ภายในไม่กี่ปีมีตั้ง 5 โรงงาน
คุณวรรณพร - มนู ไตรเนตร |
มนุษย์เงินเดือน
ควรอ่านเรื่องนี้
คนอยากมีกิจการ
ควรอ่านเรื่องนี้
คนมีปัญหาธุรกิจ
ควรอ่านเรื่องนี้
อยากเลี้ยงลูกให้ดีและกลายเป็นเศรษฐี ควรอ่านเรื่องนี้
ที่สำคัญ..คนอยากรวย
อย่าพลาด ในการอ่านเรื่องนี้
!
ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้
มีหลายคนอยากปฏิวัติความจน จึงไปซื้อหนังสือประเภท ‘ตำราสอนให้รวย’ มานั่งอ่านกัน แต่พออ่านจบไปหลายเล่ม
ก็ยังรวยได้ไม่สมกับที่คาดหวังไว้...
แต่วันนี้..เราเจอทางเลือกที่ดีกว่า
เพราะจะได้คุยกับคนเคยจน ที่ปัจจุบันรวยได้จริง ซึ่งเคล็ดลับความรวยของพวกเขา
ต่างจากตำราทุกเล่มในท้องตลาด
และนับจากวินาทีนี้..เราขออาสาเป็นตัวแทนไปถามถึงเคล็ดลับ
ว่าอะไรทำให้เขารวย เผื่อคุณรู้แล้วอาจกลายเป็นเศรษฐีในอนาคตคนหนึ่งก็ได้
!
‘เขา’ และ ‘เธอ’ ผู้นี้ คือ คุณ มนู – วรรณพร
ไตรเนตร อดีตมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง
ที่ฝ่ายสามีทำงานบริษัท ส่วนภรรยารับราชการครู มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน คือ วรรณนรีและพิมพวรรณ หรือ น้องมิ้มและน้องหม่อน ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ
หจก.วี.เอ็ม.ที. เอ็นจิเนียริ่ง และบริษัท วี.เอ็ม.ที.อินดัสทรีจำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มียอดการผลิตที่มาแรง และเป็นที่น่าจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ !!
“ชีวิตเราเหมือนคนสังคมในเมืองส่วนใหญ่
คือ เป็นลูกจ้างที่ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แต่ดีหน่อยตรงที่สามีเป็นคนรักความก้าวหน้า
พยายามสร้างเนื้อสร้างตัว ดิ้นรนหาช่องทางลงทุนทำธุรกิจของตัวเองมาโดยตลอด”
ใคร ๆ ก็อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ... แต่จะมีสักกี่คน
ที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ !
“สามีเริ่มทำธุรกิจ
โดยเริ่มจากใช้เวลาหลังเลิกงานไปรับออร์เดอร์ชิ้นส่วนยานยนต์จากบริษัทต่าง ๆ
และไปจ้างหลายโรงงานให้ผลิตให้ ทำหน้าที่คล้าย ๆ พ่อค้าคนกลาง แต่พอทำ ๆ ไป
มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิด เพราะปัญหามาก เนื่องจากของไม่ได้สเปกบ้าง
สั่งเราผลิตแล้ว อยู่ ๆ ก็ยกเลิกไม่เอาบ้าง โดนโกงบ้าง
ทำให้เราขาดทุนมีหนี้สินพะรุงพะรัง และในที่สุดก็ล้มไม่เป็นท่า
ซึ่งเราก็ไม่ย่อท้อ พยายามเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ว่าจะเริ่มใหม่สักกี่ครั้ง
ผลสุดท้ายก็ล้มเหลวทุกครั้ง ซึ่งเราล้มอย่างนี้มาถึง
2-3 ครั้งแล้ว จนกระทั่งเราไปต่อไม่ได้ เพราะมีหนี้สินเป็นล้าน ๆ
อีกทั้งธนาคารก็กำลังจะมายึดบ้าน ช่วงนั้นพวกเราทั้งเครียด ทั้งกลุ้ม
จึงตัดสินใจเลิกทำธุรกิจ แล้วขายบ้านทิ้งเพื่อปลดหนี้ ตอนนั้น
เราก็คิดว่า ต่อไปจะไม่ทำธุรกิจอีกแล้ว เพราะเข็ดกับปัญหา
เข็ดต่อภาวะหนี้สินจำนวนมหาศาล จนเราต้องขายบ้าน
และไปเช่าแฟลตอยู่ เหมือนกับมาเริ่มที่ศูนย์ใหม่อีกครั้ง
โชคยังดี
ที่ช่วงนั้นสามีได้ย้ายงานใหม่ไปรับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดยกินเงินเดือนที่เยอะขึ้น เราจึงลาออกจากการเป็นข้าราชการครู
มาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน หันมาศึกษาธรรมะ เพราะได้เริ่มเข้าวัดพระธรรมกาย…
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราอีกครั้ง
เพราะอยู่ ๆ ลูกค้าเก่า ที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มาอ้อนวอนขอร้องสามีให้ช่วยผลิตชิ้นส่วนรถบรรทุกให้เขาอีกครั้ง เนื่องจากเขาเห็นว่าเราชำนาญด้านนี้ และด้วยความเกรงใจ
จึงเป็นเหตุให้เราจำเป็นต้องหวนคืนสู่การทำธุรกิจใหม่อีกรอบ โดยการไปเช่าพื้นที่ในโรงงานอื่นขนาด 50 ตารางวา ผลิตชิ้นส่วนรถให้ลูกค้ารายนี้
ขณะที่เรากลับเข้าสู่การทำธุรกิจ
ก็ได้ข่าวการสร้างสภาธรรมกายสากลที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ รองรับคนมานั่งสมาธิจำนวนเรือนแสนคน
ทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำบุญนี้มาก จึงบริจาคทำบุญสร้างเสาค้ำฟ้าไป
1 S ทันที ทั้ง ๆ
ที่ช่วงนั้นเราก็เพิ่งเริ่มมีธุรกิจ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังอะไรมากมาย
อีกทั้งไม่รู้ว่า การหันกลับมาทำธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ จะเจ๊งอีกหรือไม่ แต่เราก็คิดว่า ยังไงก็ต้องทำบุญตรงนี้ให้ได้เพราะถ้าเขาสร้างเสร็จแล้ว แม้ในอนาคตเราจะมีเงิน
ก็หมดสิทธิ์ได้บุญตรงนี้ ซึ่งพอทำบุญเสร็จมันก็แปลก
มีลูกค้ามาจ้างเราผลิตชิ้นส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนโรงงานที่เขาให้เราเช่าพื้นที่บอกว่า
ให้เราหาพื้นที่เปิดโรงงานทำเอง เพราะงานของเราเยอะมาก
จนเขารับงานที่ส่งต่อจากเราไปช่วยประกอบไม่ไหวแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง
ทำให้เราต้องย้ายออกมาเปิดโรงงานแห่งแรกที่ถนนปู่เจ้าสมิงพราย จ.สมุทรปราการ ในปี
2539
โรงงานแห่งที่ 1 |
หลังจากที่ได้ทำบุญ S แรก กับวัดพระธรรมกาย งานก็เข้าอย่างล้นทะลัก จนต้องกลับบ้านดึกถึงตี 1 ตี 2 ทุกวัน จากนั้นสามีก็ต้องลาออกจากงานประจำ มาทำโรงงานเต็มตัว
ซึ่งช่วงนั้นรายได้ต่อเดือนขยับจากเดือนละ 3 แสน..เป็น 5 แสน..เป็น 9 แสนบาท
จนเราก็รู้สึกเหลือเชื่อ !”
แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ..
เพราะพวกเขากำลังก้าวสู่วิกฤตชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ โดยไม่รู้ตัว !
“พอลาออกจากงานในปี 2540 ได้ไม่นาน
ประเทศเราก็เข้าสู่ภาวะ IMF ทันที
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ล้มระเนระนาด หยุดการก่อสร้างหมด
รถบรรทุกที่ใช้ในการขนดินขนหินก็ไม่มีงานทำ ทำให้เราเจอผลกระทบโดยตรง
เนื่องจากโรงงานเราผลิตชิ้นส่วนรถบรรทุก ทำให้เราไม่มีออร์เดอร์เข้ามาเลย
หรือแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สั่งของกับเรา อยู่ ๆ ก็ยกเลิกไม่เอาของไปเฉย ๆ
แถมจะเอาไปขายต่อให้ใครเขาก็ไม่รับ จนต้องเอาไปย่อยเป็นเศษเหล็ก
วิกฤตครั้งนี้..ทำให้เราฟุบไม่เป็นท่า ขาดทุนย่อยยับ จนคนงานทยอยลาออก
จากเดิมที่มีคนงานถึง 27 คน ก็เหลือเพียง 3 คน
เราทุกข์และเครียด
เพราะเป็นการล้มครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวเรา สามีก็ไม่มีงานจะทำแล้ว
ส่วนเราก็ลาออกจากครูแล้ว เรียกได้ว่า หมดตัว ติดลบ หมดหนทาง
จนเราต้องหอบครอบครัวมาวัด มากราบหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ซึ่งท่านก็บอกให้ครอบครัวเราอยู่ในบุญ ให้นั่งสมาธิ และให้พรว่า
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้โรงงานลูกมีงานทำตลอดไป...
ซึ่งพอกลับไป
มันแปลกมาก จากออร์เดอร์ที่ไม่มีเข้ามาเลย ก็เริ่มทยอยเข้ามา จนพอมีเงินเข้ามาบ้าง
และพอมีเงินเข้ามา เราก็จะแบ่งเงินนั้นไปทำบุญตลอด เพื่อเติมบุญให้กับตัวเอง
เพราะเราคิดว่า
การที่ตั้งโรงงานหรือเริ่มธุรกิจมาตั้งหลายครั้งแต่ก็ต้องมีอันเป็นไปทุกครั้ง
เพราะบุญเราไม่ถึง ดังนั้นเราต้องทำให้ตัวเองบุญถึง
และมากพอที่จะรองรับสมบัติที่ใหญ่กว่าเดิม คือ ได้เป็นเจ้าของโรงงานแบบสบาย ๆ กับเขาสักที ดังนั้นพอถึงช่วงบุญใหญ่
งานทอดกฐินประจำปีทีไร
แม้เราไม่ค่อยจะมีเงิน ก็ยังคงทุ่มทำบุญอย่างสุดกำลัง ในช่วงปี 2541-2543
ทั้ง ๆ ที่เรามีหนี้ท่วมหัวแท้ ๆ แต่เราก็ตัดสินใจทำบุญกันมากถึงระดับ S มาตลอด
ซึ่งพอทำเสร็จ เราก็ฟื้นตัวแบบเป็นขั้นบันได
หลังจากนั้นเพียง 3 ปี พอถึงปี 2544 เราสามารถปลดหนี้ได้เกือบหมด และเป็นปีที่เราคิดว่า
ถึงเวลาแล้ว..ที่เราจะต้องเป็นประธานกองกฐิน 1 M สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเราเชื่อว่า..บุญจากการเป็นประธานกองกฐิน
เป็นบุญที่มากในระดับที่สามารถจะรองรับสภาวะผู้นำได้ คือ ถ้าเราคิดจะเป็นเจ้าของโรงงาน
เจ้าของกิจการ หรือเป็นประธานบริษัท เราต้องมีบุญในระดับประธาน ซึ่งบุญนั้น ก็คือ
การเป็นประธานกองกฐิน และที่สำคัญเราอยากจะทำบุญนี้บูชาธรรมหลวงปู่วัดปากน้ำ
เพื่อเป็นการตอบแทนท่าน ที่ท่านมาเข้าฝัน แล้วมีเหตุให้เราเข้าวัดมาศึกษาธรรมะ
..แต่การทำบุญ M
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้เราจะปลดหนี้แล้ว แต่เป็นช่วงที่เราฟื้นตัว คือ ไม่มีเงินนอนนิ่ง ๆ ถึง 1 M มีแต่เงินหมุนในธุรกิจ ซึ่งวันจันทร์หน้า
เราต้องเอาเงินหมุนก้อนนี้ไปจ่ายลูกค้า !!!
เราจึงคิดว่าเป็นไงเป็นกัน
จะเอาเงินก้อนนี้แหละชิงทำบุญก่อน เพราะกลัวว่าเกิดธุรกิจเราล้มขึ้นมาอีก
เราจะไม่มีเงินทำบุญจะหมดโอกาสเป็นประธานกองกันชาตินี้ เพราะชีวิตเราเจอภาวะธุรกิจล้มมาหลายครั้งแล้ว
และเราก็คิดต่ออีกว่า แม้ทำบุญครั้งนี้..เราจะหมดตัว ก็รับได้ แล้วก็จะไม่เสียใจ
ไม่เสียดายด้วย เพราะเป็นการตัดสินใจของเราเอง เพราะสถานภาพของเราตอนนี้
หากบุญไม่ถึงก็ไปต่อไม่ได้ แล้วเราก็จะหวนกลับเข้าสู่ภาวะอับจนอีก
และในที่สุด..เราก็ตัดสินใจเอาเงิน M
แรกของชีวิตถวายเป็นประธานกองกฐิน เราปลื้มจนน้ำตาไหล แม้ทุกวันนี้ ย้อนนึกถึงแล้ว
น้ำตาก็ยังไหลเพราะความปลื้ม เพราะน้อยคนนักที่จะกล้าตัดสินใจอย่างเรา”
แต่ก็มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!!
“หลังจากเราทำบุญไปแล้ว
ธนาคารที่เรายื่นเรื่องทำโอดีไว้ยังไม่อนุมัติวงเงิน
แต่เราก็โชคดีที่ได้เงินกู้จากแหล่งใหม่ที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
แถมยอมปล่อยเงินมาให้เราก่อนกำหนด จึงทำให้เราสามารถจ่ายเงินลูกค้าในวันจันทร์ได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิว
และนับจากวันนั้น
ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นในธุรกิจ คือ
สามีไปเจออดีตเจ้านายเก่าในงานศพเพื่อน ซึ่งพอคุยกันไปคุยกันมา
เจ้านายเก่าเขาก็คิดจะช่วยเหลือเรา
จึงสั่งให้ผู้จัดการทุกโรงงานที่เขามีคอนเน็กชั่นอยู่
ปล่อยงานทำชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ให้เราหมด ซึ่งเรางงมาก เพราะนับจากวันนั้น
ออร์เดอร์เข้าอย่างกับพายุ มียอดการสั่งพุ่งไปถึง 27 ล้านบาทต่อเดือน จนต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ทำให้รายได้เราถีบตัวสูงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว และหลังจากทำบุญกฐิน M แรกเพียงไม่กี่เดือน เนื่องจากเรามีออร์เดอร์เข้ามามากอย่างต่อเนื่องจึงสามารถทำบุญต่อเป็น M
ที่ 2 ในงานสลายร่างคุณยายทันที
และนับจากนั้น...
ชีวิตเราก็พลิกฟื้นได้แบบมั่นคง เพราะงานเข้ามามากจนเราก็ไม่อยากจะเชื่อ
จนมีกำไรทยอยคืนหนี้โอดีแบงก์ได้เร็วมาก ซึ่งถ้านับเวลาหลังจากทำบุญกฐิน
M แรก ผ่านไปเพียง 2 ปีเท่านั้น
เราก็ขยายโรงงานเพิ่มขึ้นเป็นโรงที่ 2 ในปี 2546 มีคนงานเพิ่มเป็น 40 คน
มีเงินซื้อบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่และสวยกว่าเดิม มีเงินไปซื้อที่ดินสะสมเอาไว้มากมาย สามารถทำบุญอื่นๆได้อีก
อีกทั้งยังมีเงินทำบุญเป็นประธานกองกฐินในระดับ
M ได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง...
บ้านที่ซื้อหลังจากที่เจออานุภาพบุญ |
โรงงานแห่งที่ 2 |
โรงงานแห่งที่ 3 และ 4 |
ตอนนี้..เราเริ่มเป็นเศรษฐี
มีความมั่นคงทางอาชีพและการเงินมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว จนกระทั่งถึงงานกฐินปี 2550
เรามีเงินทำบุญทอดกฐินมากถึง 10 M และพอหลังจากทำบุญไปนี่เอง
กำไรเราก็เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 4-5 ล้านบาท
ทั้ง ๆ ที่จากเดิมเราคือมนุษย์เงินเดือนธรรมดาเท่านั้น
ส่งมอบธุรกิจให้รุ่นลูก ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำปี 2550 !!
“หลังจากที่มิ้มเรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอกแล้ว
ระหว่างที่รอต่อปริญญาเอก
ก็บินกลับมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานโรงงานเนื่องจากคุณพ่อป่วยหนัก และคุณแม่ก็ต้องคอยดูแลคุณพ่อตลอดเวลา
จึงกลายเป็นว่ามิ้มกับหม่อนต้องมารับช่วงกิจการแทนท่านทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นมิ้มอายุได้แค่
25 ปีเท่านั้น แม้เป็นเด็กจบใหม่ไฟแรงก็จริง
แต่ไม่มีประสบการณ์เพราะมิ้มกับหม่อนไม่ได้เรียนวิศวะฯ แถมเรียนมาทางสายศิลป์ภาษา ไม่มีความรู้เรื่องช่างกันเลย
หนำซ้ำยังเป็นเด็กผู้หญิง
ในโรงงานมีแต่ผู้ชาย ที่เป็นทั้งวิศวกร ทั้งช่าง
ซึ่งในสายตาของพนักงาน มิ้ม ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์
จะคุมงานอย่างไร?
“ความรู้สึกจากใจจริงของมิ้มที่เข้ามาสานต่องานโรงงานจากคุณพ่อคุณแม่
ซึ่งนอกจากเป็นการตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองแล้ว ยังเกิดจากความรู้สึกที่มิ้มอยากตอบแทนพนักงานทุกคนในโรงงานแห่งนี้
ที่มีส่วนช่วยกันสร้างโรงงานตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่
จนท่านสามารถให้โอกาสมิ้มได้เรียนสูง ๆ จบอักษรจุฬาฯ จบเมืองนอก ซึ่งมิ้มถือว่า
ทุกคนมีส่วนทำให้มิ้มได้โอกาสที่ดีที่สุดตรงนี้ และการที่มิ้มกลับมาวันนี้
มิ้มอยากจะกลับมาดูแลพี่ ๆ พนักงานทุกคน เพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสุขขึ้น
แต่การที่มิ้มจะทำตรงนี้ได้นั้น
มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากมิ้มไม่ได้เอาสิ่งที่เรียนรู้จากวัดพระธรรมกายมาใช้
เพราะตั้งแต่เด็ก มิ้มได้รับการหล่อหลอมจากวัด ถูกฝึกฝนเรียนรู้จากกิจกรรมของวัด เช่น การให้กำลังใจ ภาวการณ์เป็นผู้นำ
การรวมใจ การสร้างความสามัคคี เพราะวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรใหญ่
มีระบบการบริหารที่ดี เนื่องจากวัดต้องบริหารเจ้าหน้าที่ในองค์กรเป็นพัน ๆ คน
อีกทั้งมิ้มยังถูกส่งไปต่างประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนของวัดในการทำกิจกรรมทางด้านศาสนา
ซึ่งตรงจุดนี้เอง
ทำให้มิ้มมีประสบการณ์ที่เอามาใช้ในการบริหารโรงงานได้อย่างดีเยี่ยม
อีกทั้งการที่มิ้มฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็ก
ๆ ทำให้มิ้มเรียนรู้งานจากคุณพ่อได้เร็วและแอปพลายได้เก่ง ทั้ง ๆ
ที่เป็นงานสายวิศวะแท้ ๆ เพราะขณะคุณพ่อสอนงาน มิ้มมีสมาธิต่อเนื่องไม่วอกแวก
จำแม่น จนสามารถดูแบบและแก้ปัญหางานได้ชนิดที่มิ้มเองก็ไม่อยากจะเชื่อ”
มิ้มมีหลักการบริหารโรงงานอย่างไร
“มิ้มดำเนินธุรกิจตามหลักการบริหารที่คุณพ่อแนะนำ
แต่มิ้มเพิ่มนโยบายส่วนตัว คือ
ปีใหม่ไม่เลี้ยงเหล้าพนักงาน และไม่ให้ของขวัญที่เป็นเหล้า
และไม่รับเหล้ากับใครเลย มิ้มชัดเจนตรงนี้มาก
เพราะมิ้มมีความปรารถนาดีกับพนักงานกับลูกค้าของมิ้ม เพราะหากให้เหล้าเขาดื่ม
หากเขาเมาแล้วประสบอุบัติเหตุตาย ก็เท่ากับมิ้มหยิบยื่นความหายนะให้กับเขา
อีกทั้งพอกลับบ้านไป ก็ไปทะเลาะกับคนที่บ้าน
ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี มิ้มจะเอาไปให้ลูกค้าหรือพนักงานทำไม
อย่างหัวหน้างานที่นี่ มิ้มให้นโยบายว่า
อย่าดื่มเหล้ากับลูกน้องเด็ดขาด เพราะการเป็นเจ้านาย
ถ้าเราไปเมาให้ลูกน้องเห็นในวงเหล้า แล้วเผลอพูดจาเลอะ ๆ เทอะ ๆ เวลาสั่งงานเขา
เขาจะไม่เชื่อเรา และจะเสียการปกครองในภายหลัง เพราะลูกน้องจะรู้สึกว่า
หัวหน้าคนนี้ก็ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน ก็เป็นแค่ไอ้ขี้เหล้าวงเดียวกัน
ดังนั้นเขาจะไม่เกรงใจเรา
นอกจากนี้
มิ้มยังส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เปิดโอกาสให้โรงงานของเราเข้าร่วมสอบทางก้าวหน้า
(World-PEC) ไปร่วมงานตักบาตรพระตามจังหวัดต่าง ๆ นิมนต์พระอาจารย์มาอบรมสมาธิ อีกทั้งพอถึงช่วงงานสันทนาการประจำปี ต้องจัดกิจกรรมหล่อหลอมให้กับพนักงาน
เพื่อให้เขาสามัคคีกัน และเพื่อเป็นการพัฒนาให้เขาเกิดจิตสำนึกรักโรงงาน
โดยให้เขาช่วยกันพัฒนาโรงงาน เช่น ช่วยกันทาสี ช่วยกันทำความสะอาดโรงงาน จนเขาเกิดความรู้สึกว่า โรงงานเป็นของเรา
เราต้องช่วยกัน
เพราะถ้าเราจับมือกันทำให้โรงงานดี เราก็จะดีไปพร้อม ๆ กันทุกคน
สิ่งเหล่านี้มิ้มได้วัดพระธรรมกายเป็นต้นแบบค่ะ”
การรับช่วงโรงงานต่อจากคุณพ่อคุณแม่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
มีผลกระทบอะไรไหม ?
“ไม่กระทบเลย แถมกำไรเพิ่มมากกว่าเดิม
เพราะมิ้มใช้หลักเดียวกับที่คุณพ่อคุณแม่ทำมาโดยตลอด คือ ไม่ทิ้งบุญเลย และทำบุญทุกบุญเต็มที่ในระดับ
M และทำบุญทอดกฐินแบบสุดกำลังมาโดยตลอด จนอยู่ ๆ แม้ภาวะเศรษฐกิจตก ในต้นปี 2553 บุญก็ส่งผลแบบพรวดพราด คือ
งานเข้ามามากจนมิ้มถูกบีบให้ขยายโรงงานเป็นโรงที่ 3 อีก 1 โรง และตอนปลายปี
ก็ขยายโรงงานโรงที่ 4 ได้อีก 1 โรง
และสามารถซื้อโรงงานโรงที่ 5 เอาให้เขาเช่าได้อีก 1 โรง ซึ่งรวมแล้วตอนนี้มีคนงานมากถึงเกือบ 100 คน
จนกระทั่งถึงงานบุญทอดกฐินปี 53 ซึ่งเป็นปีที่เราไม่มีเงินนอนนิ่ง
ๆ อะไรมากมาย เพราะอยู่ในช่วงขยายโรงงานถึง 2โรง ต้องสั่งเครื่องจักรเข้ามาเยอะ
แต่เราก็ทำกันอย่างสุดกำลังที่ 11 M และพอทำบุญเสร็จ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งขยายโรงงานแท้
ๆ แต่โรงงานของเราก็ทุบสถิติกลายเป็นโรงงานที่มีการทำงานล่วงเวลา
(โอที) มากที่สุดโรงงานหนึ่งในละแวกนั้นเลย
เพราะงานเข้าเยอะจนทำไม่ทัน จนทุกวันนี้ต้องไปจ้างโรงงานอื่นให้ช่วย”
ความรู้สึกของพ่อแม่ น้องมิ้ม น้องหม่อน
“ทุกวันนี้ ครอบครัวเรามีความสุขมาก
พอย้อนนึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังจนเพราะเราไม่มีสมบัติ ไม่มีมรดก
ไม่มีกิจการจากพ่อแม่ เป็นเพียงลูกจ้างกินเงินเดือน แม้อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง
แต่เมื่อเราบุญไม่ถึง กิจการจึงล้มแล้วล้มอีก แต่ปัจจุบันเรามีมากกว่าที่เราคาดหวัง
คือ มีถึง 5 โรงงาน นึกแล้วยังปลื้ม รู้สึกคิดไม่ผิดที่เราตัดสินใจเป็นประธานกฐิน
M แรก เพราะนับจากนั้นชีวิตก็พลิกมาโดยตลอด จนเราเองก็ไม่อยากเชื่อ”
วรรณนรี - พิมพวรรณ ไตรเนตร |
ความรู้สึกของลูก ๆ
“มิ้มกับหม่อนไม่ใช่คนเก่ง
แถมเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์อะไรมาจากไหน จึงเชื่อมั่นว่า
บุญมีจริงและบุญเท่านั้นที่ทำให้มิ้มมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เพราะบุญ
คือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จในชีวิตมนุษย์
มีแต่คนแปลกใจที่เห็นมิ้มมาทำงานโรงงานได้ดีถึงขนาดนี้ ซึ่งถ้าไม่ใช่เป็นเพราะครอบครัวเรามาวัดและทำบุญอย่างสุดกำลัง
มิ้มก็คงจะเป็นเหมือนนักศึกษาจบใหม่หลาย ๆ คน ที่ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
อาจจะตกงานหรือได้งานที่เลือกไม่ได้ ได้เงินเดือนแค่หลักหมื่น แต่เพราะบุญแท้ ๆ
ทำให้แม้ไม่มีประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความรู้โดยตรง
ก็สามารถสืบทอดกิจการโรงงานและบริหารงานได้เดือนละหลายล้านบาท
อีกทั้งยังขยายโรงงานได้เพิ่มอีก 3 โรงงานภายในปีเดียว ในเจนเนอเรชั่นเน็กซต์อย่างมิ้มและหม่อน หากไม่เรียกว่าบุญ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ณ วันนี้ มิ้มกับหม่อนภูมิใจที่สุด
ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่
เพราะถ้ามิ้มไปเกิดเป็นลูกคนรวยคนอื่นที่ไม่เข้าวัด มิ้มก็อาจจะรวย
แต่ไม่เข้าใจวิถีการดำเนินชีวิต
อาจใช้เงินลงทุนในธุรกิจอบายมุขหรืออาจจะรักษาสมบัติที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้ฝึกฝนตัวเอง
จนมีความสามารถมารองรับงานได้ดีถึงขนาดนี้ เพราะตลอดเวลามิ้มรู้ตัวดีว่า
มิ้มไม่ได้เป็นคนเก่งที่สุด ไม่ได้ฉลาดที่สุด
แต่มิ้มได้โอกาสในการออกแบบชีวิตเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ
รุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งหมดนี้ได้มาเพราะการที่คุณพ่อคุณแม่พาไปวัดตั้งแต่เล็ก
สอนมิ้มเรื่องการทำบุญ ให้มิ้มฝึกสมาธิ และทำกิจกรรมเยาวชนกับทางวัด
อีกทั้งยังปลูกฝังลูก ๆ ว่า
เราต้องสั่งสมบุญทุกบุญอย่างเต็มที่โดยเฉพาะทุกปีเราต้องเป็นประธานกองทอดกฐิน เพราะบุญนี้เป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก ที่ทำให้เรามีวันนี้
ดังนั้น
มิ้มกับหม่อนจึงอยากขอเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมเป็นประธานทอดกฐินกันเถอะค่ะ เพราะ
ครอบครัวเราพิสูจน์แล้วว่า เป็นบุญที่พลิกชีวิตและพลิกวิกฤตได้จริงๆ”...
ภาพ : วีชิน ปรีดาเกษมศักดิ์ / ประยงค์ เปรียบยอดยิ่ง
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
ภายในไม่กี่ปีมีตั้ง 5 โรงงาน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:16
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: