วิบากกรรมออนไลน์ ดิ่งลงขุมลึกกว่าที่คาดคิด
ในยุคปัจจุบัน
มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า..การด่าว่าพระภิกษุสงฆ์เป็นสิ่งไม่ผิดซ้ำร้ายยังคิดว่า..เป็นการช่วยพระพุทธศาสนาอีกด้วย
เพราะเท่ากับเป็นการกำจัดพระไม่ดีให้หมดไป!
ก่อนจะปักใจดิ่งทำตามความคิดข้างบนผู้เขียนก็อยากจะเล่าเรื่องวิบากกรรมเก่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟังเสียก่อน
เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจอะไรใหม่ เพราะการทำบาปโดยไม่รู้ว่าบาป
ย่อมส่งผลรุนแรงกว่าการรู้แล้วทำ เสมือนการไม่รู้ว่าก้อนถ่านไฟนั้นร้อน
แล้วรีบคว้าจับเต็มมือ ย่อมร้อนกว่าการรู้ว่าร้อนแล้วจับ เพราะถ้ารู้ว่าร้อน
เราก็จะจับมันอย่างระมัดระวัง!
จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทานภาค ๑ เถราปทาน ๑
พุทธวรรค และ อรรถกถาขุททกนิกาย อุทาน เมฆิยวรรคที่ ๔
สุนทรีสูตรทำให้เข้าใจได้กระจ่างชัดว่า
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดกิเลสแล้วก็ยังต้องรับกรรมที่เคยทำมาในอดีต อย่างในเรื่องที่พระองค์ถูกใส่ร้าย
ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง
เป็นเพราะวิบากกรรมเก่าครั้งที่เคยเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อว่า “มุนาฬิ”
ในวันหนึ่ง “มุนาฬิ” ไปเที่ยวป่ากับเพื่อน
ๆ แล้วเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “สุรภิ” ซึ่งเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก
แต่แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกว่า พระองค์เอาแต่นั่งเฉย ๆ
ไม่ได้เทศน์สอนใคร มีแต่จะรอรับอาหารจากชาวบ้าน จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ท่านเป็นพระทุศีล
ห่มจีวรหลอกชาวบ้าน ไม่ยอมทำมาหากิน มัวแต่เที่ยวเดินขออาหารจากชาวบ้าน
โดยไม่มีความละอายแก่ใจ”
ด้วยกรรมนี้ ทำให้ “มุนาฬิ”
ตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานหลายพันปีนรก จนมาในภพชาติสุดท้าย
แม้พระองค์ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังหนีกรรมนั้นไม่พ้น
ทำให้พวกเดียรถีย์อิจฉาริษยาคิดหาอุบายวางแผนใส่ร้าย โดยส่งปริพาชิกาชื่อ “สุนทรี”
เดินเข้าเดินออกในวัดพระเชตวันอยู่ ๒-๓ วัน
ทำทีว่าไปพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จากนั้นพวกเดียรถีย์จึงจ้างโจรให้ไปฆ่านาง
แล้วนำศพไปโยนทิ้งไว้ด้านหลังพระคันธกุฎี และทำแผนชั่วใส่ความว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนฆ่านาง ทำให้มีคนหลงเชื่อมากมาย
แล้วพากันด่าพระองค์ด้วยคำหยาบคาย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พระพุทธองค์ยังเคยถูก “นางจิญจมาณวิกา”
กล่าวตู่ว่า
ได้นอนในพระคันธกุฎีร่วมกับพระองค์จนนางตั้งครรภ์ทำให้ชาวบ้านบางส่วนหลงเชื่อ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะภพในอดีต พระองค์เคยกล่าวตู่พระอรหันต์องค์หนึ่งที่ชื่อ “นันทะ”
ด้วยบาปกรรมนี้
พระองค์จึงต้องตกนรกเสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งหมื่นปีนรก
จนเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังถูกกล่าวตู่มากมายแม้ภพชาติที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกรรมก็ยังตามส่งผลให้พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกา
กล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นความจริงต่อหน้าสาธารณชน
จะเห็นว่า..แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหมดกิเลสเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนี้
ก็ยังมีคนด่าว่าใส่ร้ายถึงเพียงนี้
แต่ที่น่าตกใจเป็นที่สุดก็คือกลับมีคนจำนวนมากมายหลงเชื่ออีกด้วย!
มาในยุคนี้ก็เช่นกัน ขนาดสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)
ซึ่งเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นถึงพระระดับสูงสุด
ก็ยังโดนด่าว่าใส่ร้ายป้ายสีตลอดจนพระรูปอื่น ๆ หรือแม้แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
(หลวงพ่อธัมมชโย) ก็ยังโดนด่า โดนตัดต่อภาพ โดนทำเฟซบุ๊กปลอมทั้ง ๆ
ที่ท่านไม่เคยเล่นเฟซบุ๊กเลย ซ้ำร้ายยังส่งข้อมูลเท็จใส่ร้ายท่านในโลกไซเบอร์
โดยที่ยังไม่รู้จริงเลยว่าท่านเป็นอย่างไร
ตรงนี้ก็อยากให้ระวังมาก ๆ
เพราะกรรมที่ทำกับพระที่ท่านไม่ได้ประทุษร้ายตอบมีผลมากกว่าที่คาดคิดไว้เยอะ
ดังข้อความที่ปรากฏใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบททัณฑวรรคที่ ๑๐ สรุปความว่า...
ผู้ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบจะได้รับความหายนะ
๑๐ อย่าง คือ
๑. ได้รับเวทนากลั่นกล้าจากโรคร้าย เช่น
โรคเกี่ยวกับศีรษะ เป็นต้น
๒. เสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก
๓. สรีระสลาย เช่น โดนตัดมือ เป็นต้น
๔. ป่วยหนักด้วยโรคต่าง ๆ เช่น อัมพาต
มีตาข้างเดียว เปลี้ยง่อย เป็นโรคเรื้อน เป็นต้น
๕. เป็นบ้า
๖. ต้องโทษจากพระราชา เช่น โดนถอดยศ ลดตำแหน่ง
เป็นต้น
๗. ถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง
๘. ถึงความย่อยยับแห่งเครือญาติ
ไร้ที่พึ่งพำนัก
๙. โภคทรัพย์ที่มีอยู่จะเสื่อมสูญพินาศ
๑๐. ไฟไหม้ และหลังจากตายไปแล้วก็ต้องตกนรก
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่า กรรมย่อมตกกับผู้กระทำอย่างสาสมไปทุกภพทุกชาติ
เพราะขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แม้พระองค์มีบุญมากขนาดนี้
ในชาติสุดท้ายก็ยังต้องรับผลกรรมถึงเพียงนี้เลย ดังนั้นบุคคลธรรมดา ๆ ที่บุญบารมีน้อยกว่าพระองค์
ก็ลองคิดดูเถอะว่า..จะได้รับกรรมหนักขนาดไหน!
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยต่อว่า
แล้วถ้าอยากจะช่วยพระศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ จะต้องทำอย่างไร?
ตรงนี้ขอตอบว่า ชาวพุทธก็ต้องทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ซึ่งพระองค์สอนให้เราไม่ว่าร้ายใครเลย
เพราะมันเป็นบาป!
จากประโยคนี้ บางคนอาจเถียงในใจว่า แล้วถ้าพระทำผิดล่ะ เราจะปล่อยไว้เฉย ๆ
ให้ท่านอยู่เหนือกฎหมายงั้นหรือ?
ข้อนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หาแนวทางแก้ไขโดยบัญญัติพระวินัยไว้สำหรับตรวจสอบพระภิกษุผู้กระทำผิดแล้ว
อีกทั้งยังบัญญัติบทลงโทษเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าพระทำผิดจริง ๆ
พระองค์ก็จะให้หมู่สงฆ์เป็นผู้จัดการกันเองให้เสร็จก่อน โดยไม่ให้คนธรรมดาอย่างเรา
ๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง และถ้าทางสงฆ์สรุปออกมา แล้วว่า ท่านผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิก
ก็ค่อยสึกออกมาเข้าสู่ขั้นตอนกฎหมายบ้านเมืองต่อไป
มาดูอย่างกรณีของหลวงพ่อธัมมชโยนับว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุดเพราะท่านเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น
ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพิสูจน์เลยว่าท่านผิดหรือไม่แต่กลับมีบางคนออกมาให้ข่าวสร้างกระแสกดดันให้คนนั้นคนนี้มาจับท่านสึก
หรือปลดท่านออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งการกระทำที่ผิดขั้นตอนถึงขนาดนี้
ช่วยตอบหน่อยว่ายุติธรรมหรือไม่?
แล้วที่สำคัญหากมีพระรูปใดรูปหนึ่งทำผิดแม้ศีลท่านจะด่างพร้อย
แต่ท่านก็ยังมีศีลมากกว่าเราที่ไม่ได้บวช ซึ่งถ้าไปด่าท่าน
อย่างไรเราก็บาปหนักอยู่ดี หรือแม้ด่าแล้วจะได้ความสะใจกลับมา
แต่ต้องแลกด้วยการชดใช้กรรมอย่างแสนสาหัสต่าง ๆ นานา ดังข้อความในพระไตรปิฎกเล่มที่
๒๔ พระสุตตันตปิฎกที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก เอกาทสกนิบาตพยสนสูตร หน้า ๓๙๗
ที่กล่าวถึงครั้งที่พระสัมมาสมัพุทธเจ้าชี้โทษให้แก่พระภิกษุที่ด่า
เพื่อนภิกษุด้วยกันหรือด่าว่าพระอรหันต์ ว่าจะเข้าถึงความหายนะ ๑๐ ประการ
อันได้แก่
๑. ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
๒. เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
๓. สัทธรรมที่มีอยู่ย่อมไม่ผ่องแผ้ว
๔. จะหลงตัวเองว่าได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย
๕. จะไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
๗. ย่อมป่วยเป็นโรคอย่างหนัก
๘.เป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน
๙. จะหลงตาย คือ ตายแบบไม่รู้ตัว
๑๐. เมื่อตายไปย่อมไปอบาย ทุคติวินิบาต นรก
จะเห็นว่า แม้พระภิกษุซึ่งมีศีลระดับเดียวกันด่ากันเองยังบาปหนัก
จนต้องเข้าถึงความหายนะกันขนาดนี้ ดังนั้นเราในฐานะเป็นคนธรรมดา ๆ ที่รักษาศีลบ้าง
ไม่รักษาบ้างถ้าไปด่าว่าพระภิกษุจะบาปหนักขนาดไหนก็ต้องลองคิดดูกันเอาเอง!
จากการรับข้อมูลมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงตัดสินใจได้แล้วว่า
จะเลือกด่าพระต่อไปหรือไม่? แต่หลายคนอาจยังไม่หายคาใจและคิดว่า
อย่างไร “การด่าพระ” ก็เป็นกระบวนการที่เข้ามาช่วยพระศาสนาอยู่ดี!
ตรงนี้ผู้เขียนขอตอบว่า การด่าว่าพระออกสื่อหรือโพสต์ว่าพระในโลกโซเชียลบ่อย
ๆ เป็นการสร้างกระแสตอกย้ำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าพระส่วนใหญ่ไม่ดีทั้งๆ
ที่หากเทียบอัตราส่วนกับพระดีทั่วประเทศกว่า ๓๐๐,๐๐๐
รูป แล้ว พบว่ามีพระที่ไม่ดีจริง ๆ ไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แล้วอีกอย่างด้วยความที่คนสมัยนี้ต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำมาหากินจนแทบไม่มีเวลา
ทำให้เวลาอ่านข่าวก็อ่านแบบผ่านๆ
แถมบางทีดูแต่พาดหัวข่าวที่พาดเอามันเพื่อให้ขายข่าวได้
โดยไม่ได้ไปศึกษาข้อมูลจริงที่ลึกไปกว่านั้นก็เลยทำให้เข้าใจผิดไปเลยว่า
พระรูปนั้นรูปนี้ไม่ดีจริง ๆ
ซ้ำร้ายยังอ่านข้อมูลด้านเดียวทุกวัน โดยไม่มีโอกาสรับข้อมูลอีกด้าน
ก็เลยยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระรูปนั้นไม่ดีจริง ๆ โดยไม่ได้พิสูจน์
ตรงจุดนี้เอง
ถือเป็นความวิบัติที่นำหายนะมาสู่ผู้เสพข่าวอย่างไม่รู้ตัว
แล้วสุดท้ายก็หลงสร้างกรรมหนักโดยไปด่าพระกับเขาด้วย จนทำให้ลืมคิดไปว่า การด่าพระ
นอกจากจะทำให้คนหมดศรัทธาในพระสงฆ์โดยรวมแล้ว
ยังมีอิทธิพลทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนไป
ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรง เพราะมีเพื่อนมาบอกว่า ตอนนี้เลิกตักบาตร
เลิกทำบุญ เลิกไปวัดแล้ว อีกทั้งบางคนยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น เนื่องจากเห็นมีแต่ข่าวพระไม่ดี
ทั้ง ๆ ที่พระส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
จะเห็นว่าปัจจุบันสื่อที่ทำลายพระพุทธศาสนามีอิทธิพลสูงมากถึงขนาดทำให้ชาวพุทธเกิดความระแวง
มุ่งจับผิดพระเวลาไปวัดจนลืมไปว่า ตนไปวัดเพื่อกำจัดกิเลสในตัวเอง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้คนเข้าวัดปฏิบัติธรรมลดลงเรื่อย ๆ
และเมื่อคนไม่เข้าวัดก็ไม่มีใครบำรุงวัด บำรุงพระ
ก็ก่อให้เกิดปัญหาการลาสิกขาตามมาจนเกิดวัดร้างขึ้นมากมายซึ่งปัจจุบันก็มีวัดร้างเกือบ
๖ พันกว่าวัดแล้วและที่เลวร้ายไปกว่านั้น หากคนไม่เข้าวัดศึกษาธรรมะ
ก็จะมีผลทำให้ศีลธรรมเสื่อมทรามจนสุดท้ายเราจะอยู่บนโลกนี้ได้ยากเอง
เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนกัน แถมยังก่อกรรมทำเข็ญโดยไม่ละอายและเกรงกลัวต่อบาป
จะเห็นว่า การด่าพระ
การตัดต่อภาพพระเป็นการทำให้ศาสนาเสื่อมโดยตรง เป็นการกระทำที่มีผลมาก
เพราะทำให้อายุพระพุทธศาสนาสั้นลง โดยที่ผู้ด่าเข้าใจผิดคิดไปเองว่า “เป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะห้ามไม่ให้ว่าร้ายผู้อื่นทำไม (อนูปวาโท)
ดังนั้น ในฐานะที่เป็นคนพุทธที่อยากช่วยพระพุทธศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจจริง
ๆ เราควรออกข่าวส่งเสริมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก ๆ เผยแพร่โพสต์ภาพวัดวาอาราม
ตลอดจนเผยแผ่คำสอนของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เราเคารพ
เพื่อให้คนเกิดศรัทธาอยากเข้าวัดปฏิบัติธรรมกำจัดกิเลสในตัวให้หมดไป
และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญขึ้นจนกระแสศีลธรรมบนโลกใบนี้กลับคืนมา…
ฉะนั้น
เราอย่าเป็นผู้หนึ่งที่ทำลายพระพุทธศาสนาโดยรวมเลย
และอย่าเป็นผู้หนึ่ง
ที่ทำให้ศาสนาเสื่อมโดยไม่รู้ตัว
อีกทั้งก็อย่าเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้อายุพระพุทธศาสนาสั้นลงไปอีก
เพราะบาปกรรมตรงนี้
จะนำหายนะมาสู่ชีวิตทุกรูปแบบ จนเรารับไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว...
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
วิบากกรรมออนไลน์ ดิ่งลงขุมลึกกว่าที่คาดคิด
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:39
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: