พลังแห่งศูนย์กลางกาย
ประมาณกลางเดือนธันวาคม ๒๕๓๐
ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปบรรยายธรรมที่ห้องประชุมกระทรวงมหาดไทย
ข้าพเจ้ากระทำเหมือนทุกครั้ง คือ
เวลาบรรยายก็พยายามเอาใจจรดไว้ที่ศูนย์กลางกายแล้วบรรยายไปตามความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น
ไม่เคยมีการร่างคำพูดไว้ล่วงหน้า วันนั้นบรรยายธรรมอยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมง หลังจากเลิกแล้วมีผู้ฟังสองท่าน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
พูดกับข้าพเจ้าว่าขณะที่เขาฟังข้าพเจ้าพูดนั้น เขาเห็นร่างกายของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป
ไม่ใช่เป็นลักษณะแม่ชีสูงอายุที่เห็นกันอยู่นี่ แต่เป็นลักษณะคล้ายผู้ชายหน้าตาดี
ผิวพรรณมีสง่าราศี
ข้าพเจ้าฟังเพียงแค่นั้นรีบชวนเขาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
เพราะใจไปคิดเอาว่า...นี่เรากำลังจะเจอคนเพี้ยนอยู่รึเปล่านะ
น่ากลัวจะเป็นพวกชอบเรื่องทรงเจ้าเข้าผี
จะมาเหมาเอาว่าเทพองค์โน้นองค์นี้มาสิงร่างเราให้พูดสอนคนละก็
เดี๋ยวยุ่งกันใหญ่.... ข้าพเจ้านึกเพี้ยนไปดังนั้นเสียเอง
ต่อมาในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
มีสมาชิกผู้เคยฟังการบรรยายธรรมจากข้าพเจ้า
ขอร้องให้ช่วยพูดนำทางบิดาซึ่งกำลังป่วยหนักใกล้ตาย
ข้าพเจ้าเห็นเป็นคนคุ้นเคยกันอยู่
จึงบอกให้คนเจ็บนึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำบุญทอดผ้าป่าปลูกต้นกัลปพฤกษ์ไว้ที่วัดพระธรรมกาย
โดยบรรยายถึงความสวยงามของต้นกัลปพฤกษ์เวลามีดอก
ขณะบรรยายข้าพเจ้าก็นึกไปที่ศูนย์กลางกาย เหมือนเวลาบรรยายตามที่ต่างๆ
ภรรยาของคนป่วยได้เล่าให้ลูกสาวฟังว่า เขามองเห็นภาพต่างๆ ที่ข้าพเจ้าบรรยาย
เกิดขึ้นที่ฝาผนังเบื้องหลังข้าพเจ้าเหมือนดูภาพยนตร์
ครั้งหลังสุด ตอนปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๑
สมาชิกผู้หนึ่งที่ชอบมาฟังธรรมและปฏิบัติธรรมทุกวันพุธที่กระทรวงเกษตรฯ
แต่ไม่ใช่ข้าราชการที่นั้น เป็นข้าราชการอยู่แถวสี่แยกคอกวัว
ได้บอกข้าพเจ้าว่าวันพุธที่ผ่านมา
ขณะเขากำลังฟังการบรรยายธรรมของข้าพเจ้าอย่างเพลิดเพลิน เขาเห็นหน้าตาของข้าพเจ้าค่อยๆ
เปลี่ยนแปลงไปจนเป็นคนละคน จมูกโด่งขึ้น
รูปหน้าและผิวพรรณเปลี่ยนเป็นสวยงามผุดผ่อง เดี๋ยวเห็นเหมือนคนเดิม
เดี๋ยวเห็นเป็นคนใหม่ กลับไปกลับมา ผลที่สุดเจ้าตัวก็สงสัยว่า
ตนเองคงมีอาการทางประสาททำให้เกิดภาพหลอกหลอนทางสายตา
เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่างๆ มาได้เรื่องดังนี้
ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายกับเขาว่า
“ป้าคิดว่า หนูไม่ได้เป็นโรคประสาทอะไรหรอก เพราะป้าจำได้ว่ามีคนพูดกับป้าทำนองนี้มาแล้ว ในความคิดเห็นของป้าอาจเป็นเพราะจิตของคุณหรือคนที่เห็นภาพป้าผิดไปจากคนอื่นๆ เป็นจิตที่สงบอยู่ในอารมณ์เดียว คือตั้งใจแน่วแน่ในการฟังธรรม จิตจึงตกลงสู่ศูนย์กลางกายโดยบังเอิญ ทำให้ตานอกตาในทะลุถึงกัน สามารถมองเห็นได้เป็นอัศจรรย์ เวลาที่ป้าบรรยายธรรม ป้ามักใช้ใจนิ่งอยู่ในศูนย์กลางกลาย ความรู้อะไรเกิดขึ้นก็พูดไปตามนั้น ใจของป้าตอนกำลังพูดเป็นใจที่อยู่ในระดับความผ่องใส กว่าใจในกายมนุษย์ธรรมดา เรียกว่า เป็นใจของกายที่ดีกว่ากายแก่ๆ กายนี้ เมื่อจิตคุณตกศูนย์โดยบังเอิญจึงสามารถมองเห็นได้”
ข้าพเจ้าพยายามอธิบาย ทำให้ผู้ฟังสบายใจ
หายข้องใจอาการของตนเองที่เขาไม่สบายใจ
เพราะเมื่อเกิดอาการเห็นภาพผิดไปเขาได้ถามคนนั่งข้างๆ ด้วยว่า
เห็นเหมือนเขาหรือไม่ มีแต่ผู้ตอบว่าไม่เห็นมีอะไรผิดไป
จึงทำให้รู้สึกกลุ้มใจไปหลายวัน เมื่อได้ฟังคำอธิบายจึงได้เข้าใจ
นอกจากนั้น ข้าพเจ้าเคยทดลองอำนาจของศูนย์กลางกายอีก ๒-๓
เรื่อง ได้รับผลตามต้องการอย่างประหลาดอัศจรรย์ ชนิดไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ วิธีทำก็คือ
ทำใจนิ่งลงไปให้ผ่องใสสว่างไสวอยู่ในศูนย์กลางกาย
จากนั้นก็นึกอธิษฐานสิ่งที่ปรารถนาไว้ในใจในยามนั้น ยิ่งทำซ้ำเรื่องเดียวนั้นบ่อยๆ
ความปรารถนามักกลายเป็นเรื่องจริงได้อย่างรวดเร็ว
บางทีเกิดได้ภายในวันเดียวกันนั้นเอง ถ้าเป็นเรื่องยุ่งยากต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายคน
อาจจะใช้เวลาหลายวันหรือบางทีก็เป็นเดือนเป็นปีไปบ้างแต่ก็สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น
เรื่องปรารถนารับประทานผลไม้ชนิดหนึ่งผิดฤดูกาล นึกถึงในตอน
๔ โมงเช้า บ่าย ๔ โมง มีผู้นำมาฝากจากพัทยา
เรื่องต้องการให้มีคนดีๆ มาขอเช่าบ้าน นึกถึงเวลา ๔ ทุ่ม ตี
๕ ครึ่งได้พบตัว
เรื่องขายที่ดิน นึกถึงแล้วอีก ๒ วัน
มีผู้มาติดต่อโดยไม่เกี่ยงราคา
เรื่องต้องการหาเงินถวายพระเป็นธรรมทาน ๗ แสน ใช้เวลา ๑
เดือน
เรื่องต้องการมีทุนไม่ต่ำกว่า ๓ แสนบาท
ให้เป็นประเดิมการตั้งกองกฐินให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ใช้เวลา
๘ เดือน ดังนี้เป็นต้น
แต่ที่เห็นประโยชน์ชัดเจนและโดยตรง คือ
เมื่อใจมีความเศร้าหมองใดๆ เกิดขึ้น เมื่อคิดนิ่งแน่วลงไปที่ศูนย์กลางกาย
ทำอาการประดุจวิ่งลึกลงไปมากเข้าๆ
ตรงกลางนั้นวิ่งเข้าไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดสภาพของใจจะสะอาด
สุกใสสว่างไสวยิ่งขึ้นๆ ความรู้สึกเศร้าหมองด้วยอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ
ที่กลุ้มรุมห่อหุ้มก็จะคลายออกๆ จนในที่สุดก็สูญสิ้นไป ข้อสำคัญเพียงแต่ว่า
พอมีสติรู้ตัวว่าจิตใจกำลังถูกกิเลสห่อหุ้มอีกแล้ว ต้องไม่ชักช้า
รีบจัดการกำจัดด้วยภาวนามยปัญญานั้นทันที
หรือถ้าให้ดีก็ควรทำใจให้อยู่ในศูนย์กลางกายดังนั้นตลอดเวลา
ไม่ต้องรอให้กิเลสใดๆ ย่างกรายมาก่อน ก็จะเป็นวิธีป้องกันและกำจัดอย่างดีที่สุด
ยิ่งถ้าปฏิบัติได้ชำนาญมากเข้าๆ จิตใจย่อมผ่องใสบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
จะได้ความรู้สึกเป็นอิสระ สิ้นทุกข์หมดความหมายในตัวตนและความยึดถือในสิ่งทั้งปวง
เป็นผู้อยู่เหนือโลก พ้นจากวัฏสงสารได้ในที่สุด
จะเข้าถึงสภาพดังนี้ได้
ก็ด้วยอานุภาพการเข้าถึงศูนย์กลางกายเป็นเบื้องต้นนั่นเอง
Cr. อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
พลังแห่งศูนย์กลางกาย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:22
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: