หลวงพ่อตอบปัญหา
ถาม : เพราะเหตุใดจึงต้องนำวิชชาธรรมกายเผยแผ่ไปทั่วโลก ?
ตอบ : การที่จะทำความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ต้องเริ่มตั้งแต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมครูของมนุษย์และเทวา เมื่อยามบ่ายของวันวิสาขปุณณมี ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่ พระองค์ตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยว ทรุดองค์ลงประทับเหนือรัตนบัลลังก์ แล้วทรงอธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อในร่างกายของพระองค์จะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที หากตราบใดยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมตามที่ทรงตั้งปณิธานเอาไว้ ก็ยอมตาย
แล้วพระองค์ก็ทรงเจริญสมาธิภาวนาไปตามลำดับ ซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกว่า ทรงทำสมาธิตั้งแต่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เรื่อยไป คือ ทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ในศูนย์กลางกายเรื่อยไป คำว่าเรื่อยไปนี้หมายความว่า ทำใจให้หยุดให้นิ่งซํ้าแล้วซํ้าอีกเข้าไปในศูนย์กลางกายของพระองค์ เมื่อซํ้าแล้วซํ้าอีกอย่างนี้ ใจของพระองค์ก็เลยถูกกลั่นถูกกรองไปด้วยในตัว ด้วยอำนาจของสมาธิทำให้ใจของพระองค์ใสสว่าง ถามว่าใสสว่างขนาดไหน ก็ต้องใช้คำที่หลวงปู่เคยพูดเอาไว้ว่า สว่างยิ่งกว่าเอาตะวันเที่ยงมาเรียงเป็นดวง ๆ เต็มท้องฟ้า
ในช่วงปฐมยาม คือ ตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึง ๔ ทุ่ม พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังได้ ทำให้ทรงทราบภูมิหลังของพระองค์ทั้งหมดว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งก็พบว่า ชีวิตของพระองค์ในอดีตนับอสงไขยภพอสงไขยชาติไม่ถ้วนนั้น มีการขึ้น ๆ ลง ๆ เคยเป็นมาแล้วทั้งมหาเศรษฐี เทวดา พระเจ้าจักรพรรดิ พระราชามหากษัตริย์ ขอทานก็เคยเป็น
แม้หลังจากชาติที่พระองค์ได้รับพุทธพยากรณ์สมัยเกิดเป็นสุเมธดาบสว่า อีกแค่ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางชาติยังจับพลัดจับผลูไปเกิดเป็นสัตว์ก็มีเหมือนกัน ไปเกิดเป็นราชสีห์บ้าง พญานาคบ้าง นี้ขนาดได้รับพยากรณ์แล้วยังตกลงมาได้ พระองค์จึงทรงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตไม่เที่ยง
ความไม่เที่ยง หรือ อนิจจัง นี้ ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ จะไปฝืนก็ไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์หนัก และยังเป็นอนัตตา หมายความว่า ใคร ๆ ก็ไปควบคุมไม่ได้ มันจะต้องเป็นอย่างนั้น คือเป็นไปตามกรรมที่ได้ทำเอาไว้
พอยาม ๒ หรือมัชฌิมยาม ทรงระลึกชาติของสัตว์โลกชนิดอื่นได้ จึงทรงพบว่า ไม่ใช่เฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่ชีวิตมีขึ้นมีลงเมื่อเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร แต่สัตว์โลกอื่น ๆ ก็เฉกเช่นกัน เดี๋ยวก็เกิดเป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็เกิดเป็นสัตว์ แม้เป็นมนุษย์ก็ไม่แน่นอน เป็นมนุษย์ชั้นสูงบ้าง ชั้นตํ่าบ้าง บางครั้งก็ไปเกิดเป็นเทวดา จากเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มี เทวดาบางตนทำกรรมไว้ทั้งดีและไม่ดี กรรมดีส่งให้เป็นเทวดา แต่กรรมไม่ดีก็เยอะเหมือนกัน พอพ้นจากเทวดานึกว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ กลับหัวทิ่มลงไปนรกก็มีเหมือนกัน
จากการที่ทรงระลึกชาติผู้อื่นได้นี้ ทำให้พระองค์ทรงรู้ชัดขึ้นมาทันทีว่า ที่พระองค์และสัตว์โลกชนิดอื่นต้องมีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ ก็เพราะ อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม นั่นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติกฎแห่งกรรม แต่ทรงค้นพบกฎแห่งกรรม พระองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่จากการระลึกชาติทั้งของพระองค์เองและผู้อื่น ทรงพบว่ากฎนี้มีอยู่และครอบคลุมโลกอยู่แล้ว พอทรงเห็นอย่างนี้ พระองค์จึงทรงนำมาบอกชาวโลกว่า ระวังนะ โลกมีกฎแห่งกรรมอยู่
วันหนึ่งหลวงพ่อมีโอกาสถามคุณยายอาจารย์ฯ ว่า ในการระลึกชาติ ทำให้เราได้รู้ภูมิหลังตัวเอง จะได้รู้จักกฎแห่งกรรมให้ชัด ๆ จะได้ไม่หลงเป็นมิจฉาทิฐิ แต่ว่าเราจะต้องระลึกชาติย้อนหลังไปมากแค่ไหน คุณยายท่านก็เลยให้ข้อคิดฝากไว้ว่า ต้องระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วตอบเหตุตอบผลให้ได้ด้วย จึงจะใช้งานได้ จึงจะได้มาช่วยกันโปรดชาวโลกเขาได้ มิฉะนั้นจะเอามาเตือนสติตัวเองให้เต็มที่ก็ยาก หรือจะเอามาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ ให้เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรมตามก็ยาก แล้วคุณยายยังแถมอีกด้วยว่า “ท่านอย่ามองข้ามนะ เรื่องการระลึกชาตินี้ ยายถูกหลวงปู่เคี่ยวเข็ญแล้วเคี่ยวเข็ญอีก” และท่านก็เล่าต่อไปอีกว่า ท่านอ่านหนังสือไม่ออก แต่สามารถรู้เรื่องต่าง ๆ ได้ ก็เพราะว่าหลวงปู่เคี่ยวเข็ญท่าน ความรู้ ความดี ความสามารถต่าง ๆ ของท่านล้วนได้มาจากหลวงปู่ ถ้าขาดหลวงปู่ ท่านก็ไม่ได้สิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณยายมีความรักความเคารพในพระเดชพระคุณหลวงปู่มาก
แล้วเมื่อหลวงปู่ใกล้จะละโลก ท่านสั่งมอบหมายงานลูกศิษย์ที่ทำวิชชาในสมัยท่านไว้ คือ ให้เอาวิชชาธรรมกายไปทั่วโลกให้ได้ ท่านต้องเห็นคุณของการนำวิชชาธรรมกายไปเผยแผ่ให้ทั่วโลก และเห็นโทษว่า ถ้านำไปเผยแผ่ไม่ได้ทั่วโลกแล้ว จะเกิดความเสียหายต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไร หลวงพ่อซักเรื่องนี้กับคุณยายว่า ทำไมต้องเต็มโลกด้วย คุณยายบอกว่ามันมีความสำคัญ เพราะว่า การสร้างบารมีของหลวงปู่นั้นไม่เหมือนนักสร้างบารมีองค์อื่น แล้วคุณยายก็ย้อนถามหลวงพ่อว่า จำได้ไหม พระพุทธเจ้าก็มีอย่างน้อย ๒ ประเภท คือ พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพอตรัสรู้แล้ว ไม่ได้สอนใคร ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่ง เดี๋ยวจะเข้าใจท่านผิด ความจริงท่านอยากสอนไหม ท่านอยากสอน แต่ว่าท่านไม่ได้เตรียมวิชาครูไว้ เมื่อตรัสรู้แล้วจึงไม่ถนัดสอน ก็เลยไม่ได้สอน
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทั้งตรัสรู้แล้วก็สอนผู้อื่นด้วย ในวันที่พระพุทธเจ้าทีปังกรทรงพยากรณ์ให้สุเมธดาบสว่า อีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ชาตินั้น ถ้าสุเมธดาบสปรารถนาจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ก็สามารถทำได้เลย แต่ท่านยอมอยู่อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เพื่อสร้างบารมีต่อไป เพื่อฝึกวิชาครูแล้วนำธรรมะมาสั่งสอนชาวโลกในภายหน้า
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ยังแบ่งออกเป็นพระปัญญาธิกพุทธเจ้า พระสัทธาธิกพุทธเจ้า และพระวิริยาธิกพุทธเจ้า
พระปัญญาธิกพุทธเจ้านั้นมีปัญญามาก จึงใช้เวลาสร้างบารมีช่วงสั้น ๆ คือ ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป และหอบชาวโลกให้พ้นทุกข์ไปจำนวนหนึ่งตามกำลังและเวลาที่มี พระสัทธาธิกพุทธเจ้าใช้เวลาสร้างบารมีเพิ่มเป็น ๒ เท่า คือ ๔๐ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่ก็สามารถนำชาวโลกให้พ้นจากวัฏสงสารไปได้ไม่น้อย ส่วนพระวิริยาธิกพุทธเจ้าต้องใช้เวลาสร้างบารมี ๘๐ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่จะสามารถขนสัตว์โลกไปพระนิพพานได้มากเพิ่มขึ้น
คุณยายเล่าให้ฟังว่า “แต่ถึงขนาดนั้น ก็ยังขนชาวโลกไปได้ไม่หมด จึงยังเหลือพวกเรานั่งอยู่แถวนี้ไงล่ะ”
คุณยายเล่าต่อว่า แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราบอกว่า ถ้าขนสัตว์โลกไปได้ไม่หมด ไม่เข้านิพพานหรอก หลวงปู่บอกว่าจะเอาไปให้หมดให้ได้ ตรงนี้ล่ะคือหลวงปู่
หลวงพ่อก็เลยถือโอกาสถามคุณยายอาจารย์ฯ ว่า แล้วมี อุปสรรคอะไรหรือที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ซึ่งมีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน จึงขนสัตว์โลกไปพระนิพพานได้ไม่หมด คุณยายย้อนถามหลวงพ่อว่า ท่านจำได้ไหม เมื่อตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน พระองค์เข้าปรินิพพานเอง หรือมีใครมาอาราธนา มารมาอาราธนาให้พระพุทธองค์เข้านิพพาน
ตลอดเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น เจ้ามารนี้แหละคอยรังแกพุทธบุตรอยู่รํ่าไป รังแกชาวพุทธอยู่รํ่าไป ทำให้แทนที่ชาวพุทธจะปฏิบัติธรรมได้สะดวกก็เลยไม่สะดวก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มุ่งจะขนสัตว์โลกไปให้หมด แต่เจ้ามารตัวร้ายนี้มันขวางเอาไว้ไม่ยอม แถมยังอาราธนาให้รีบเข้านิพพานเสียอีกด้วย ตรงนี้เองที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ขนสัตว์โลกไปได้ไม่หมดสักที นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อหลวงปู่ของเราตั้งใจจะขนสัตว์โลกไปให้หมด ก็ต้องกำจัดอุปสรรคให้ได้ อุปสรรคอยู่ที่มาร ท่านจึงบอกว่า ท่านสร้างบารมีเพื่อปราบมารโดยเฉพาะ ท่านพูดเอาไว้ชัดว่า ท่านสร้างบารมีไว้เพื่อปราบมาร จะขนสัตว์โลกไปให้หมด จะเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย ถ้ายังไม่หมดก็ไม่ต้องเข้ากัน ใครจะไปล่วงหน้าก่อนก็ไป แต่ท่านจะต้องอยู่เป็นคนสุดท้าย เพราะจะขนไปให้หมด จึงมีความจำเป็นต้องเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก จะได้มีทหารกองทัพธรรมมาร่วมกันทำงาน
คุณยายอาจารย์ฯ ได้รับคำสั่งว่าให้เอาวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก ลูก ๆ ของหลวงปู่อีกหลาย ๆ ท่านก็รับปาก แต่ว่าในช่วงนั้น บางท่านอายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว ในขณะที่คุณยายเพิ่งใกล้ ๆ จะ ๖๐ ปี บางท่านจะ ๘๐ ปีก็มี เมื่อรับปากแล้วแต่ละท่านก็ทำตามกำลังที่ท่านทำได้
เมื่อคุณยายถึงคราวละโลก ทั้ง ๆ ที่วิชชาธรรมกายยังไปไม่ทั่วโลก แต่ ภาระของพ่อนั้นเป็นหน้าที่ของลูกที่จะต้องรับทำต่อ เหตุนี้เองพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ของเราจึงรับภาระต่อ อย่างไรก็ตาม ก็จะเอางานของหลวงปู่ไปให้ถึงที่สุดให้ได้ คือ วิชชาธรรมกายต้องไปให้ทั่วโลก แล้วจะทำอย่างไรให้ไปได้ทั่วโลก เพราะฉะนั้น ศูนย์กลางในการเผยแผ่ก็เลยต้องเกิดขึ้น เพื่อรวบรวมผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไปช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อจะนำวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก แก่สรรพสัตว์ ไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม
ดังนั้น พวกเราที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ต้องรีบมาช่วยกันทำงานให้เสร็จนะ หลวงพ่อขออนุโมทนาล่วงหน้าด้วย ให้ได้บุญเยอะ ๆ เต็มที่ เต็มอิ่ม เต็มมือ เต็มใจ ด้วยกันทุกคนเลยนะ
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๑๗ ประจำเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ PDF
- บวชฟรีแล้วจะได้อะไร !
- บวช ๑๘ ครั้ง ชีวิตดีกว่าเดิมทุกครั้ง
- ผ้าป่าต้นสมบัติจักรพรรดิ ปีที่ ๙
- กว่าจะมาเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมแต่ละแห่งนั้น ต้องเจออะไรมาบ้าง ?
- หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๖๔)
- ข่าวสารเครือข่ายคณะศิษย์
- โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย จัดพิธีมอบทุนการศึกษาแด่สามเณรผู้สอบผ่านนักธรรมชั้นตรี
- น้อมกราบมุทิตาหลวงพ่อทัตตชีโว
- หลวงพ่อตอบปัญหา
- ย้อนอดีต...ท่องประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (ตอนที่ ๓๖)
- ก่อนจะเปรียบเทียบกับใคร..ต้องรู้สิ่งนี้ !
- ฉบับที่ ๒๑๗ ประจำเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔
- ฉบับที่ ๒๑๘ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๔
- ฉบับที่ ๒๑๙ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
- ฉบับที่ ๒๒๐ ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔
- ฉบับที่ ๒๒๑ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
- ฉบับที่ ๒๒๒ ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔
ไม่มีความคิดเห็น: