สั่นสะเทือนวงการแพทย์ มะเร็งร้ายหายด้วยสมาธิ






      


หมอตรวจพบเนื้อร้ายและสั่งให้เจาะตับ เพื่อตรวจหาชนิดของมัน แต่รายได้ของแม่ค้า ซึ่งทำมาค้าขายอยู่ที่สุพรรณบุรีกับสามีของเธอ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ไม่ได้มีเงีนเหลือเฟือเพียงพอที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์ได้ อีกทั้งยังมีลูกต้องเลี้ยงถึง ๒ คน


หลังจากไปทำเรื่องมอบร่างกายให้โรงพยาบาล เธอเดินคอตกกลับบ้าน พอเข้าบ้านก็เห็นกัลยาณมิตร ผู้หนึ่งคือคุณขนิษฐามาเยี่ยม ครั้นทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงบอกว่า "เดี๋ยวอาทิตย์นี้จะพาไปกราบหลวงพ่อที่วัดพระธรรมกายให้ท่านช่วยนะ" คุณสุดาตอบปฏิเสธ แต่กัลยาณมิตรขนิษฐาก็คะยั้นคะยอยิ่งขึ้น "รำคาญที่สุด ตื้ออยู่ได้" นั่นคือสี่งที่คุณสุดาคิด แต่กัลยาณมิตรขนิษฐาก็ยังไม่ยอมแพ้เพราะตระหนักว่า บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ได้ ท้ายที่สุดคุณสุดาก็ตอบตกลงด้วยความเกรงใจ

"ตอนแรกดิฉันก็ยังลังเลใจว่าจะไปวัดดีไหม สุดท้ายจึงตัดสินใจไปวัดกับคุณขนิษฐาเมื่อปี ๒๕๒๖ เธอไม่ได้บอกว่าต้องแต่งกายอย่างไร ดิฉันก็เลยใส่เสื้อสีชมพูขาว กางเกงยีนสามส่วน ตามเธอมาวัด เห็นสาธุชนสวมชุดขาวกันหมด จึงรู้สึกเขินเล็กน้อยถึงปานกลาง สักครู่หลวงพ่อก็มาถึง ทันทีที่ดิฉันมองเห็น ท่าน ใจก็ชุ่มชื่นลืมความเจ็บไข้ได้ป่วยหมดสี้น จากนั้น เขาก็พาเข้าไปกราบหลวงพ่อ บอกท่านว่า "ตัวลูกเป็นเนื้อร้าย" หลวงพ่อมองหน้าแล้วบอกว่า "โยมเป็นเช่นนี้ โยมต้องทำใจนะ" ดิฉันกราบเรียนว่า "ทำใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ถ้าอยู่ได้อีกก็ดีจะได้เป็นร่มโพธี์ให้ลูก ๆ" ท่านพยักหน้าช้า ๆ บอกว่า "เดี๋ยวเรามานั่งธรรมะกันก่อน" ท่านหลับตานำนั่งสมาธิ ดิฉันมองซ้ายมองขวาเห็นทุกคนหลับตากันหมด แต่ตัวเองยังไม่ยอมหลับ เพราะไม่เคยหลับตาโดยที่ไม่ง่วงนอน อีกทั้งปกติ แม่ค้าขายของมีแต่ลืมตามองหาลูกค้า พลันดิฉันก็เหลือบไปเห็นพระแก้วใสท่านส่งยี้มให้ใจก็นึกยิ้มตาม มองท่านเพลินจนไม่ทราบว่าเสร็จพีธี พอเหลียวกลับมาก็เห็นหลวงพ่อมองมาที่เรา ดิฉันจึงรีบหลับตา กลัวท่านจะว่า หลวงพ่อก็ให้เข้าไปใกล้ ๆ แล้วถามว่า "สักครู่นี้โยมนั่งธรรมะแล้วเห็นอะไรมั้ย?" ก็ตอบท่านไปว่า "ไม่ได้นั่งหลับตาหรอก นั่งลืมตามองเห็น องค์พระธรรมจักรท่านยี้ม" หลวงพ่อก็บอกว่า "อ๋อ! พระธรรมกายจ้ะ โอ! เป็นนิมิตอันดีแล้วนะจ๊ะ" แล้วท่านก็พูดต่อว่า "โยม เรามาว่าไงว่าตามกันนะจ๊ะ" ดิฉันก็เลยร้อนรุ่มกลุ้มใจ เพราะจะไม่ให้กลุ้มได้อย่างไร คนไม่เคยคุ้นกัน อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า ให้ว่าไงว่าตามกัน สุดท้ายหลวงพ่อบอกว่า "ถ้าว่าไงว่าตามกันได้จะช่วยให้อยู่เป็นร่มโพธี์ของลูก ๆ" เท่านั้นดิฉันก็รีบรับปากว่า "ได้ค่ะ" ท่านให้ปฏิบัติธรรมะ ๕ ข้อ คือ ๑) ใส่บาตรทุกเช้า ดิฉันก็ตอบว่า "ที่บ้านค้าขายใครว่างก็ใส่อยู่แล้ว" หลวงพ่อบอก "ต่อไปนี้โยมต้องใส่เอง เพราะโยมอยู่ในภาวะอย่างนี้" ดิฉันก็รับปาก ๒) รักษาศีล ๕ ดีฉันก็แย้งว่า "ศีล ๕ รักษาอยู่แต่มดมันตายง่าย" หลวงพ่อบอกว่า "ก็ต้องระวัง เขาก็ชีวิตเราก็ชีวิต" ๓) ภาวนา "สัมมาอะระหัง" ทุกอิริยาบถ ดิฉันก็ค้านว่า "เคยได้ยินแต่พุทโธ" หลวงพ่อบอก "พุทโธก็ได้" ๔) ให้นั่งสมาธิ ๕) ให้ปลงตก

          
ข้อนี้ดิฉันไม่เข้าใจแต่ก็รับปาก จากนั้นได้ไปวัดอีก ๒ ครั้ง ก็ไปไม่ไหว เพราะอาการหนักขึ้น ท้องโตเพราะตับโต แขนซ้ายบวม มีก้อนซีสต์เท่าลูกปิงปองเกิดขึ้นที่ข้อมือ ตามข้อนี้วมือ ตามขา ก็เริ่มมีแผลพุพองและมีอาการคัน หมอบอกว่า "โรคกระจายไปตามเส้นเลือด ที่คันเพราะตับเริ่มไม่ทำงาน" แล้วก็ให้ไปเจาะตับ ดิฉันถามว่า "ถ้าเจาะ แล้วหมอจะรับรองผลมั้ย?" หมอก็บอกว่า "คุณต้องเสี่ยงเอง" ดิฉันเลยตัดสินใจไม่เจาะ อาการก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ทานข้าวทานน้ำไม่ได้ อาเจียนออกหมด น้ำหนักลดจาก ๕๐ กก. เหลือ ๓๙ กก. รักษาแบบไม่เจาะจนทุนค้าขายไม่เหลือ กระทั่งสามีต้องออกจากราชการนำเงินบำนาญมาเป็นค่ารักษา สามีจึงบอกให้ไปเจาะ สภาพดิฉันตอนนี้เหมือนอสุภะ (ศพ) ไม่มีผีด หวนนึกถึงธรรมะที่หลวงพ่อท่านบอกข้อที่ว่า "ให้ปลงตก" ดิฉันเข้าใจแล้วว่า ปลงตก เป็นอย่างนี้เอง จึงตัดสินใจจะไปเจาะ ระยะหลังที่ป่วยหนัก ดิฉันเปลี่ยนมาภาวนา "สัมมาอะระหัง" ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้คำภาวนาเปลี่ยนไปอีกจาก "สัมมาอะระหัง" เป็น "หลวงพ่อลูกขอโทษๆๆ" เพราะรับปากหลวงพ่อว่าจะไม่เจาะ ครั้นพอไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอเกิดติดธุระด่วน ดิฉันก็เลยดีใจที่ไม่ต้องเจาะ เดินทางกลับบ้าน อาการก็ทรุดหนักเรื่อย ๆ จนคิดว่าคงไม่รอดแน่ ก่อนตายเราควรไปวัดอีกสักครั้ง ไปถึงก็ไม่นั่งสมาธีเอาแต่คร่ำครวญ ว่า "หลวงพ่อเจ้าขาลูกตายแน่แล้ว! ห่วงก็แต่ลูก ๆ เท่านั้น" สักครู่ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเทศน์ว่า "ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ให้นึกขยายองค์พระ ให้ขับไล่โรคร้ายไข้เจ็บออกไปทุกอณูเนื้อ ทุกขุมขน จิตใจอย่าไปเกาะเกี่ยวอยู่กับลูกหลาน เดี๋ยวจะไปไม่ไกลเป็นจี้งจกตุ๊กแกที่บ้าน" ดิฉันเลยคิดว่า "เกิดเป็นคนยังลำบากแสนเข็ญขนาดนี้ ถ้าต้องเป็นจี้งจกตุ๊กแก ไม่เอาดีกว่า" ก็เลยปล่อยวาง เรี่มนึกว่ามีองค์พระอยู่ในท้อง มีดวงแก้วอยู่กลางองค์พระ ทั้งที่ตอนแรก ๆ เอาแต่เถียงว่า "ในท้องมีแต่ตับไตไส้พุง" แต่ตอนนี้มีไม่มีก็ขอนึกว่ามีไว้ก่อนกลัวจะเป็นจี้งจกตุ๊กแก จึงภาวนา "สัมมาอะระหัง" รัวถี่ยีบเพื่อเตรียมตัวตาย พอสบายใจแล้วค่อยกลับบ้าน กลับไปก็นอนทำภาวนาแล้วอธิษฐานว่า "ธรรมะ ๕ ข้อที่เคยรับปากหลวงพ่อไว้ ลูกไม่ได้ทำตามเลย ต่อนี้ไปลูกจะปฏิบัติตาม ขอให้ลูกหาย ถ้าหายแล้วจะปฏิบัติธรรม" อธิษฐานเสร็จก็นอน ต่อมาฝันเห็นหลวงพ่อสลับกับฝันว่าจะมีคนมาเอาตัวไป สลับไปมาอยู่นานเป็นเดือน วันหนึ่งดิฉันก็มีแรงเดินลงมานั่งที่หน้าบ้าน เพื่อนคนหนึ่งเห็นหน้าก็ทักว่า "โอ! หายแล้วเหรอ หน้าตาสดชื่น เมื่ออาทิตย์ก่อนเห็นตัวเขียวซีดท่าทางเหมือนจะไม่รอด มาตอนนี้เหมือนสายบัวชุบน้ำดูสดชื่น" สักพักก็มีคนรู้จักนำต้นหญ้าแก้โรคมะเร็งมาให้ต้มกิน ดิฉันปฏิเสธไม่เอาเพราะทานอะไรไม่ได้ อาเจียนออกหมด เขาก็คะยั้นคะยอให้ลองดู สูตรในการทำคือให้นำมาล้าง หั่น ตากแดด คั่ว แล้วค่อยนำมาต้ม แต่พ่อบ้านเห็นอาการดิฉันแล้วคิดว่าไม่ทันการจึงต้มให้ดื่มทันที แปลกมากที่ดื่มได้จึงต้มดื่มเป็นการใหญ่ ต่อมาก็มีผู้แนะนำให้ทานอาหารเสริมจึงไปซื้อมารับประทาน ก็เรี่มทานข้าวได้ เรี่มมีแรง มีกำลังใจ และเรี่มทำหน้าที่ชวนคนมาวัดงานทอดกฐิน ทั้งที่แขนข้างซ้ายยังพิการอยู่ ผู้คนเห็นว่าดิฉันป่วยใกล้ตายแล้วดีขึ้นเพราะมาวัด จึงพากันมาใหญ่ แม้บางคนจะทักว่า "คนใกล้ตายก็ดูแจ่มใสแบบนี้แหละ เหมือนเปลวเทียนวูบสุดท้ายก่อนสี้นแสง" ดิฉันฟังแล้วก็ไม่ใส่ใจ ตั้งใจสั่งสมบุญ กฐินปีนั้นจัดรถได้ ๖ คัน ดิฉันทำหน้าที่อย่างนี้เป็นปี กลับมาถึงบ้านก็ต้องนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้ง แต่ก็ยังภาวนาเตรียมตัวตายทุกลมหายใจ ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตุ่มตามมือตามขาก็ยุบ ก้อนซีสต์ที่ข้อมือก็ค่อย ๆ ยุบไปเอง จนได้ไปปฏิบัติธรรมที่ดอยสุเทพ ดิฉันตั้งใจปฏิบัติธรรมจนพบประสบการณ์ภายใน พอหลวงพ่อสอบถามก็ตอบว่า "เห็นดาวสวยงามมากแต่แปบเดียว" คนที่นั่งข้างหลังเขาก็เฮกัน ดิฉันคิดว่า "ทำไมไม่เห็นดวงใหญ่ ๆ นาน ๆ เหมือนคนอื่นเขา" หลวงพ่อบอกว่า "ดวงแป๊บเดียวที่เห็น เรียกว่า ดวงปฐมมรรค บาปกรรมอะไรจะหยุดก่อนจะยังไม่ให้ผล เพราะว่าบุญมากเท่ากับสร้างโบสถ์ ๑๐ หลัง" ทุกคนก็สาธุ! ดิฉันดีใจมาก วันสุดท้ายหลวงพ่อก็มอบใบบอกบุญให้ ๒๐๐ ใบ ให้ไปชักชวนผู้มีบุญมาสร้างบารมีต่อ พอกลับถึงบ้าน ก็ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรทันที จนเป็นเหตุให้ได้พบคุณองุ่น สุขเจริญ (หลานหลวงปู่) และได้ชวนท่านมาวัดเป็นครั้งแรก ในปี ๒๕๓๒ ดิฉันทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องทั้งที่แขนข้างซ้ายยังพิการจนกระทั่งแขนหายป่วยตอนไหนก็ไม่ทราบ พอให้หมอตรวจ หมอแปลกใจว่าดิฉันอยู่มาได้อย่างไร เพราะเขาตรวจแล้ว เห็นว่าตับเป็นหนองเต็มไปหมด เขายังยืนยันให้เจาะ ดิฉันก็ไม่เจาะ แม้ภายหลังได้พบหมอที่เป็นผู้นำบุญ หมอก็แอบไปบอกกับสามีว่า ตัวดิฉันจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะเท่าที่ตรวจเช็คเป็นอาการของคนเพียบหนัก หมอก็ยังงงว่าอยู่มาได้ยังไง ทำไมยังแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ปกติ ดิฉันก็ไม่กังวลกับอนาคต "สัมมาอะระหัง" แล้วก็ทำหน้าที่เรื่อยไป หลังจากนั้นคุณหมอท่านนั้นมาวัดได้พบกับดิฉันอีก ก็ยิ่งงงว่าทำไมยังไม่ตาย เลยกล่าวว่า "อนุโมทนาบุญด้วยครับ" อาการของดิฉันดีขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันอายุ ๖๘ ปี หมอบอกว่า "หายเป็นปกติแล้ว ตับดี ปอดดี ทุกอย่าง"






ดิฉันกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างยิ่ง ถ้าไม่พบหลวงพ่อและผู้นำบุญ ดิฉันคงไม่มีวันนี้ การนั่งสมาธิ คือวิธีรักษาแบบสั่นสะเทือนวงการแพทย์จริง ๆ 

มะเร็ง คือ โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเราไม่อาจจะแน่ใจได้ว่า เราจะพบกับข่าวร้ายของ "เนื้อร้าย" เข้าวันใดวันหนึ่งหรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องรอให้ข่าวร้ายมาเยือนแล้วจึงเร่งนั่งสมาธิ แต่เราสามารถที่จะนั่งสมาธิ ประพฤตีปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ เพื่อสกัดข่าวร้ายและโรคร้ายก่อนมาถึงตัวได้ตลอดเวลา เมื่อทุกเวลานาที ..มีสิ่งไม่คาดฝัน เราจึงควรทำให้ชีวิตทุก ๆ วันที่ผ่านไป แช่อิ่มอยู่ในบุญ ตรึกระลึกนึกถึงองค์พระใส ๆ ไว้ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา



Cr. เรื่อง : Son Backhome e-mail : garaboon_jdai@hotmail.com
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๑ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
สั่นสะเทือนวงการแพทย์ มะเร็งร้ายหายด้วยสมาธิ สั่นสะเทือนวงการแพทย์ มะเร็งร้ายหายด้วยสมาธิ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:43 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.