าวแต่ละคำ
หรือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ต้องใช้ให้เป็น
ไม่ใช้เพื่อเอามาอวดสัดส่วนว่าใครจะสวย ใครจะงาม แต่เอามากันร้อนกันหนาว
เอามากันอาย เอามาเพื่อให้ร่างกายของเราอบอุ่น เหมาะแก่การประกอบคุณงามความดี
ไม่ใช่เอามาเพื่อยั่วให้กามราคะคนอื่นกำเริบ สิ่งเหล่านี้ถ้ารู้จักสอนเขา
พระพุทธศาสนาก็แทรกเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา แล้วก็แทรกผ่านเข้าไปในใจ
ทำให้เขารู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวในทางที่ถูกที่ควร
หรือสอนให้เด็กเก็บที่นอนเวลาตื่นนอน
ช่วยกันกวาดบ้านกวาดเรือน ช่วยกันปัดกวาด เช็ดถูห้องพระให้ดี
ช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันไว้บูชาพระ
สิ่งเหล่านี้ถ้ารู้จักสอนเด็กในที่สุดก็จะกลายเป็นว่า
พระพุทธศาสนาได้สอนให้เด็กรับผิดชอบไปในตัวแล้ว
เป็นการสอนพระพุทธศาสนาประเภทที่นำมาใช้ในชีวิตจริงได้ คือ
นำมาเพาะนิสัยเด็กให้มีสัมมาทิฐิเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาอย่างนี้ คือ
พระพุทธศาสนาที่เด็ก ๆ ต้องการ ถ้าเราสอนด้วยวิธีนี้
เด็กจะไม่ย้อนมาถามเราอีกว่าเรียนพระพุทธศาสนาแล้วได้อะไร
เพราะเด็กได้รู้จักพระพุทธศาสนาไปตามลำดับ ๆ ตั้งแต่ข้าวแต่ละคำ น้ำแต่ละอิ่ม
นมแต่ละอึก รู้จักพระพุทธศาสนาตั้งแต่เขาหยิบผ้าขึ้นมาสวมใส่ รู้จักพระพุทธศาสนาตั้งแต่ที่เขาปักแจกันที่โต๊ะหมู่บูชาพระ
รวมกระทั่งรู้จักพระพุทธศาสนาผ่านวิธีรักษาสุขภาพ ในชีวิตประจำวันของเขา
ถ้าครูบาอาจารย์สอนพระพุทธศาสนาเป็น
จะสอนอย่างนี้ ไม่ใช่ไปยกอริยสัจ ๔ มาสอนเด็กอนุบาล เด็กประถม
เราจะรู้ได้อย่างไร
ว่าญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้บุญที่เราอุทิศไปให้
คำถาม
ถ้าเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้ว
เราจะทราบได้อย่างไรว่าญาติได้บุญหรือไม่
คำตอบ
คงต้องตอบโดยหลักการก่อน คือ
ต้องรู้ว่าบุญคืออะไร บุญเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง และ
ด้วยความเป็นธาตุกายสิทธิ์ของบุญ ทำให้บุญมีฤทธิ์ต่าง ๆ นานากันไป
สามารถที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให้ถึงผู้ที่ตายแล้วได้ แล้วก็มีผลเป็นสุขด้วย
บุญมีลักษณะที่คล้าย ๆ น้ำอยู่ ๒ ประการ คือ
ประการที่ ๑. เมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว
สามารถรวมตัวกันได้เหมือนหยดน้ำ หยดน้ำค้าง หยดน้ำฝน
หยดลงมาแล้วก็รวมตัวกันได้จนกระทั่งเต็มโอ่ง เต็มไห เต็มหม้อ เต็มขัน
ประการที่ ๒.
บุญซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ สามารถจะไหลหรือสามารถที่จะไปจะมาได้ไกล ๆ เหมือนน้ำ
เช่น น้ำในที่สูงจากภูเขาสูงในภาคเหนือของประเทศไทย เมื่อมารวมตัวกันแล้ว
ก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ เช่น ไหลมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไหลลงอ่าวไทย ไหลไปได้ไกล ๆ
จนกระทั่งถึงทะเลเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตร บุญก็สามารถอุทิศไปไกล ๆ ได้
แม้ผู้ที่เราต้องการจะให้บุญแก่เขา อยู่กันคนละโลกกับเรา ..ก็ไปได้
แต่ถึงแม้เราจะทราบโดยหลักการว่า
บุญส่งไปได้ไกล ๆ คือ ไปถึงผู้ที่ละโลกแล้วได้ก็จริง แต่ก็ต้องรู้อีกว่า จริง ๆ
แล้ว บุญไหลไปอย่างไร เข้าไปถึงใจของผู้ที่เราอุทิศให้ด้วยอาการอย่างไร
จะรู้จะเห็นได้อย่างนั้นมีทางเดียว คือ ต้องฝึกสมาธิจนกระทั่งความสว่างภายในมากพอ
อย่ามองว่าเรื่องของการฝึกสมาธิเป็นเรื่องยาก หลักสำคัญมีอยู่ว่าใจของคนเรา
เมื่อฝึกจนกระทั่งหยุดนิ่งได้แล้ว ก็จะเกิดความสว่าง
เมื่อความสว่างภายในเกิดขึ้นแล้ว
วันหนึ่งเมื่อวางใจได้ถูกส่วนจะสามารถเห็นบุญได้ว่า บุญนั้นเป็นสาย
พระพุทธองค์ถึงกับทรงตรัสเอาไว้ว่า
ใครตั้งใจทำบุญทำทาน และทำถูกเนื้อนาบุญ บุญไหลเป็นสายทีเดียว
แล้วถ้าเราตั้งใจอธิษฐานไปให้ถึงแก่ผู้ใดที่เขาละโลกไปแล้ว สายบุญจะไปจรดถึงกัน
เหมือนไฟฟ้าที่ไหลไปตามสายไฟจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งได้
แต่บุญไหลไปเองโดยไม่ต้องมีสายส่งต่อ
ฝึกไปเถิด แล้ววันหนึ่งก็จะเห็น
เห็นแล้วก็จะหมดความสงสัยว่าบุญมีจริง มีฤทธิ์จริง อุทิศให้ใครได้จริง
ไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า ถ้าหลวงพ่อบอกให้ หลวงปู่บอกให้ ท่านผู้นั้นผู้นี้บอกให้
แล้วเรายังไม่เห็น จะให้เราเชื่อ ๑๐๐ % คงยาก เอาเป็นว่าวันนี้ตั้งใจฝึกสมาธิไป
แล้วขณะที่ตั้งใจฝึกสมาธิ ตอนนี้ใจยังไม่สว่างพอ ยังไม่นิ่งพอ ยังไม่เห็นบุญ
ก็ไม่เป็นไร ฝึกไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธเรื่องบุญ
อย่าเพิ่งไปปฏิเสธเรื่องความสว่างที่เกิดในสมาธิ รับฟังเอาไว้
แล้วตั้งใจฝึกเรื่อยไป วันนี้ใจยังไม่สว่างพอ ยังไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร
แล้วเราจะได้อะไรเป็นเครื่องตอบแทน? อย่างน้อยก็ได้ความสงบใจมาระดับหนึ่ง
พูดง่าย ๆ ฝึกสมาธิเรื่อยไป ใจเราไม่ขุ่นมัว อย่างไรสวรรค์เปิดรอท่าเราอยู่แล้ว
นรกปิดเรียบร้อยแล้ว จะไปเห็นบุญอีกทีตอนวินาทีสุดท้ายที่เราจะลาโลกก็ยังไม่สาย
ตั้งใจฝึกไปเถิด วันหนึ่งเราก็เห็นบุญจนได้
ถ้าบุญไม่มีจริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่ตรัสเรื่องบุญ แต่ว่าเมื่อเรายังมองไม่เห็น จะไปโทษใครได้
ก็ต้องโทษตัวเองว่าเรายังฝึกน้อยไป ก็ต้องฝึกกันไป อย่างไรชาตินี้ไม่เห็น
ชาติหน้าเห็นก็ยังไม่สาย ตั้งใจฝึกไปเถิด
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๑
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
วิชาพระพุทธศาสนา เมื่อศึกษาไปแล้วให้ประโยชน์อะไรแก่ผู้เรียน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:38
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: