เทวดาต่างจากผี
“เลขที่อยู่กับตาหมดแล้ว
ต่อไปให้พ่อของหนูเสี่ยงเอาเอง” ตั้งแต่นั้นหลานสาวข้าพเจ้าก็ไม่ฝันถึงอีกเลย
เมื่อข้าพเจ้าพบหลานก็ได้ถามถึงเรื่องนี้
เด็กตอบว่า
“คุณตาผมขาว
เค้ามาเข้าฝันหนู เค้าบอกว่าเค้ามีอายุนานมากเป็นล้านปีเลย ผมของเค้าขาวทั้งศีรษะเลยค่ะป้าใหญ่
แต่หน้าเค้าไม่น่าเกลียด เหมือนผู้ใหญ่ใจดี ผิวเนื้อเค้าไม่เหี่ยวเหมือนคนแก่อย่างบ้านเรา
เค้าบอกหนูอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ ว่าอายุเค้ามากเป็นล้านๆ ปีค่ะ หนูเล่าให้คุณพ่อกะคุณแม่ฟัง
คุณพ่อว่าหนูเพี้ยนค่ะป้า”
“ไม่เพี้ยนนะลูก
เรื่องนี้จริงๆ จ้ะ เทวดาชั้นต้นนี่เค้ามีอายุประมาณ ๙ ล้านปีของเมืองมนุษย์เรา”
แต่เป็นเรื่องแปลก ลาภที่จะได้มานั้น
จะได้มาตามบุญเก่าที่ทําไว้เท่านั้น
เมื่อคุณตาผมขาวบอกเลขล็อตเตอรี่ให้หลานสาวที่เล่าแล้ว
เมื่อเด็กนําไปบอกบิดามารดาก็มักจะมีเหตุให้พ่อแม่ของเด็กลังเลไม่เชื่อลูกเลยสักงวด
จะซื้อเพียงจํานวนเล็กๆ น้อยๆ พอให้มีส่งใช้หนี้ธนาคารไม่เดือดร้อนเท่านั้น
ไม่กล้าเสี่ยงซื้อมาก พอผลสลากประกาศออกมาก็ต้องเสียใจทุกงวด พร้อมกับร้องบ่นว่า “รู้อย่างนี้เชื่อลูกก็ดีน่ะซี” นี่เทวดาแท้ๆ
จะอนุเคราะห์ด้วยเมตตาจริง ไม่มีข้อต่อรองให้ทําโน่นทํานี่ตอบแทน
ข้าพเจ้าอยากจะย้อนเล่าไปถึงผีที่อ้างตัวเป็นเทวดาอีกสักราย อ้างเป็นอดีตพระเจ้าแผ่นดิน
ข้าพเจ้าทดลองไปนั่งฟังผีคุยกับคนที่ศรัทธาเลื่อมใส พูดจาด้วยคําหยาบคายจริงๆ
พูดถึงแทบจะคําเว้นคํา ใช้ถ้อยคําไม่สุภาพเหลือกําลัง เรียกว่า ผู้หญิงสาวๆ
จะทนฟังไม่ได้เลย เพียงฟังการพูดจาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผีแอบอ้างอีกประการหนึ่ง เรื่องผีบางตัวมีฤทธิ์มีได้จริง เช่น รักษาโรคบางอย่างหาย เป็นเพราะคนเจ็บกําลังหมดเคราะห์กรรมด้วยและผีเองในสมัยเมื่อเป็นมนุษย์เคยรักษาศีลบ้าง ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ทำบุญอะไรก็เคยอธิษฐานจิตไว้บ้าง จึงพอมีฤทธิ์มีอำนาจ
เรื่องฤทธิ์เดชนั้นใครๆ
ก็มีได้ แต่จะใช้ทางใดเท่านั้น ในหมู่มนุษย์เราอันธพาลมันก็มีฤทธิ์
มันจี้ปล้นเอา ใครไปเกี่ยวข้องกับเขา เขาก็มีเรื่องมาเกี่ยวข้องด้วย
เราไม่ยุ่งกับเขา เขาก็ไม่สนใจจะยุ่งกับเรา ผีก็ตกอยู่ในลักษณะเดียวกัน เราไปเกี่ยวข้องกับเขาเข้า
เขาก็จะคอยคิดถึงเรียกหาเราอยู่ ทําให้เขาไม่ถูกใจเขาก็พูดขู่ให้เราขวัญเสีย บางทีพอมีเรื่องเกิดขึ้นตามคําขู่โดยบังเอิญ
ก็เลยเกรงกลัวกันหนักขึ้นไปอีก เลยกลายเป็นทาสไปโดยปริยาย
ไม่เป็นอิสระแก่ตนที่จะสร้างสมบารมีให้ตนเองด้วยความองอาจ กล้าหาญเป็นตัวของตัวเอง
จะให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ควรทําด้วยความคิดอ่านของตน ไม่ใช่อยู่ในอาณัติผี เห็นผีเป็นผู้บังคับบัญชา
ใคร่ขอตั้งข้อสังเกตสรุประหว่างเทวดากับผีดังนี้
๑. เทวดาจริงๆ ยิ่งอยู่ในภพที่สูง
ยิ่งไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ทั่วไปยกเว้นผู้มีคุณธรรม
๒. เรื่องเข้าทรงสิงร่าง
ถ้าขออาหารกินเหมือนมนุษย์เป็นอสุรกายชั้นดี
๓. ถ้าขออาหารชั้นเลว เช่น ของสดคาว
สุรา เนื้อสัตว์ดิบของบูดเน่า เป็นเปรตชั้นเลว อสุรกายชั้นเลว
๔. ถ้าขอให้ทําบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้
เป็นเปรตชั้นดี (เทวดากินข้าวทิพย์เป็นอาหาร ลักษณะเป็น
ข้าวเม็ดใสๆ)
๕. สําหรับเปรตชั้นเลว
มักมีร่างกายวิปริตไปต่างๆ หลายรูปแบบ ส่วนเปรตชั้นดีมักมีรูปร่างหน้าตาคล้ายตอนมีชีวิตอยู่
แต่จะสวยงามหรือน่าเกลียด แล้วแต่มีกรรมมากน้อยต่างกันเพียงใด
เปรตชั้นดีเยี่ยมจริงๆ คือเวมานิกเปรต
และมหิทธิเปรต มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงเทวดาชั้นต้น
๖. สัตว์ในภูมิเหล่านี้บางรายมีฤทธิ์มาก
๗. อํานาจพระศรีรัตนตรัยมีอานุภาพสูงสุด
ผีทุกชนิดเกรงกลัว
๘. ตามที่คนถูกผีหลอกด้วยการเห็นรูปร่างหรืออาการที่น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ
ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ผีหลอก แต่เป็นความทุกข์ยากลําบากที่เขากําลังถูกทรมานอยู่
ต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ จึงแสดงสิ่งเหล่านั้นให้ดู เช่น ทํากรรมไว้เรื่อง วจีกรรม
๔ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ทําให้มีเข็มหรือตะปูหรืออาวุธอื่นเชือดเฉือนลิ้น คนถูกหลอกจึงเห็นผีแลบลิ้นยาวๆ
ผีที่มีความเจ็บปวดเพราะถูกผ่าอกอยากแสดงให้คนเห็นจะได้ช่วยเหลือ
คนก็เห็นเป็นผีแหกอก ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น
๙. คนไม่ควรกลัวผี
แต่ควรรู้สึกสงสารผี เพราะผีเป็นสัตว์ที่ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสยิ่งนัก
ข้าพเจ้าคุยมาทั้งหมดไม่ว่าผีอะไรต่อผีอะไร
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ท่านผู้อ่านชื่นชมยินดีในการเป็นผี รักผีหรือยอมตนอยู่ในอํานาจผี
แท้ที่จริงอยากให้เห็นว่า ชีวิตเราทุกคนหากยังไม่สิ้นกิเลสอาสวะ ตายแล้วต้องเกิดเป็นสัตว์ในภูมิโน้นภูมินี้
แล้วแต่กรรมที่ตนประกอบไว้ในระหว่างเวลาที่มีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่นั้นเอง การเกิดเป็นผีนั้นถือว่าเกิดในภูมิต่ำ
ภูมิที่เป็นเสมือนกรงขังเรามีด้วยกันทั้งหมด ๓๑ อย่างคือ
เป็นอบายภูมิ ๔ แห่ง ได้แก่ นรก เปรต
อสุรกาย เดรัจฉาน
เป็นมนุษยภูมิ ๑ อย่าง
เป็นเทวดาภูมิ ๖ อย่าง
เป็นรูปพรหมภูมิ ๑๖ อย่าง
เป็นอรูปพรหมภูมิ ๔ อย่าง
เมื่อใดเราสร้างสมอบรมบารมีให้เต็มที่ทั้ง
๑๐ ประการคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี
สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภูมิทั้ง
๓๑ นี้ต่อไป
หลักการบําเพ็ญบารมีมีกฎเกณฑ์ ๓
ขั้นตอนตามที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้คือ
๑. ละความชั่วทั้งปวง
๒. ทําความดีให้ถึงพร้อม
๓. ทําจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส
ในเวลาที่เรายังไม่พ้นจากวัฏฏสงสารเข้าสู่พระนิพพาน
ชีวิตของเราจึงเป็นเสมือนการเดินทาง ภพภูมิต่างๆ ที่เราไปเกิดยังที่นี่ ที่นั่น
ที่โน่นหมุนเวียนไปมา จึงเปรียบเสมือนศาลาพักระหว่างทาง กรรมที่เราสร้างขึ้นในทุกครั้งที่เกิดมีอยู่
๒ ชนิด คือฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
กรรมชั่วคือกรรมบาป เป็นเหมือนโจรผู้ร้ายที่คอยปล้นเราในระหว่างเดินทาง
ส่วนกรรมฝ่ายดีคือ บุญ เป็นเหมือนขุมทรัพย์มหาสมบัติที่เราได้มามีไว้จับจ่ายใช้สอยขณะเดินทาง
ในการเดินทางจริงๆ ที่เรารู้จัก
เราไม่สามารถสร้างโจรหรือสร้างสมบัติให้ตนเองโดยตรง แต่ในการเดินทางของชีวิต
เรามีสิทธิ์ในการทําความดีหรือความชั่วด้วยตัวเราเองอย่างแท้จริง
ทําไมเล่าเราจึงต้องโง่ สร้างโจรมาปล้นตัว ทําไมไม่ขนแต่มหาสมบัติเพียงอย่างเดียว
ถ้าจะมีปัญญารู้ตามความจริงกันสักนิดว่า
ผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องอยู่ในขณะที่เกิดเป็นมนุษย์นั้น
เป็นเพียงของใช้ชั่วคราวในการเดินทางผ่านเท่านั้น เหมือนเวลาเราขึ้นรถประจําทางหรือพักค้างแรมในสถานที่เช่าบางแห่ง
สิ่งของที่มีที่ใช้ในรถคันนั้นหรือในห้องเช่นนั้น ล้วนแต่เป็นของใช้ชั่วคราว
เมื่อจากไปแล้วเราก็ต้องทิ้งไว้ที่เดิม จะยึดเอาเป็นของตนไม่ได้
เราต้องเดินทางต่อไปยังที่หมายปลายทาง
มนุษย์เราก็คือ ชีวิตที่ต้องเดินทางจากภพนี้ไปภพนั้น
หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกรรมของตน ถ้าใครรู้เป้าหมายของชีวิต ก็จะพยายามสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยมเพื่อจะได้ออกจากภพ
คือได้ เลิกเกิด เรียกว่า เลิกเดินทาง
เพราะไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใดๆ ก็ไม่พ้นจากความทุกข์ทั้งสิ้น เพียงแต่จะเป็นทุกข์ที่หยาบหรือละเอียดต่างกันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงนําเรื่องผีเปรตมาพูดกับท่าน หรือแม้ผีอื่นๆ ก็เช่นกัน
เพื่อยืนยันว่าตายแล้วถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดอีก ไม่ใช่ตายแล้วสูญ
กรรมที่ทําให้เป็นเปรต คือความโลภจัด งกในทรัพย์สมบัติหรือผู้คน
ซึ่งเป็นของที่ไม่สามารถเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปไหนด้วยกันได้
อาศัยใช้เพียงชั่วคราวในชาติหนึ่งๆ เท่านั้น ถ้าจะเอาติดตัวไปไหนๆ ด้วย
ให้เหมือนเงาตามตัว ก็มีวิธีทําอยู่เพียงวิธีเดียวคือเปลี่ยนทรัพย์สมบัติเงินทองเหล่านั้นให้เป็นบุญ คือทําการบริจาคในสิ่งที่สมควรต่างๆ เรียกว่า
เปลี่ยนจากโภคทรัพย์มาเป็นอริยทรัพย์นั่นเอง
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
เทวดาต่างจากผี
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:07
Rating:
อ่านแล้วจะเข้าใจทำไมพระชวนทำแต่ความดี
ตอบลบ