สัจธรรมของชีวิต


ตั้งแต่เล็กมาแล้ว ข้าพเจ้ามีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเด็กทั่วไปอื่นๆ แต่ข้าพเจ้ามิได้แสดงออกให้ใครทราบ เกรงกลัวไปว่าถ้าเขารู้ว่ามีความคิดประหลาดๆ พิสดารจะถูกหาว่า บ้า จึงเก็บความคิดเหล่าไว้กับตนเอง และมักนําออกมาใคร่ครวญในเวลาอยู่ตามลําพังเสมอๆ อย่างไรก็ดี เรื่องราวต่างๆ ที่ข้าพเจ้าเก็บไว้คิดคนเดียวนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่คิดตรงข้ามกับผู้คนทั้งหมด แต่ในความเห็นลึกๆ ลงไปของตนเอง มีสิ่งหนึ่งซึ่งสมัยนั้นไม่ทราบว่าเป็นอะไรคอยกล่าวสั่งสอนอยู่ภายในใจ และมักจะยืนยันให้รู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอว่า ที่ตนเองคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งคือ

ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ ๗-๘ ขวบ พ่อได้พาข้าพเจ้าไปงานศพของญาติผู้ใหญ่ที่ตําบลบางคนที อําเภอดําเนินสะดวก แม่เพิ่งคลอดน้องชายได้ไม่ถึงเดือนจึงมิได้ไปด้วยกัน ในระยะที่น้องยังเล็กนั้น แม่ชอบให้ข้าพเจ้าไปเป็นเพื่อนพ่อในที่ต่างๆ เสมอ งานศพนั้นนิยมจัดกันที่วัด เพราะสะดวกเรื่องหยิบยืมข้าวของเครื่องใช้ เราสองคนพ่อลูกไปถึงที่จัดงานในตอนเช้า พ่อของข้าพเจ้าอายุเพิ่ง ๓๒ ปี ท่านก็ไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ (ภายหลังข้าพเจ้าทําให้ท่านเลิกดื่มได้ในราวอายุ ๓๖ ปี) ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายพวกผู้ใหญ่ที่กินเหล้าเหลือเกิน เคยเอานิ้วจิ้มน้ำเหล้าชิมดูไม่เห็นอร่อยเลย ลองจิบนิดหนึ่งก็ขมขื่นสําลักแทบตาย พวกเขากินกันอยู่ได้อย่างไรของที่มีรสเลวๆ อย่างนั้น เวลาดื่มก็ไม่เห็นจะมีท่าทางสดชื่น ล้วนแต่ทําหน้าตาเหยเกบิดเบี้ยว เม้มปากหลับตาปี๋ พอกินเมาแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เพ้อเจ้อหยาบคาย ความเป็นญาติผู้ใหญ่ที่น่านับถือไม่รู้หายไปไหนหมด

พอดีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงคนหนึ่งมาเรียกข้าพเจ้าให้ขึ้นไปอยู่กับพวกเขาบนศาลา มีผู้หญิงสาวและเด็กๆ อย่างข้าพเจ้าหลายคนกําลังช่วยกันจัดดอกไม้ นอกจากนั้นบนศาลาก็ไม่มีใครอีก เพราะงานวันนี้เป็น เพียงวันสุกดิบ ตอนเย็นและค่ำจึงจะมีผู้คนมากันมาก ส่วนวันเผาศพจริงเป็นวันรุ่งขึ้น พวกที่นั่งอยู่เดิมพากันเรียกข้าพเจ้า

มาช่วยกันที่นี่ดีกว่าหนู ดีกว่าไปอยู่กะพวกขี้เมา

ข้าพเจ้ามองปราดไปที่กองดอกไม้ ชอบใจที่มีดอกไม้หอมหลายอย่างเช่น จําปี จําปา มะลิ กุหลาบ โดยเฉพาะดอกซ่อนกลิ่นข้าพเจ้าชอบมาก เพราะไม่ใคร่เคยเห็นในงานใดๆ นอกจากงานศพ ความจริงมัน หอมดี ช่อดอกก็ยาว ก้านหนึ่งๆ มีดอกเล็กๆ ตั้งหลายดอก สีขาวบริสุทธิ์ แช่น้ำก็จะสดอยู่หลายวัน ไม่เหี่ยวง่ายๆ ทําไมจึงรังเกียจเพียงแต่มีชื่อเดิมไม่ไพเราะว่า ซ่อนชู้ เท่านั้น ก็ไม่นิยมให้ใช้ในงานมงคลอะไรๆ ทําไมคนเราจึงมีความเชื่อถือที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลย คนเป็นผู้ตั้งชื่อให้ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายเอง แล้วก็มารังเกียจชื่อที่ตนตั้ง ถ้าอย่างนั้นทําไมไม่ตั้งเสียให้มันดีวิเศษเสียตั้งแต่ต้น ข้าพเจ้าเริ่มคิด

เวลานั้นเด็กตัวเล็กๆ อย่างข้าพเจ้าทําอะไรไม่ได้มาก นอกจากช่วยผู้ใหญ่เด็ดก้านดอกมะลิบ้าง แกะดอกรักบ้างไปตามเรื่อง ให้พวกผู้ใหญ่เป็นคนเอาไปร้อยให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ช่วยเด็ดดอกไม้อยู่ได้พักใหญ่ รู้สึกปวดปัสสาวะ สมัยก่อนตามวัดวาอารามแม้ตามบ้านก็ไม่มีใครทําส้วม อาศัยถ่ายกันในที่รกๆ ข้าพเจ้าจึงบอกผู้ใหญ่แล้วเดินไปทางที่เห็นต้นไม้ขึ้นรกอยู่โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นป่าช้า สมัยโน้นไม่มีโกดังเก็บศพ เขาฝังไว้ตามพื้นดิน เมื่อข้าพเจ้าถ่ายปัสสาวะเสร็จ ลุกขึ้นยืนมองออกไปเบื้องหน้าก็เห็นภาพอย่างหนึ่งในที่ไม่ห่างจากที่ข้าพเจ้ายืนอยู่มากนัก มีไม้ไผ่กั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยมห่างๆ ภายในคอกถางไว้เตียน มีผู้ชายสองคนกําลังทําอะไรกันง่วนอยู่

ความอยากรู้ทําให้ข้าพเจ้าเดินไปดู ตอนแรกคิดว่าเขาคงตัดฟืนหรือผ่าฟืน แต่สงสัยตรงที่ทําไมต้องมาทํากันอยู่ในที่รกมากอย่างนั้น พอไปใกล้เข้าจึงเห็นว่าเขากําลังหยิบของบางอย่างนิ่มๆ แล้วเอามือทั้งสองรูดของนั้นให้ของนิ่มๆ นั่นหลุดออกมา แล้วโยนทิ้งลงไปที่บนใบตองเสียงดังเผละๆ ขณะที่กําลังสงสัยเต็มที่นั่นเองว่าเขาจะเอาของเหล่านี้ไปใช้ทําอาหารหรือ ทันใดนั้นลมกระโชกมาทางข้าพเจ้าอย่างแรง กลิ่นเหม็นเน่าที่สุดชนิดที่ในชีวิตไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนโชยมากระทบจมูกจนหายใจไม่ออก จึงรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่อาหารแน่นอน เมื่อเพ่งมองชัดเข้าจึงเห็นว่าเขารูดเนื้อเน่าๆ ออกจากกระดูก เป็นครั้งแรกที่เห็นศพ สัปเหร่อก็ไม่ส่งเสียงไล่ เขาคงทำหน้าที่ของเขาอย่างขะมักเขม้นรูดกระดูกออกไว้ทางหนึ่งเนื้ออีกทางหนึ่ง แล้วมีคนหิ้วน้ำมาให้ล้างกระดูก

กลิ่นเหม็นที่รุนแรงนั้นทําให้ข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อไปไม่ได้จึงหันหลังกลับเดินมาอย่างครุ่นคิดพร้อมกับถามตนเองว่า

นี่กระมังที่เรียกว่าคนตาย ตายแล้วน่าเกลียดถึงเพียงนี้เทียวหรือ ตายแล้วเน่าเหมือนหมาเน่าที่เราเห็นลอยน้ำผ่านหน้าบ้าน เอ... แล้วเราต้องตายอย่างนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าต้องตายเหมือนกันทุกคน งั้นเราจะต้องเกิดมาทําไม เกิดมาเพื่อจะตายเท่านั้นเองหรือ

คําถามว่า เกิดมาทําไม ข้าพเจ้าได้คิดตั้งแต่เมื่ออายุราวๆ ๗ ปี แล้วแสวงหาคําตอบเรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น สําหรับเวลาที่เล่าถึงอยู่นี้ เมื่อข้าพเจ้าสลดใจเรื่องคนตายนี่น่าเกลียด ทั้งไม่สวยงามและยังมีกลิ่นเหม็นรุนแรงนักหนา ก็คิดต่อว่าทําไมผู้คนที่เป็นญาติมิตรของคนตายจึงต้องทําเรื่องต่างๆ ให้ผิดจากความจริง ของจริงคือตัวศพนั้นสกปรก แต่กลับต้องมาเอาของหอมของสวยสะอาดต่างๆ ปกปิดไว้มิให้คนอื่นเห็น นั่งร้อยดอกไม้กันเป็นวันๆ ไปตกแต่งหีบศพ เตรียมน้ำอบไทยหอมๆ ไว้อีกตั้งหลายขวด

นี่ก็เป็นเรื่องหลอกลวงกันน่ะซี!

สมองเล็กๆ คิดตอบตนเองได้อย่างนั้น เลยไม่มีกําลังใจจะขึ้นไปช่วยพวกทําดอกไม้อีก ครั้งนั้นมิได้เกิดความหวาดกลัวแต่อย่างใด เกิดขึ้นแต่ความสลดใจอย่างใหญ่หลวงและได้คําถามติดตัวอยู่ตลอดมาว่า

ถ้าเกิดมาแล้วต้องตาย เกิดมาทําไม?

ที่เล่ามาข้างต้นนี้เพียงเป็นตัวอย่างความคิดของตนเอง ที่คิดไม่เหมือนเด็กทั่วไปและที่พิเศษจากเรื่องนี้ก็คือ เรื่องชอบเจอสิ่งที่ผู้คน เรียกกันว่า ผี เจอเป็นประจํา แต่เนื่องจากจะเป็นภาพหรือเสียงก็ตามที่ได้พบไม่น่ากลัว จึงทําให้ไม่รู้สึกกลัว มีความรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่เห็น แต่ในสมัยนั้นคนที่เป็นผู้ใหญ่หวาดกลัวเรื่องประเภทนี้มาก ถ้ารู้เรื่องเข้าจะต้องมีวิธีปราบผีกันวุ่นวาย ข้าพเจ้าไม่ชอบให้พวกเขาทํากันอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อพบเห็นอะไรจึงไม่ใคร่บอกผู้ใหญ่ ใช้คิดตัดสินใจเอาด้วยตนเอง

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
สัจธรรมของชีวิต สัจธรรมของชีวิต Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:11 Rating: 5

1 ความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.