จอมแก่น...เปลี่ยนใจ
“ทำไมน้อยอย่างงี้...ไม่เอาหรอก!”
เสียงห้วนๆ ของแอนนา บอกถึงความไม่พอใจ
ขณะยืนนับเหรียญบาทบนฝ่ามือน้อยๆ ของเธอ
“มีแค่นี้...ก็เอาแค่นี้ซิ
เอ็งอย่าดื้อได้ไหม!!!” ยายบุญมีตะเบ็งเสียงขึ้น ขณะวุ่นอยู่กับการมัดถุงแกงให้กับลูกค้าที่ชุลมุนกันมาซื้อกับข้าว
เสียงดุ! กลับยิ่งทําให้แอนนางอแง
เธอกวนยายต่อไปอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาผู้คนที่มอง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน จนเหมือนเป็นกิจวัตรของสองยายหลานที่ต่างไม่เต็มใจให้เกิดขึ้นเท่าใดนัก
น้องแอนนา ด.ญ.นันทิดา จำปาศรี จอมซนจอมแก่น |
แอนนา
หรือ ด.ญ.นันทิดา จำปาศรี วัย ๑๑ ขวบ
เด็กกำพร้าที่พ่อแม่เลิกกันหลังจากคลอดเธอได้ไม่นาน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น
แม่ทิ้งเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะการฆ่าตัวตาย
เนื่องจากมีอาการทางจิต..กระโดดรถไฟลงมาขณะที่มันยังแล่น...แทบไม่เหลือใครแล้วสำหรับชีวิตแอนนา
เพราะโรคร้ายพึ่งคร่าชีวิตคุณตา ผู้เปรียบประดุจพ่อคนสุดท้ายให้จากเธอไปอีก ปัจจุบันแอนนาอยู่เพียงลำพังกับยายแก่ๆ
๒ คนในบ้านไม้หลังน้อยนี้
แผงขายกับข้าวเล็กๆ ของคุณยายบุญมี (คนขวาสุด) คุณยายของน้องแอนนา |
ยายบุญมี
มูลมาก หญิงชราวัย ๖๔ ปี
ที่พึ่งสุดท้ายของแอนนาที่พร้อมจะรับผิดชอบทุกสิ่งในชีวิตของหลานสาว
เพื่อให้เติบโตสู้โลกต่อไป ยายบุญมีทําอาหารขายเพื่อแลกกับรายได้มาจุนเจือกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ยายพยายามเก็บเงินไว้เพื่อหลาน เพราะแอนนายังเด็ก ยังต้องกินต้องใช้ ต้องเรียน
ยังต้องการอนาคตที่ดีเหมือนเด็กๆ คนอื่นๆ
แอนนาไม่มีพ่อมีแม่ไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมเหมือนคนอื่น ดังนั้น
ยายจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอ
ยายเหนื่อย...จากการตรากตรำขายอาหาร แทบไม่มีเวลาพักเลย
อาชีพขายอาหารเป็นงานที่หนัก เพราะต้องเริ่มจ่ายตลาดแต่เช้าตรู่ ทํา ขาย เก็บ ล้าง
และทุกอย่างต้องจบในวันนั้น เมื่อเสร็จก็ต้องเตรียมของสําหรับวันใหม่อีก ชีวิตวน
เวียนอยู่เช่นนี้ทุกวัน
ความรัก...ที่ยายมีต่อหลานกําพร้าคนนี้
ทําให้ยายยอมทําทุกอย่างทั้งที่วัยไม่เอื้ออํานวย และหวังเพียง...ให้หลานได้เรียนหนังสือ
ให้เธอเป็นเด็กดี ที่ไม่มีปัญหา และแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะสู้ชีวิต..แม้ไม่มียาย
เพียงแค่นี้ ก็เป็นสิ่งปลอบประโลมอันยิ่งใหญ่ที่ทําให้ยายกลับมีกําลังใจสู้ชีวิต
ถึงจะเหนื่อย ยากสักแค่ไหนก็ตาม
แต่...แอนนายังเด็กเกินไปกระมัง!!!
เด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า ยายเหนื่อย
และกําลังทําทุกอย่างเพื่อเธออยู่ ดังนั้น
เธอจึงมีพฤติกรรมตรงข้ามกับสิ่งที่ยายปรารถนาอย่างสิ้นเชิง
แอนนาเป็นหัวโจกของเพื่อนในซอยนั้น เธอซน แก่น ปากร้าย เอาแต่ใจและกวนยาย
เวลายายว่าอะไรสิ่งที่จะได้รับตอบกลับ คือ การเถียง และเกี่ยงงอนเสมอ
ทุกเย็นเมื่อเธอกลับจากโรงเรียนก็จะนําเพื่อนไปวิ่งเล่น ปีนต้นไม้
บางครั้งก็เล่นริมถนน จนยายต้องตะเบ็งร้องเรียกเพราะกลัวรถจะทับ เวลายายให้เงินค่าขนม..เธอไม่เคยพอใจในจํานวนเงินนั้นเลย
จะต่อรองขอเพิ่มทุกครั้ง ถ้าไม่สมใจก็จะโวยวายและร้องไห้...
อะไร..?
ทําให้แอนนาเป็นเช่นนี้...เพราะเธอเป็นเด็ก
ฉลาดจึงซน หรือ เธอกําลังมีปัญหา..? น้อยคนนักที่จะมานั่ง
หาคําตอบกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานใกล้ตัว หรือตัวเขาเอง
เพราะสภาพของสังคมไทยในปัจจุบันต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครมาใส่ใจชีวิตใครเท่าไรนัก
|
แต่วันนี้...จะไม่สนใจไม่ได้แล้ว!
เพราะการโจรกรรมที่ยิ่งใหญ่สําหรับพวกเขา กําลังจะเกิดขึ้น
“แอน...นา..แอนนา”
ลักษณ์เพื่อนคนสนิทของแอนนา เรียกเธอขณะที่กําลังนั่งวาดตุ๊กตาอยู่
“มีอะไร..มึงก็ว่ามาซิเรียกอยู่ได้”
แอนนาตอบเหมือนกับปัดความรำคาญ
“จุ๊..จุ๊
อย่าตะโกน เดี๋ยวก็ไม่ชวนซะเลยนี่ กูอยากกินขนม แต่...วันนี้กูขอแม่ไม่ได้
จะไปขโมยเงินแม่มาซื้อดีไหม” คําพูดของลักษณ์ทําให้แอนนาหันมาโต้ตอบด้วยความสนใจ
“เออ..เออ!!
กูจะได้กินด้วย เอาช็อคโกแลตรูปการ์ตูนด้วยนะ” เธอมองตาแป๋ว
และแสดงอาการเห็นด้วย
“แต่ถ้าแม่กูรู้มีหวังเจอด่าแน่..!!!โดนตีอีกต่างหาก”
ลักษณ์เริ่มลังเลและทําหน้าขอความเห็นใจ
“ก็อย่าให้รู้ซิ”
แอนนาโต้กลับทันที
“งั้นมีงรออยู่ที่นี่
เดี๋ยวกูจัดการเอง” เมื่อลักษณ์พูดจบก็เดินอ้อมไปทางประตูหลังบ้าน
และเดินขึ้นชั้นบนอย่างเบาที่สุด ลักษณ์มองไปข้างหลังอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา..ประตู
และลิ้นชักถูกเปิดขึ้นตามลําดับ ทันใดนั้นเอง ความคิดของเธอก็เริ่มสับสนอีกครั้ง
ขณะมองเงินในลิ้นชัก “จะเอาเท่าไหร่ดี.?.”
เธอพึมพํากับตัวเอง และตัดสินใจหยิบแบงค์ขึ้นมาสามใบ
และรีบเลื่อนลิ้นชักกลับตามเดิม..
“ได้แล้ว...”
ลักษณ์กําเงินไว้ในกระเป๋ากระโปรงแน่น และรีบวิ่งออกมา
เด็กทั้งสองจูงมือกันทําท่าทางมุบมิบ
“เอามากี่บาทล่ะ”
แอนนาขอดูเงินที่ลักษณ์กําไว้
“๓๐”
แอนนายิ้มที่ได้ยินคําตอบจากลักษณ์ เธอรู้สึกพอใจในจํานวนเงินนั้น
และจูงมือกันมุ่งตรงไปยังร้านขนมทันที เพื่อซื้อขนมตามที่พวกเขาต้องการ
“ต้องแอบกินใต้โต๊ะนะโว้ย”
ลักษณ์แนะนําพร้อมกับเดินไปยังจุดหมายและนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่พวกเขารู้แต่เพียงว่า...ครั้งนี้พวกเขาทํางานสําเร็จ???
การโจรกรรมครั้งนี้มันไม่ใหญ่สําหรับเราหรอก
แต่สําหรับพวกเขามันยิ่งใหญ่เหลือเกิน พวกเราอาจมองว่า มันเป็นเงินเพียงเล็กน้อย
แต่ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นคือ นิสัยการลักขโมยได้ถูกเพาะขึ้นในใจพวกเขาแล้ว
เราคงไม่อยากให้ลูกหลานของเราเป็นเช่นนี้..
วันนี้เด็กฟ ต้องการเพียงแค่ ๓๐ บาท
เพราะสิ่งที่มีค่าที่พวกเขาต้องการ ถูกซื้อได้ โดยใช้เงินเพียงแค่นี้ แต่..
สิ่งที่เขาต้องการเมื่อเขาเป็น ผู้ใหญ่ล่ะจะเป็นเงินเท่าไร?
ความต้องการของพวกเขาจะสิ้นสุดหรือไม่..??
คุณยายหนูอ้วน ดุจดา ผู้นำแสงสว่างแห่งคุณธรรมเข้ามาสู่จิตใจของเด็กๆ |
แต่ ณ วันนี้เองชีวิตของแอนนากําลังจะเปลี่ยนไป
เพราะชีวิตของเธอ เป็นเรื่องที่ดึงความสนใจของคุณยายหนูอ้วน ดุจดา ผู้ที่กําลังทําหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับสังคมเล็ก
ๆ แห่งนี้
ยายหนูอ้วนรู้จัก
และเข้าวัดพระธรรมกายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยคุณแม่บานเย็น อุทุมมา เป็นผู้ชักชวน
เธอศรัทธาในมโนปณิចธานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่มีโครงการสร้างสันติสุข
เพื่อสันติภาพของชาวโลก
ซึ่งโครงการบ้านกัลยาณมิตรเป็นโครงการหนึ่งที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงจุดนี้
เพื่อแก้ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด และปัญหาภายในครอบครัว
ปัจจุบันยายหนูอ้วนมีสุขภาพไม่สู้ดีนัก
เนื่องจากป่วยเป็นโรคหอบหืด ซึ่งจะมีอาการเหนื่อยง่ายมาก บางทีช่วงที่ป่วย
ถึงกับนอนซมไปหลายวัน ประกอบกับความชราที่มีอายุถึง ๖๙ ปี
ซึ่งเป็นวัยที่สมควรแก่การพักผ่อน โดยไม่ต้องเหน็ดเหนี่อยใดๆ อีก แต่ด้วยคุณธรรม
และความตั้งใจที่มุ่งมั่น ที่อยากมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสังคม
เธอจึงตัดสินใจเปิดบ้านกัลยาณมิตร ซึ่งเธอเองก็รู้ดีว่า เธอต้องเหนื่อย
แต่มันเป็นความเหนื่อยที่แลกมาซึ่งความสุข คุณยายจึงเชื่อมั่นเหลือเกินว่า บ้านกัลยาณมิตรจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาครอบครัว
โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวแตกแยกซึ่งหลายๆ ครอบครัวกําลังประสบอยู่
และผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ ลูก
“ลูก”
ที่พ่อแม่บอกว่า รักเขาที่สุด
แต่สิ่งที่กลับทํากับเขาคือ การยัดเยียดความทรมานด้านจิตใจให้ พร้อมกับการบอกว่ารัก
เด็กไม่เข้าใจหรอก ว่าเป็นรักแบบไหน เขารู้แต่ว่า เขาไม่อยากบอกเพื่อนว่า
พ่อแม่ให้ความรักกับเขา โดยการที่พ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน พ่อเราไปมีแม่ใหม่ แม่
เราเอาแต่เล่นไพ่ เขารู้สึกว่ามันเป็นปมด้อยที่ต้องปกปิด เขาไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กมีปัญหา
เป็นเด็กขาดความอบอุ่น หรือ...จะให้เขาหลอกเพื่อนว่า บ้านเราอบอุ่น ทุกคนเข้าใจกัน
และแสดงอาการฝืนยิ้ม ทั้งที่น้ำตาไหลออกมาขณะกําลังพูด
เด็กแสดงละครได้ไม่เก่งขนาดนี้...เพราะละครอาจหลอกเพื่อน ได้
แต่หลอกตัวเขาเองไม่ได้
ปัจจุบันสังคมไทยเราเจอปัญหาแบบนี้
ซึ่งสะท้อนภาพออกมาในรูป เด็กมีปัญหา ติดยา และโสเภณีเด็ก ซึ่งปัญหาของที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
เพราะเด็กบางคนถึงกับพูดว่า “หนูไม่อยากเห็นพ่อกลับดึก กินเหล้า
แล้วทะเลาะกับแม่ ถ้าพ่อทําอย่างนี้ได้ หนูก็ทําได้เหมือนกัน” ซึ่งจุดนี้จะเห็นได้ว่า
ความรักที่มากที่สุด... กําลังแปรเปลี่ยนเป็นการประชดชีวิตที่รุนแรงที่สุดแล้ว!!!
ด้วยผลจากปัญหาครอบครัวของเด็กๆ นี่เอง ยายหนูอ้วนจึงตัดสินใจเปิดบ้านกัลยาณมิตร
เธอบอกว่า “ยายอยากเห็นเด็กๆ และทุกคนมีความสุข
อยากแนะนําให้เขานั่งสมาธิ สอนสิ่งดีๆ ให้กับเขา
อยากบอกให้เขาปฏิบัติต่อพ่อแม่ให้ดี เพราะปัญหาของแต่ละบ้านก็มากพออยู่แล้ว ไม่อยากให้เด็กๆ
เพิ่มปัญหาให้อีก สิ่งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้มาก”
สมาชิกและเด็กๆ ที่มาสวดมนต์นั่งสมาธิที่บ้านกัลยาณมิตรของคุณยายหนูอ้วน |
คุณยายหนูอ้วนชักชวนเด็กๆ ให้ได้มาสวดมนต์ปฏิบัติธรรม |
จากสิ่งที่เธอกล่าวมาข้างต้น
ได้เปลี่ยนเป็นการกระทําทันที หลังจากนั้นเธอตัดสินใจไปที่ร้านขายกับข้าวยายบุญมี
ไปหาแอนนา ผู้ที่เธอให้ความสนใจมากที่สุด แอนนากับยายของเธอยังคงกิจวัตรเหมือนเช่นเคย
คือแอนนากําลังร้องไห้ด้วย ความไม่สบอารมณ์
ยายหนูอ้วนเดินเข้าไปใกล้แอนนา...ลูบศีรษะเธอด้วยความเอ็นดู และจับมือเธอขึ้นมา
“แอนนา...หนูไปกับยายไหม..?”
ยายหนูอ้วนพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น
แววตาบ่งบอกถึงความปรารถนาดี
“ยายบุญมี..ขอตัวหลานสาวหน่อยนะ
จะพาไปเที่ยว บ้านฉันหน่อย” ยายหนูอ้วนกล่าว
“เอามันไปทําไม
ซน..จะตาย เออ!! ถ้าอยากเอาก็เอาไปเถอะ” ยายบุญมีอนุญาตให้พาตัวหลานสาวไป
ด้วยความ ไว้ใจเพราะเป็นคนในซอยเดียวกันที่คุ้นเคยกันมานาน แอนนา
ร่าเริงกว่าเมื่อครู่ เธอยิ้ม..และเริ่มถามโน้น...ถามนี่.. ถึงแล้ว ประตูรั้วสีน้ำตาลหน้าบ้านติดป้ายว่า
“บ้านกัลยาณมิตร” ยาย
เปิดประตูพาแอนนาเข้าไป
“แอนนา..ยายจะสอนให้หนูสวดมนต์”
ยายพูดพร้อม กับมองหน้าแอนนา
“สวดมนต์
อะไรคะ” แอนนาทําท่าสงสัย
“หนูไปเอาอาสนะตรงนั้นมา”
ยายชี้นิ้ว
“อาสนะเป็นยังไง
?” แอนนาทำหน้างง กับคําศัพท์ที่เพิ่งเคยได้ยิน
“ผ้าปูอันนั้นแหละ
เออ..ตรงมุมนั้น เอามา ๒ ผืนให้ยายด้วย” แอนนานำผ้ามาปูหน้าหิ้งพระที่อยู่ชั้นล่างบริเวณห้องรับแขกที่ถูกปรับเป็นห้องโถงกว้าง
สําหรับสวดมนต์นั่งสมาธิ.ยายเปิดเทปหลวงฟอ..
“แอนนา...อ่านตามตรงนี้นะ
แล้วสวดตามเทป” ยายพลิกหนังสือสวดมนต์ไปหน้า ๑๙
พร้อมยื่นให้เธอ แอนนาสวดผิดๆ ถูกๆ แต่เจื้อยแจ้วด้วยความตั้งใจและนั่งสมาธิต่อจากนี้
๒ ทุ่มแล้ว ได้เวลาที่แอนนาต้องกลับบ้าน
แอนนากล่าวลาคุณยาย
“พรุ่งนี้หนูชวนเพื่อนมาสวดมนต์ด้วยกันนะ”
ยายตอบพลางยิ้ม
แอนนาเดินกลับบ้านพร้อมกับความสุขที่เกิดขึ้นในใจ
“เสียงสวดมนต์เพราะจัง คุณยายก็ใจดี
มีขนมให้กินด้วย ตอนนั่งสมาธิก็เห็นดวงแก้วใสๆ มีความสุขจัง” เธอนึกในใจพร้อมกับสวดมนต์บางประโยคเท่าที่เธอจำได้
เย็นวันถัดไป แอนนารีบกลับจากโรงเรียน
วันนี้พฤติกรรมของเธอไม่เหมือนกับทุกวัน
“ลักษณ์...ออกมานี่หน่อย” แอนนาตะโกนเรียกเพื่อนที่หน้าบ้าน
“อะไร?
เดี๋ยวๆ จะไปเล่นเหรอ.. วันนี้เราอยู่ฝ่ายเดียวกับหนุงหนิงนะ
ให้เบียร์อยู่ฝ่ายเดียวกับแอ
นนาแล้วกัน” ลักษณ์ตะโกนตอบพร้อมกับวิ่งออกมา
“ไม่ใช่..
วันนี้เราจะชวนเธอไปนั่งสมาธิที่บ้านยายหนูอ้วน” แอนนาตอบพร้อมกับคว้ามือลักษณ์เดินออกมา
“เป็น
ยังไงล่ะ” ลักษณ์ถามด้วยความสนใจ
“เออน่ะ...ไปเหอะ
บอกหนุงหนิงด้วยเดี๋ยวมารับ” แอนนารีบวิ่งออกไป เธอเดินไปชวนเบียร์
จิม ฉัตร หนึ่ง ปูเป้ อุ๋งอิ๋ง กานดาและเพื่อนคนอื่นๆ อีกหลายคน แอนนาบอกว่า
เธอเจอปัญหาเหมือนกันขณะที่ไปชวนเพื่อน แอนนาเล่าปัญหาด้วยท่าทางจริงจัง
และดูเป็นทางการมากเพื่อที่จะบอกกับทีมงานว่า นี่แหละ!
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เธอเจอ ซึ่งเธอยังจัดการกับ มันไม่ได้ เธอบอกว่า “แอนนาไปชวนเพื่อนทุกคนยกเว้นคนที่ชอบข่มเหงหนู
เขาตัวใหญ่กว่าหนูอีกค่ะ หนูตัวเล็กกว่า ยังสู้เขาไม่ได้ และคนนี้ก็ชอบว่าหนูด้วย
หนูก็เลยไม่อยากชวนค่ะ” ความน่ารักแบบใสๆ
ทําให้ทีมงานของเราแอบขำอยู่ในใจไม่ได้ ทุกคนมองหน้าเธอด้วยความเอ็นดูและให้กําลังใจกับเธอ
ในที่สุดเด็กๆ
ทุกคนก็มารวมตัวสวดมนต์ที่บ้านคุณยายหนูอ้วน ความพร้อมเพรียงของเสียงสวดมนต์มีพลังและไพเราะเหลือเกิน
เด็กทุกคนตื่นเต้นและพยายามทําให้ได้ดี หลังสวดมนต์เสร็จ ยายสอนให้ทุกคนนั่งสมาธิ
เด็กๆ ต่างมองกันและแสดงท่าทางภูมิใจที่ตัวเองนั่งท่านี้ได้ บางคนแนะเพื่อนให้ทําแบบนี้...แบบโน้น
น้องแอนนาพาเพื่อนๆ มาร่วมปฏิบัติธรรมกันมากมาย "บ้านหลังนี้ บ้านกัลยาณมิตรของพวกเราค่ะ" |
แทบไม่น่าเชื่อ เด็กวัยกําลังซน จะนั่งนิ่งสงบ
ไม่เล่น ไม่หยอกล้อกันเลย หลังจากนั่งสมาธิเสร็จคุณยายจะสอนเด็กๆว่า “ถ้าอยากได้บุญต้องมานั่งสมาธิกับยายทุกวัน
เด็กดีต้องไม่เถียงพ่อแม่ เพราะฟอแม่รักเรามาก เขาลำบากหาเงินมาส่งเสียเราเรียน จนบางทีเขาก็ไม่มีเวลา
เราเป็นลูกต้องเข้าใจพ่อแม่ อะไรแบ่งเบาได้ก็แบ่งเบา อย่าเกเร
ต้องช่วยพ่อแม่ทํางานบ้าน และการทําแบบนี้ก็จะได้บุญด้วย” ยายหนูอ้วนนําธรรมะมาเล่าและสอนเด็กๆ
ทุกวัน สอนให้เขารักและตระหนักในพระคุณพ่อแม่ สอนให้เขาเข้าใจคนที่บ้านแทนการเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจ
อธิบายถึงการรักษาศีล ๕ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นพฤติกรรมใกล้ตัว
เช่นการขโมยของและพูดโกหก ทําให้เด็กๆ เข้าใจและทําตาม คุณยายยกตัวอย่างง่ายๆ
ที่เป็นพฤติกรรมใกล้ตัว เด็กทุกคนรักยายเพราะยายใจดี มีขนมกับน้ำปานะให้เด็กๆ กินทุกเย็นด้วย
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
แอนนาเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แอนนาไม่กวนยายแล้ว ไม่เถียง
ไม่เอาแต่ใจ ช่วยทํางานบ้านมากขึ้น เวลายายให้ค่าขนมเธอจะพนมมือไหว้ยาย
โดยไม่บ่นเหมือนก่อน... ไม่พูดคําหยาบกู มึงกับเพื่อนอีก
พอกลับมาจากโรงเรียนเธอก็รีบทําการบ้าน
ช่วยยายเก็บผ้าและช่วยงานบ้านตามที่ยายสั่ง พอเสร็จก็ไปบ้านคุณยายหนูอ้วน กลับมาก็อ่านหนังสือเรียน
ไม่เพียงแต่ยายของแอนนาที่รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไป แต่เพื่อนๆ ของแอนนาก็รู้สึกเช่นนั้นด้วย
เพื่อนๆ จะเห็นแอนนาเป็นสัญลักษณ์ของความดี จนเพื่อนบางคนถึงกับถามเธอว่า “เดี๋ยวนี้ทําไมทําแต่ความดี”
แอนนาก็มักจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคําว่า “ทําดีได้ดี
ทําชั่วได้ชั่ว” จนเพื่อนๆ รอบข้างของเธอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มาสวดมนต์นั่งสมาธิกับเธอ
ต่างพูดประโยคนี้จนติดปาก และเป็นเหตุผลประจำใจเด็กๆ สำหรับการทำความดีไปแล้ว
เด็กๆ มาสวดมนต์นั่งสมาธิกันเป็นประจำทุกวัน |
เด็กๆ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลังจากได้ปฏิบัติธรรม |
เด็กๆ ทุกคนจะช่วยกันจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบก่อนเข้าห้องสวดมนต์ปฏิบัติธรรม
|
ยายหนูอ้วนปลูกฝังให้เด็กๆ
ทุกคนรักการนั่งสมาธิ โดยเฉพาะปรีชา หรือเบียร์ นั่งสมาธิได้ดีมาก
วันนี้ยายให้นั่งสมาธิแค่ ๒๐ นาที แต่เบียร์ขอนั่งต่อเวลาอีก
เพื่อนทุกคนลุกไปดื่มน้ำปานะกันหมด แต่เบียร์ยังนั่งอยู่ ทำให้ลักษณ์ขอนั่งต่อด้วย
ลักษณ์บอกว่า “ลักษณ์แข่งกับเบียร์ วันนี้นั่งได้ ๒
ช.ม.ค่ะ เพราะยายบอกว่าคนนั่งสมาธิมาก ใจเราสงบมาก ได้บุญมาก ลักษณ์อยากได้บุญมากๆ
ลักษณ์มีความสุขที่เห็นองค์พระใสๆ” เธอกล่าวด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความภูมิใจ
คุณพ่อคุณแม่ของน้องลักษณ์ และน้องหนุงหนิง กล่าวถึงผลดีที่เด็กๆ ได้ไปปฏิบัติธรรม |
พ.อ.อ.สุคต ส่งเสริม คุณพ่อของลักษณ์และหนุงหนิง
เห็นด้วยกับการที่ลูกๆ ได้ไปนั่ง สมาธิบ้านคุณยายหนูอ้วน พ.อ.อ.สุคตกล่าวว่า “เด็กๆ
ไปปฏิบัติแบบนี้มันก็ดี ไปอบรมเอาสิ่งดีๆ มา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องห่วงเจ้า ๒
คนนี้มากเพราะกลับมาจากโรงเรียนก็ไม่ไปเล่นไหนไกลๆ ไม่ต้องระวังรถรา
เพราะแกไปบ้านยายหนูอ้วนทุกเย็น”
จากกการพูดคุยกับลักษณ์ เธอบอกว่า
“เมื่อตอนลักษณ์ขโมยเงินแม่
ลักษณ์รู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ดียังไง รู้แต่ว่าถ้าทําแบบนี้ แม่ต้องด่าลักษณ์แน่ๆ
ตอนนี้ลักษณ์รู้แล้วว่ามันผิดศีล ๕ เพราะของของใคร ใครก็รัก ถ้าเราไปเอาของเขามา
จะทําให้เขาเดือดร้อน มันบาปไม่ควรทํา เราต้องทําแต่ความดี” แอนนากล่าวเสริมว่า
“ใช่! เราต้องทําแต่ความดี เดี๋ยวนี้ยายให้เงินค่าขนมกี่บาท
แอนนาก็รับไว้ และก็ไม่บ่นเพราะยายหนูอ้วนบอกว่า ผู้ใหญ่ย่อมรู้ว่าจํานวนเท่าไหร่ถึงเหมาะสมกับเด็ก
ลูกพระพุทธเจ้า ต้องทําแต่สิ่งดี”
บ้านกัลยาณมิตรหลังนี้เป็นเสมือนสถานที่เพาะต้นกล้าคุณธรรมให้งอกงามในใจของเด็กๆ ที่มาปฏิบัติธรรม |
ณ วันนี้
บ้านกัลยาณมิตรได้ทําให้พฤติกรรมของเด็กที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก
แอนนา...เด็กหญิงที่เกือบจะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ให้กับยาย ตอนนี้
เธอกลายเป็นผู้นําเพื่อนในการทําความดี ลักษณ์ไม่ขโมยเงินแม่อีก เบียร์รักการนั่งสมาธิเป็นชีวิตจิตใจ
หนึ่ง..ช่วยคุณยายทํางานบ้าน ช่วยป้อนข้าวน้องปีโป้ เด็กๆ ไม่ออกไปเล่นไกลๆ
ให้พ่อแม่เป็นห่วง...
ในสังคมปัจจุบันบางคนมีลูกเพื่อหวังจะให้ลูกเลี้ยงตัวเองในตอนแก่
แต่ตอนนี้ตัวเองยังไม่มีเวลาให้กับเขาเลย แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า
ยถากรรมจะหล่อหลอมให้เขารู้จักตระหนักถึงพระคุณพ่อแม่
และเมื่อถึงวันนั้นเขาอาจจะไม่พร้อมที่จะเลี้ยงเราก็ได้...ให้เวลากับเขาเถอะค่ะ...เวลาที่จะหล่อหลอมจิตใจให้เขา
เพื่อเขาจะได้เติบโตเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีปัญหา ให้เขาเป็นลูกที่เข้าใจพ่อแม่
โดยไม่เรียกร้องขอความ เข้าใจฝ่ายเดียว
การลงทุนให้เวลาเพียงวันละนิดในวันนี้
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอย่างไม่รู้จบ ในการแก้ปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย
เด็กๆ ที่นี่โชคดีที่มีบ้านกัลยาณมิตรของคุณยายหนูอ้วน
ทําให้เด็กๆ เข้าใจตัวเองและครอบครัว เพราะเด็กทุกคนต้องการเหตุผลและคําอธิบายในการกระทําของเขา
ซึ่งเราเองอาจคาดไม่ถึง
บ้านกัลยาณมิตร
ในวันนี้จะเป็นทางเลือกให้คุณสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกที่คุณรัก
และคนในครอบครัวทุกคน
จอมแก่น...เปลี่ยนใจ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:41
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: