บางเรื่องไม่รู้ไม่ได้
ตั้งแต่กลางๆ ปี ๒๕๓๐ จนกระทั่งถึงเวลาที่เขียนเรื่องนี้
กรกฎาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าได้รู้จักกับเด็กสาวผู้หนึ่ง
ซึ่งข้าพเจ้ามักเรียกเธอแต่เพียงว่า “หนู หนู” ถ้ามองดูเพียงหน้าตา ใครๆ ก็จะต้องเห็นพ้องกับข้าพเจ้าว่า
อายุของเธอคงจะประมาณ ๒๐ ปีเป็นอย่างมาก จนวันหนึ่งเธอนำบัตรประจำตัวประชาชนมายืนยันให้ดูจึงทราบว่าเธอมีอายุถึง
๓๒ ปี เธอเป็นคนเชื้อชาติจีน พูดไทยไม่ใคร่ชัดนัก ผมยาวประบ่า
ไม่ดัดหรือตกแต่งพิเศษอย่างใด
จำได้ว่าวันแรกที่รู้จักกัน เธอได้เล่าประสบการณ์การปฏิบัติธรรมให้ข้าพเจ้าฟัง การเห็นกายในกายของเธอรวดเร็วมาก เมื่อเธอเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนมักไม่เข้าใจ และชอบท้วงติงราวกับจะพูดให้เธอรับรู้ว่าตัวเธอเองกำลัง “เพี้ยน”
ข้าพเจ้าจึงสั่งเธอว่า นับแต่นี้ต่อไปอย่าพูดบอกเพื่อนๆ อีก ให้ไปนมัสการเล่าถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเจ้าอาวาส สัปดาห์ต่อมาเธอบอกข้าพเจ้าว่า เธอได้ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีแขกมาพบมาก ส่วนใหญ่เป็นคนเพิ่งมาวัดใหม่ๆ เธอยังไม่ทันอ้าปากเล่าสิ่งใดถวาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับมองหน้าเธอด้วยสายตาอ่อนโยนเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา และยกมือขึ้นในระดับหัวเข่าเป็นอาการห้าม เธอจึงลากลับ
“ป้าคะ ทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านห้ามไม่ให้หนูเล่า หนูไม่เข้าใจค่ะ?” เธอถามข้าพเจ้า
“ที่ศาลาดุสิต ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่งรับแขกนั่นน่ะ หนูก็บอกป้าอยู่แล้วว่าแขกที่มากันใหม่ๆ พากันไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งนั้น เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจหลักการปฏิบัติกรรมฐานแบบของเรา ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่ออนุญาตให้หนูเล่าถวาย คนเหล่านั้นก็ต้องได้ยินด้วย คนที่เข้าใจและมีความเลื่อมใสศรัทธาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่เขาไปเพื่อสำรวจหรือทดลองพิสูจน์ในเรื่องอื่นๆ ยังมีศรัทธาและความเข้าใจในหลักธรรมปฏบัติไม่เพียงพอ อาจจะนึกตำหนิคลางแคลงใจ และเห็นว่าสิ่งที่หนูได้พบเห็นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ พลอยให้นึกเลยว่า หนูเป็นคน “เพี้ยน” หนักยิ่งกว่าที่เพื่อนของหนูว่าด้วยซ้ำไป หนูรู้มั้ยคนที่นึกดูถูกผู้มีประสบการณ์อย่างหนูน่ะ เขาจะมีบาปกรรมติดตัวไปนับไม่ถ้วนทีเดียว พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสงสารพวกเค้าน่ะ ท่านจึงทำมือห้ามหนูในที่ยังงั้น” ข้าพเจ้าอธิบายไปตามความคิดเห็นของตนเอง
“งั้นหรือคะ ถ้าป้าคิดว่าท่านมีเหตุผลยังงั้น หนูก็เข้าใจแล้วค่ะ แต่หนูก็อยากรู้นี่คะว่า สิ่งที่หนูเห็นนั่นมันเป็นอะไรกัน และเป็นการเห็นที่ถูกหรือเปล่า” อีกฝ่ายกล่าว
“ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลองพูดให้ป้าฟัง สิ่งใดที่ป้าเคยรู้เคยเห็นมาบ้างแล้ว คงพอคุยกันได้”
นับแต่วันนั้นต่อๆ มา แทบทุกสัปดาห์ เธอผู้นี้มักจะเล่าผลการปฏิบัติธรรมของเธอให้ข้าพเจ้าฟังอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงตามหลักการปฏิบัติทุกอย่าง นับตั้งแต่กำหนดนิมิตได้ชัดเจน มีดวงธรรมต่างๆ เกิดขึ้นแทนนิมิต ต่อจากนั้นจึงเห็นกายต่างๆ จนครบ ๑๘ กาย แต่ละครั้งที่เห็นกายใดๆ ก็ตาม ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง รวมทั้งความสามรถในการสัมผัสสิ่งต่างๆ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะหมดไปจากร่างกายของเธอ แต่เข้าไปมีอยู่ในร่างใหม่ที่เห็นนั้นทันที
“ป้าจ๋า อาทิตย์นี้หนูดูกายต่างๆ ทบไปทวนมาจนเบื่อแล้วล่ะค่ะ จะให้ทำยังไงต่อไป”
“เข้ากลาง ไปในกายใหม่เรื่อยไปซีลูก” ข้าพเจ้าบอก
สัปดาห์ต่อมา “ป้าจ๋า หนูเข้ากลางกายธรรมไปเรื่อยๆ กายธรรมองค์สุดท้ายน่ะค่ะ” เธอหมายถึง กายธรรมอรหัต
“มีกายธรรมแยะมั้ยล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
“มีจำนวนนับไม่ไหวเลยค่ะป้า เป็นล้านๆ เลย ยิ่งเข้ากลางไปมากเท่าไหร่ ยิ่งสบายใจ มีกำลัง ไม่เหน็ดเหนื่อย นี่หนูทำซ้ำอยู่ทั้งอาทิตย์แล้ว อยากให้ป้าสั่งใหม่ให้แปลกออกไป”
ข้าพเจ้าอึดอัดใจเต็มที เรื่องการสอนธรรมะขั้นละเอียดลึกซึ้งข้าพเจ้ายังทำไม่ได้ เพราะบางครั้งพลังจิตของข้าพเจ้าไม่สามารถทำให้ละเอียดมีพลานุภาพในเวลารวดเร็ว ลักษณะของเด็กสาวผู้นี้มีอำนาจสมาธิเข้มแข็ง จิตทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ควรได้รับคำสอนโดยตรงจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน แต่พอข้าพเจ้าขอให้เธอไปพบพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก เธอก็จะอ้างแต่ว่า
“เดี๋ยวก็เจอพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีแขกมากพบ หนูถูกห้ามเล่าอย่างเก่านั้นแหละป้า”
ผลที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอทำได้ต่อไป
“เข้ากลางกายธรรมไปเรื่อยๆ หนูเคยไปดูพระธรรมกายในพระนิพพานบ้างรึเปล่า”
“หนูไปบ่อยเลยค่ะ”
ตอบแล้วเธอก็บรรยายลักษณะของพระนิพพานอย่างละเอียดรวมทั้งความรู้ต่างๆ ที่เธอสอบถามเอาจากพระธรรมกายในพระนิพพานนั้นด้วย
นับว่าผลการปฏิบัติธรรมของสตรีผู้นี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ความรู้ต่างๆ ที่เธอได้รับจากการเจริญภาวนา หลายเรื่องตรงกับความรู้ทางภาคปริยัติอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่เธอไม่เคยเล่าเรียนหรือรู้มาก่อน ภาษาไทยเองก็เขียนไม่ใคร่เป็น เขียนคล่องอยู่ก็เพียงชื่อและนามสกุลของตนเอง การอ่านก็ไม่คล่องแคล่วแต่อย่างใด เมื่อถามดูว่าความรู้เกิดขึ้นในใจขณะภาวนาเป็นลักษณะใด เธอจะตอบว่า
“หนูเห็นเป็นภาพค่ะป้า หนูเข้าใจตามภาพที่เห็นเหล่านั้นได้ เรื่องใดที่หนูเรียกชื่อไม่ถูก หนูก็ถามพระธรรมกายในพระนิพพาน ท่านจะบอกชื่อให้”
ตอบแล้วเธอก็ยกตัวอย่างเรื่องต่างๆ ว่าเรียกชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ บางเรื่องถูกต้องลึกซึ้งยิ่งกว่าข้อความที่มีเขียนกันไว้ในตำรับตำรา อย่างเช่นคำที่เรารู้จักดีคือ “กิเลสมาร” เธอบอกว่าพระธรรมกายเรียกว่า “มารกิเลส”
ตอนแรกข้าพเจ้าโต้แย้งว่าเธอจำมาผิดหรือเปล่า เธอปฏิเสธ เมื่อข้าพเจ้ามานึกทบทวนหลักอักษรศาสตร์ คำว่า กิเลสมาร ถ้าจะแปลให้ตรงต้องแปลว่า มารของกิเลส
ส่วนคำว่า มารกิเลส แปลว่า กิเลสของมาร คำหลังนี้ถูกต้องกว่าจริงๆ
“หนูเห็นตัวมารกิเลสด้วยค่ะป้า พระธรรมกายท่านแสดงภาพให้ดู”
เธอขยายความและเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียดเป็นเรื่องๆ ไป ตรงกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสสอนไว้ในโอกาสเฉพาะเป็นอัศจรรย์ เธอผู้นี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังไม่เคยสอน แต่เธอได้รู้เห็นด้วยการภาวนาของเธอเอง
บางสัปดาห์ข้าพเจ้าจนแต้มเข้าจริงๆ เมื่อถูกเธออ้อนวอนว่า สัปดาห์ต่อไปเธอควรจะดูสิ่งใด พอดีเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าต้องบรรยายธรรมเรื่อง “รูปร่างกาย” ให้ข้าราชการบางกลุ่มฟัง จึงบอกเธอว่า
“เอายังงี้ซี้ อาทิตย์นี้หนูลองไปเที่ยวสำรวจการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็ได้”
เธอได้สำรวจอยู่หลายเรื่องโดยเล่าว่า “เวลาหนูจะดูว่าอวัยวะอะไร มันทำงานกันอย่างใด หนูจะเข้าไปเป็นอวัยวะอย่างนั้นๆ เสียเลย หนูเห็นอย่างแจ่มแจ้งยิ่งกว่ามองดูเสียอีก”
ที่ข้าพเจ้าจำได้เธอดูการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในเส้นผม
ในดวงตา ในเลือด ในร่างกายของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งคลอด
ซึ่งก็ตรงกับความจริงทางสรีรศาสตร์ทุกอย่าง ที่พิเศษ คือ เห็นได้ละเอียดกว่ามาก
เช่นเห็นการทำงานของกรรม ในเวลาที่ทารกกำลังเจริญเติบโตขณะอยู่ในครรภ์
เห็นตัวกรรมทำหน้าที่ควบคุมเซลล์ที่ทำหน้าที่ก่อสร้างรูปกายอย่างชัดเจน
เหมือนกรรมกรเป็นผู้คุมงานก่อสร้างบ้านเรือนฉันใดฉันนั้น
ดังนั้นรูปร่างหน้าตาที่คนเราแต่ละคนสวยงามหรือขี้เหร่แตกต่างกันไปด้วยการมีกรรมคุมการเจริญเติบโตของร่างกายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
เฉพาะในตอนที่เธอเข้าไปดูการทำงานของเม็ดโลหิต เธอพูดว่า
“ป้า ทีนี้หนูไม่ดูการทำงานของเม็ดเลือดอีกแล้ว มันหมุนเวียนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หนูก็ตามไปกะมัน พอถึงตอนที่เม็ดเลือดมันผ่านหัวใจ หนูรู้สึกเหมือนตัวหนูกระดอนขึ้นกระดอนลงตามจังหวะการเต้นของหัวใจไปด้วย กว่าจะพ้นออกจากหัวใจมาได้ต้องเต้นไปด้วยตั้งนาน เบื่อเลย”
หลังจากเที่ยวสำรวจตรวจตราการทำงานและส่วนประกอบของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่หลายสัปดาห์แล้ว ข้าพเจ้าถามเธอว่าได้ประโยชน์อะไรต่อจิตใจบ้าง เธอตอบว่า
“ป้า หนูไปดูร่างกายของเราแล้ว น่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุดเลย ไม่มีอะไรดีสักอย่างเดียว ไม่มีส่วนไหนดีขึ้นเลย มีแต่เสื่อมลงๆ พวกเซลล์ในร่างกายพอมันตายลง พวกที่เกิดขึ้นแทนก็เกิดใหม่ได้ไม่เท่าเดิม คือลดจำนวนลงด้วย ไม่แข็งแรงเท่าเดิมด้วย”
ฟังคำตอบแล้วทำให้ข้าพเจ้านึกไปว่า
“โอ้โฮ นี่เราสอนให้เค้าเจริญวิปัสสนาเอาเลยรึเนี่ย ถ้าเบื่อรูป เบื่อนาม ก็เป็นอันใช้ได้...เจ้าประคุณเอ๋ย เมื่อไหร่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะสร้างสถานภาวนาชั้นสูงเสียที จะได้เก็บเอาตัวเด็กสาวผู้นี้ไปเจริญภาวนาขั้นสูงซะ ขืนให้คอยถามเรายังงี้ เราคงหมดปัญญาสอนวันหนึ่งแน่ๆ”
ในระยะหลังๆ ดูการปฏิบัติธรรมของเธอก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก ทางภาคปริยัติเรียกว่ามี วสี คือ ความชำนาญ เธอบอกว่า
“เวลาหนูนึกอยากรู้เรื่องอะไร เรื่องนั้นก็แสดงให้เห็นเป็นภาพให้รู้ขึ้นมาได้เองทันที บางครั้งมีคำอธิบายเกิดขึ้นพร้อมด้วย”
มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นสัปดาห์กลางเดือนกรกฎาคม เธอถามข้าพเจ้าว่า
“ป้า พอหนูอยากรู้เรื่องในอดีตที่ผ่านมาเป็นตั้งร้อยปีพันปี ทำไมภาพมันเกิดขึ้นได้ล่ะ เรื่องนี้หนูไม่เข้าใจ ว่าภาพเกิดให้ดูใหม่ได้ยังไง ในเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปจนหมดแล้วนี่คะ”
“นี่หนูไปดูเรื่องอะไรมาล่ะ ป้าบอกแล้วไง ให้เข้ากลางองค์พระเรื่อยไป ไม่ควรไปดูโน่นดูนี่”
ข้าพเจ้าวางมาดบ่นไปตามเรื่อง ความจริงนึกเป็นห่วงตัวเองต่างหาก การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้ายังมิได้อยู่ในระดับเชี่ยวชาญ ถ้าเธอผู้นี้ถามเรื่องยากๆ เธอไปรู้ไปเห็นเรื่องที่ข้าพเจ้ายังปฏิบัติไปไม่ถึงข้าพเจ้าจะเอาอะไรไปอธิบายหรือยืนยันในสิ่งที่เธอพบเห็น
“หนูไปเห็นภาพอะไรๆ ในอดีตเข้าล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
“หนูไปดูภาพตอนที่โลกเรากำลังแตกมา แล้วก็ดูตอนโลกกำลังเกิดใหม่ด้วย”
ตอบแล้วเธอก็บรรยายอย่างละเอียด ละเอียดเสียยิ่งกว่าที่มีในตำรับตำราต่างๆ ที่ข้าพเจ้าติดใจตอนหนึ่งตรงที่เธอว่า
“ป้ารู้มั้ย หนูถามพระพรหมด้วยนะ ตอนที่โลกเพิ่งเกิดใหม่ๆ น่ะค่ะ เขาเป็นต้นกำเนิดของพวกเรานี่ หนูถามเค้าว่า ลงมาเกิดทำไมถ้าจะหมดบุญก็รีบทำฌาณต่อซะซี่ จะได้อยู่พรหมโลกต่อไป มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม ต้องมาพบกับความทุกข์เปล่าๆ”
“พระพรหมยุคนั้น เค้าเรียก อาภัสสราพรหม จ้ะ เค้าตอบหนูว่ายังไง” ข้าพเจ้าถามต่อ
“เค้าบอกหนูว่า ถ้าไม่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่มีทางหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ยังมีโอกาสสร้างบารมีจนสามารถเลิกเกิดได้”
คำตอบนี้จับใจและกินใจข้าพเจ้าจริงๆ เป็นคำตอบที่ไม่มีเขียนไว้ในคัมภีร์ใดๆ
นอกจากนี้เธอก็เล่าถึงการอยากรู้อดีตเรื่องอื่นๆ มีเรื่องที่สะดุดใจอีกเรื่อง คือเธอบอกว่า
“วันนั้น หนูเอาใจพร้อมทั้งความรู้สึกในประสาททั้ง ๕ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไปไว้ในกายธรรม ก็มองเห็นกายเนื้อเป็นเหมือนกองเนื้อและกระดูกวางอยู่ หนูเบื่อมันจัง เลยเลิกดู แล้วหนูก็นึกเอากายใหม่(กายธรรม) ของหนูออกไปอยู่นอกโลก พอมองกลับมาที่โลก หนูเห็นอะไรสิ่งหนึ่งเป็นทางยาวๆ พอไปดูใกล้ๆ ก็เห็นมันเป็นกำแพงเมืองจีนน่ะเอง หนูเห็นฝรั่งเดินเที่ยวกันอยู่ หนูก็ไปเดินเที่ยวกับเค้ามั่ง ตอนเดินอยู่นั่นเอง หนูก็นึกถึงว่ามีคนเล่ากันว่าการสร้างกำแพงเมืองจีนนี้มีผู้คนล้มตายมากมายจริงหรือเปล่านะ พอนึกแค่นั้นแหละค่ะป้า มองเห็นภาพกองกระดูกในหลุมขนาดใหญ่ๆ อยู่บริเวณใต้กำแพงเต็มไปหมดเลยค่ะ”
เธอหยุดเล็กน้อย ข้าพเจ้ารีบบอกให้เล่าต่อ
“พอหนูเห็นกองกระดูก หนูก็รู้คำตอบทันทีว่ามีการตายกันมากมายจริงๆ จึงนึกถามในใจว่า ก่อนตายมีการทารุณกันตามที่เค้าเขียนกันไว้ในประวัติศาสตร์รึเปล่า หนูก็เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ชัดเจนเหมือนอยู่ตรงหน้า และหนูก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย”
“เล่าต่อเลย” ข้าพเจ้าเร่ง แต่เธอกลับแย้งว่า
“ป้าต้องอธิบายให้หนูเข้าใจก่อนว่า มันเห็นภาพย้อนหลังได้ยังไง ทำไมใจเราจึงเห็นได้ในเมื่อเรื่อง
ราวเหล่านั้นมันผ่านมานานนักหนาแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด
เราเห็นได้ยังไงคะ”
ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายว่า การที่เราทำสมาธิจิตก็เหมือนเราทำให้จิตใจใสสะอาด ข่มกิเลสให้หมดฤทธิ์ และในการที่เรานำเอาดวงแก้วมาใช้เป็นนิมิตในการภาวนา ดวงแก้วเป็นของที่รับแสงสว่างได้รอบทิศนี่คือเราทำสมาธิจิตด้วยการใช้ กสิณแสงสว่าง นั่นเอง ใจเมื่อทั้งใสทั้งสว่างก็สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ส่วนที่สามารถเห็นภาพย้อนหลังนานเท่าไรก็ได้นั้น เป็นเพราะในโลกนี้หรือที่ใดๆ ก็ตาม แสงสว่างที่ผ่านไปแต่ละขณะๆ เป็นพลังงานบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ แต่ใจของคนเรามีความเร็วมากที่สุดอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบ จะนึกย้อนหลังไปนานเท่าใดก็สามารถนึกได้เร็วทันการเดินทางของแสง ใจก็สามารถเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นได้ ข้าพเจ้ากล่าวย้ำเรื่องความเร็วของใจว่า
“นี่นะ ใจมันทำงานรวดเร็วจริงๆ ไม่เชื่อหนูลองนึกถึงบ้านของหนูเดี๋ยวนี้ซีนึกได้ปุ๊บเลย นึกถึงสถานที่ไกลๆ ที่เรารู้จักใจก็ไปถึงทันที นึกเรื่องเมื่อวานนี้ เดือนก่อน ปีก่อน หลายๆ ปีก่อน ก็นึกได้ปั๊บ ไม่ได้เสียเวลาอะไรเลยจริงมั้ย เมื่อใจวิ่งแล่น คือเดินทางได้เร็วยังงี้ ใจก็ย้อนไปทันความเร็วของแสงที่เก็บภาพผ่านไปแล้วนั้นได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน”
คู่สนทนาของข้าพเจ้าเข้าใจทันที นี่ถ้าเธอจะแสดงอาการไม่เชื่ออยู่บ้าง ข้าพเจ้าคงจะต้องนำเอาพระพุทธดำรัสที่กล่าวถึงความเร็วของจิตมาอ้างอิงเป็นแน่ คือคำตรัสที่ว่า
ยาวัญจิทัง ภิกขะเว อุปมาปิ นะ สุกรา ยาวะ ละหุปะริวัตตัง จิตตัง
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เกิดดับอย่างรวดเร็วนัก ด้วยเหตุนี้จึงหาข้ออุปมาที่จะยกขึ้นมาเปรียบเทียบได้โดยยากยิ่ง”
จากนั้นเธอก็เล่าต่อเรื่องกำแพงเมืองจีนของเธอว่า
“หนูเห็นภาพผู้คนราษฎรชาวจีน เป็นผู้ชายจำนวนมากมายถูกบังคับให้ขนก้อนหิน มีทหารแต่งเครื่องแบบแต่ทาหน้าสีดำๆ ถือเส้นหนังอะไรยาวๆ มีด้ามตรงมือถือ เขาเอาไว้ตีลงไปตามเนื้อตัวของคนที่ทำงานได้ช้า ตีลงไปครั้งหนึ่ง เนื้อตัวของคนที่ถูกตีก็แตกออกเป็นแผลเลือดออกซิบๆ บางทีก็ไหลแดงเป็นทางตามรอยแผล ใครอ่อนเพลียทนไม่ไหวสลบไป ทหารก็จะจับไปโยนกองสุมทับกันทั้งที่ยังไม่ตายให้ต้องตายอยู่ในหลุมใหญ่ ถ้าใครคิดฮึดสู้ขึ้นมาก็จะถูกแทงด้วยอาวุธด้ามยาวๆ มีของคมๆ อยู่ตรงปลาย (คงจะเป็นง้าวหรือทวน) แทงเอา ยังไม่ทันตาย พวกทหารก็จะจับไปโยนทิ้งในบ่อใหญ่ให้ตายเช่นเดียวกัน อาหารที่ให้กินนะป้า มีแต่ข้าวต้มกับข้าวไม่มีเลย ให้กินคนละชามเล็กๆ ชามเดียว ขอเพิ่มอีกก็ไม่ได้ ผู้คนจึงอดอยากล้มตายกันมาก หนูดูกองกระดูกหลุมโน้นหลุมนี้แล้วก็นึกในใจว่า เอ...มีบรรพบุรุษของเราบ้างมั้ยนี่ พอนึกเท่านั้นหนูก็เห็นป้ายไม้เขื่ยนชื่อแซ่ตระกูลของหนูโผล่ขึ้นมาจากกองกระดูกในหลุมแห่งหนึ่ง พอหนูนึกว่าแล้วตอนนี้ญาติเหล่านี้ของหนูอยู่ที่ไหน ภาพนรกก็ปรากฏขึ้นเลย ทำไมเค้าตกนรกล่ะป้าหนูลืมถามเค้า”
“ก็เค้าถูกทารุณนี่จ๊ะ ใจก็เศร้าหมองตลอดเวลา ตายด้วยความโกรธแค้นเสียใจก็ไปลงนรกนั่นสิ” ข้าพเจ้าตอบ พร้อมกับให้เล่าต่อ
“หนูสงสารเค้า หนูเลยให้พระธรรมกายของหนูช่วยขึ้นมาจากนรก เอาไปไว้ที่สวรรค์ชั้นแรกชั้นจาตุมหาราชิกา นั่นแหละค่ะ เค้าพูดกับหนูว่า หนูเกิดในสมัยนี้มีโชคดีกว่าเค้า ได้อยู่ดีกินดี พระเจ้าแผ่นดินของหนูใจดี สมัยที่เค้าเกิดนั้นลำบากมาก”
ความจริงเธอเล่าถึงการทรมานต่างๆ ที่เหล่าทหารทำกับราษฎรผู้ถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงครั้งนั้นละเอียดกว่านี้มาก ข้าพเจ้านำมาเล่าไว้ในที่นี้โดยย่อเท่านั้น
ข้าพเจ้าได้หยุดเขียนเรื่องอานุภาพศูนย์กลางกายไว้เพียงแค่นี้ แต่ฝ่ายวิชาการฯ ขอให้เขียนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย บังเอิญเวลาที่เขามาขอให้เขียนเรื่องเพิ่มนั้น มีเด็กสาวสองคนซึ่งปฏิบัติธรรมได้รับผลค่อนข้างดีนั่งอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าจึงขอให้เธอช่วยเล่าเรื่องอะไรๆ ที่เห็นในศูนย์กลางกายให้ฟังเพิ่มเติม
“เอาเรื่องที่กายธรรมของหนู พาหนูไปดูนรกมั้ยคะป้า” คนหนึ่งย้อนถาม
“ก็ดีเหมือนกันนะ ถึงใครๆ เค้าจะว่า การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องไปดูนรกสวรรค์ แต่ป้ากลับมีความเห็นว่า เรื่องนรกสวรรค์นี่แหละเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต ถ้ากลัวนรก คนก็จะเลิกทำชั่ว ถ้าอยากไปสวรรค์ก็จะได้ทำความดี แต่ถ้าได้ไปเห็นสวรรค์ถี่ถ้วนชัดเจนจริงๆ ก็จะเห็นทุกข์ของชาวสวรรค์ แล้วก็อยากปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากสวรรค์ไปพระนิพพานเองนั่นแหละ ถ้าไม่มีความสนใจไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นรก ก็จะไม่มีศรัทธามั่นคงแน่นเฟ้นในหลักศาสนาจริงๆ หรอก จะสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า ภพภูมิต่างๆ มีอยู่จริงหรือเปล่า ส่วนพวกที่ได้รู้จริงเห็นจริงได้เปรียบกว่ากันแยะเลย เพราะเห็นแล้วจะเร่งรีบปฏิบัติธรรมอย่างปราศจากความลังเลสงสัย เรียกว่าทุ่มชีวิตจิตใจกันเต็มที่ทีเดียวแหละหนู เล่าเถอะ คนแรกเล่าก่อน” ข้าพเจ้ากล่าวกับทั้งสองคน
“มีวันหนึ่งนะป้าหนูอยากไปช่วยปู่หนู หนูรู้ว่าท่านต้องตกนรกแน่ เพราะท่านไม่ใคร่ได้ทำบุญ หนูก็เอาใจเข้ากลางกายธรรมไปมากเข้าๆ แล้วก็น้อมใจขอพบปู่ กายธรรมของหนูก็ไปปรากฏในนรก ไฟนรกค่อยๆ มอดลงจนดับสนิท มีสัตว์นรกมากมายเต็มไปหมดไม่น่าดูเลยป้า ตัวผอมแห้ง ผิวพรรณดำคล้ำ เสื้อไม่มี มีผ้ากะรุ่งกะริ่งปิดท่อนล่างอยู่นิดเดียว ผมค่อนข้างยาว พอเห็นหนูเท่านั้นเขารีบวิ่งมาหากันทั้งหมดเลย บางตัวรีบวิ่งมากจนตาถลนหลุดออกมา ตาหลุดแล้วก็ยังไม่รีบเก็บ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาหาหนูอย่างเดียว พากันเอื้อมมือไขว่คว้าเต็มไปหมด หนูรู้สึกอยากหนีเลย รีบรับเอาแต่ปู่ขึ้นมาได้แล้วหนีเลย” คนแรกเล่า
“นอกจากมือไขว่คว้าเต็มไปหมดแล้วนะป้า ขุมที่หนูไปเห็นมาพวกเขาร้องให้ช่วย เสียงโหยหวนสุดเสียงเลยค่ะ ดังระงมลั่นไปหมด แปลกนะคะรูปร่างเป็นสัตว์ นรกขุมนั้นตัวเป็นคนแต่มีหัวเป็นสัตว์ต่างๆ ร้องเสียงโหยหวนเหมือนใจจะขาดให้ช่วย” คนที่สองกล่าว
“หนูสองคนไปเห็นนรกคนละขุมกันมาน่ะ” ข้าพเจ้าอธิบายเพิ่มพร้อมกับถามว่า
“เห็นแล้ว พอออกจากสมาธิรู้สึกเป็นยังไง” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันว่า
“จะยังไงล่ะคะ หนูก็กลัวบาปที่สุดเลย ชีวิตหนูต่อไปนี้ไม่มีทางยอมทำบาปเด็ดขาด”
“แล้วเรื่องไปดูสวรรค์ล่ะ ท่องเที่ยวไปในสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้แล้วอยากไปเกิดอยู่กับพวกเทวดานางฟ้าพวกนั้นบ้างมั้ย” ข้าพเจ้าถามต่อ
“ไม่อยากไปสักหน่อยเลยป้า เพราะในสวรรค์ก็ยังไม่หมดกิเลสมันยังพ้นทุกข์ไม่ได้ หมดบุญก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปเกิดที่โน่นที่นี่มีทุกข์ไม่จบสิ้น ในนิพพานต่างหากดีที่สุด”
คำตอบของเด็กสาว ผู้ซึ่งไม่มีความรู้ทางปริยัติธรรมเลย
ตอบได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจากผลปฏิบัติธรรมของเธอเอง
ดังนั้น ใครก็ตามที่พูดว่า “เห็นนรก เห็นสวรรค์ เดี๋ยวก็จะคิดแต่อยากไปอยู่แต่สวรรค์” คนนั้นเข้าใจผิด คนที่เห็นจริงๆ เขาไม่คิดหรอก เขารู้ว่าโทษของการเกิดในสวรรค์นั้นมีอยู่ มีมากด้วย ไม่มีใครเขาคิดกันแค่นั้น เพราะฉะนั้นขอท่านผู้อ่านอย่าได้กลัวการปฏิบัติธรรมที่ทำให้สามารถเห็นนรกสวรรค์เลย
Cr. อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
บางเรื่องไม่รู้ไม่ได้
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:28
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: