คนทรงเจ้า
ก่อนจะเล่าเรื่องผีเจ้าเข้าทรง
ข้าพเจ้าขอเล่าถึงความรู้สึกของตนเองเมื่ออ่านพบข้อความในคัมภีร์ทางศาสนา กล่าวถึงความรู้สึกของเทพยดาชั้นสูงรังเกียจกลิ่นกายมนุษย์โดยอุปมาเปรียบเทียบว่า
แม้มนุษย์ผู้นั้นจะเป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิ (หมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน ผู้มีบุญและทรงคุณธรรมเป็นเยี่ยม
จะอุบัติขึ้นในเวลาที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มีสมบัติวิเศษต่างๆ
เกิดขึ้นประดับพระบารมีเช่น รัตนะ ๗ มีช้างแก้ว ม้าแก้ว จักรแก้ว นางแก้ว
ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว และแก้วมณีอันเป็นแก้วสารพัดนึก เรียกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีความเป็นสุขสมบูรณ์ที่สุด)
ทรงสรงสนานพระวรกายด้วยน้ำอบสุคนธาวันละหลายครั้ง
ทรงพระภูษามาลาอันวิจิตรซึ่งอบด้วยกลิ่นหอมอันวิเศษ
ขนาดมนุษย์ชนิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิดังนี้
เทพยดายังมีความรู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นเหมือนสุนัขเน่า แม้จะอยู่ห่างกันถึง ๑๐๐โยชน์ (ประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร)
กลิ่นเหม็นของมนุษย์ก็รุนแรงจนเทวดาทนไม่ไหว
แต่เทพยดาจะเข้าใกล้ได้เฉพาะผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ เช่น
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลิ่นศีลจะดับกลิ่นเหม็นของกายเนื้อมนุษย์ลงได้
เมื่ออ่านทราบความรังเกียจที่เทวดามีต่อพวกมนุษย์ดังนี้
ข้าพเจ้าก็คิดใคร่ครวญพิจารณาข้อเท็จจริง ในตําราที่เขียนไว้นี่พูดเกินจริงไปบ้างหรือเปล่า
ในความรู้สึกของเทวดา คนนี่เป็นสัตว์ที่เหม็นถึงขนาดนั้นทีเดียวหรือ ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
ยังคิดไม่ออก จนกระทั่งมาพบเหตุการณ์ ๓ เรื่องด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงได้ตัดใจเชื่อว่า
ข้อความที่กล่าวว่า เทวดารังเกียจมนุษย์เป็นเรื่องจริงแน่ๆ
เรื่องแรก วันนั้นข้าพเจ้าเดินทางโดยรถประจําทางไปให้การอบรมธรรมปฏิบัติและบรรยายธรรมแก่ข้าราชการแห่งหนึ่งทางเขตบางเขน
ได้ขึ้นรถประจําทางสาย ๒๘ (หมอชิต - สายใต้) จะคิดขึ้นรถปรับอากาศก็ต้องเสียค่าโดยสารเป็นสิบบาท
ไปด้วยกลับด้วย ๒o บาท
บางวันสอนสองแห่งเป็นเงิน ๔๐ บาท คํานวณแล้วเกินฐานะ ข้าพเจ้าไม่มีรายได้พอที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยถึงขนาดนั้น
มีแต่เงินบํานาญพอได้อาศัยซื้ออาหารกินเป็นเดือนๆ ไป สําหรับการทําการเผยแผ่ในที่ทุกแห่ง
ข้าพเจ้าไม่ขอรับเงินตอบแทน เพราะเคยอ่านพบในหนังสือพระไตรปิฎกมีข้อความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลายต่อไปภายภาคหน้าสมณชีพราหมณ์ผู้ลามก
จะแสดงพระสัทธรรมของเรา เพียงเพื่อเห็นแก่อามิสสินจ้างรางวัล”
ข้าพเจ้าจึงตัดปัญหาเรื่องนี้เพื่อป้องกันมิให้กิเลสเกิด
คือ อาจเกิดความพอใจในสถานที่ที่ได้รับเงินตอบแทนมาก ไม่พอใจถ้าได้น้อย ที่ไหนไม่ให้ก็ไม่ยอม ดังนี้เป็นต้น
ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่ง ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพราหมณ์
ซึ่งกําลังคุมบ่าวไพร่ทํานาอยู่ ต่อว่าพระองค์ว่าไม่รู้จักทํามาหากิน พระองค์ตรัสว่า
พระองค์ทรงเป็นชาวนาเหมือนกัน มีศรัทธาเป็นพืช มีความเพียรเป็นฝน
มีปัญญาเป็นแอกหรือไถ มีหิริเป็นงอนไถ มีใจเป็นเชือก มีสติเป็นผาลและปฏัก พราหมณ์มีศรัทธาในคําสอนจึงถวายข้าวปายาส
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
“ดูกรพราหมณ์
เราไม่ควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา ข้อนี้มิใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯลฯ”
ในวันที่ข้าพเจ้าขึ้นรถเมล์วันนั้น ดูเหมือนเพิ่งเสร็จจากเทศกาลสงกรานต์ ผู้คนจํานวนมากกลับจากต่างจังหวัดมาทํางานตามเดิม จึงแออัดยัดเยียดกันอยู่ในรถแทบจะไม่มีที่ยืน แต่ละคนมาจากที่ไกลอาจค้างวันค้างคืนในการเดินทางอยู่ในรถ แต่ละคนจึงมีกลิ่นเหงื่อไคลและกลิ่นกายแรงกว่าปกติ ข้าพเจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ตรงใต้แขนของเขาพอดี กลิ่นเหม็นจากรักแร้จัดมากจนข้าพเจ้าวิงเวียนศีรษะ พอได้โอกาส จึงขยับตัวเคลื่อนที่เบียดผู้คนต่อลึกเข้าไปในตัวรถ ตรงที่ผู้หญิงสองคนยืนโหนรถคุยกันอยู่ คิดในใจว่าไปอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงคงจะดี ใส่เสื้อผ้าสะอาด คงจะใส่น้ำยาดับกลิ่น เราคงหายเวียนหัว
พอไปถึงใกล้ๆ เริ่มสบายใจเพราะแม้ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวและยังมีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ
ระเหยออกมาจากร่างเธอ แต่ทันทีที่ทั้งสองอ้าปากคุยกันต่อ ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืนอยู่ตรงนั้น
กลิ่นปากของสตรีคนใดคนหนึ่ง พุ่งออกมาเข้าจมูกของข้าพเจ้าพอดี
มันปนกับกลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้ ทำให้ข้าพเจ้าผะอืดผะอมกําลังรู้สึกสิ้นความอดทนจะต้องอาเจียนออกมาแน่
เพราะเพิ่งกินข้าวมื้อเพลอิ่มก่อนขึ้นรถมานี่เอง ก็พอดีเหลืออีกป้ายเดียวจะถึงที่หมาย
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลงจากรถได้ทัน มาสูดอากาศธรรมดาที่ป้ายรถเมล์ ล้วงหายาดม ยาลมยาหม่องมาใช้รักษาอาการไปตามเรื่อง
นึกถึงพระพุทธวจนะที่ทรงสอนให้สํารวมอินทรีย์ เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสสักแต่ว่าลิ้มรส เย็นร้อนอ่อนแข็งมาถูกกายก็สักแต่ว่าสัมผัส
ไม่ต้องเลยคิดไปว่าชอบใจ ไม่ชอบใจ เพราะกิเลสจะเกิดตรงจุดนี้
พอชอบใจไม่ชอบใจก็จะกลายเป็น ตัณหา คือความอยาก ชอบใจอยากได้
ไม่ชอบใจอยากเสือกไสไปให้พ้น
แม้จะรู้ซึ้งถึงคําสอนนั้น
แต่เวลาทําจริงไม่ใช่ง่ายๆ ในที่สุดต้องเดินทําสมาธิจิตต่อไปอีกหนึ่งป้ายรถเมล์ อาการคลื่นไส้จึงหายไป
ร่างกายคืนสู่สภาวะปกติ เมื่อข้าพเจ้าเหม็นถึงที่สุดนั้น
ได้นึกถึงเรื่องเทวดาเหม็นกลิ่นกายมนุษย์ นี่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ
ยังเหม็นคนด้วยกันได้ถึงเพียงนี้
เรื่องที่สอง
วันนั้นข้าพเจ้าเดินทางไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด จะนําเงินประจําเดือนไปให้พี่อบ
คนที่มีบุญคุณต่อข้าพเจ้า (เล่าไว้ในเรื่องผีพนัน) ขณะนั้นนั่งรถส่วนตัว
ลูกชายเป็นคนขับ เวลาเดินทางต่างจังหวัด
ข้าพเจ้าเห็นว่าควรหายใจสูดอากาศท้องนาที่บริสุทธิ์ ไม่ควรนั่งรถปิดกระจกเปิดแอร์เครื่องทําความเย็น
ข้าพเจ้าจึงให้ลูกปิดแอร์รถยนต์ และเปิดกระจก หายใจยาวๆ ลึกๆ ด้วยความรู้สึกชื่นใจ
มีความสดชื่นตามอากาศเข้าไปในปอด แล้วเหมือนความชื่นใจนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ทุกขุมขน ยิ่งรถวิ่งไปช้าๆ ตามสบาย สายลมเย็นก็พัดผ่านตัวอยู่เรื่อยๆ
ลูกชายนําอาหารของข้าพเจ้าติดมาในรถด้วย
ข้าพเจ้าเริ่มนําออกมารับประทานมีความสุขกายสบายใจมาก นานเหลือเกินจะได้มีโอกาสเป็นอิสระอย่างนี้
ทุกวันต้องออกพบปะผู้คน คลุกคลีกับหมู่คณะ เผยแผ่ธรรมปฏิบัติบ้าง ปริยัติบ้าง วันไหนได้ออกจากกรุงเทพฯ
เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวอย่างนี้รู้สึกเป็นสุขจริงๆ
ครั้นพอเลยบางแคไปได้ไม่นาน
ข้าพเจ้าก็ต้องชะงักการรับประทานอาหาร สําลักไอออกมา ทั้งจามด้วย
ต้องเลิกรับประทานเพราะรถกําลังวิ่งผ่านฟาร์มเลี้ยงเป็ดขนาดใหญ่ กลิ่นสาบที่ฟุ้งมาตามสายลม
รุนแรงถึงต้องหยุดหายใจ และไม่ใช่ชั่วครู่ กว่ารถจะวิ่งผ่านพ้นกลิ่นต้องเสียเวลาหลายนาที
ทํานองเดียวกัน พอถึงเขตจังหวัดนครปฐม กลิ่นเหม็นของหมู ซึ่งคงเป็นกลิ่นขึ้หมู
ก็พวยพุ่งเข้าในรถอีก เหม็นไกลเป็นหลายๆ กิโลเมตร จนต่อกับเขตอําเภอโพธารามก็ยังเหม็นไม่จบสิ้น
จนเข้าเขตอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี จึงค่อยคลายลง
ได้กลิ่นอย่างนี้ ไม่ทราบว่าใครอื่นจะนํามาคิดอะไรหรือไม่
แต่ข้าพเจ้านํามาคิดเปรียบเทียบดังเรื่องแรกนั่นแหละ สัตว์ทั้งสองมันเหม็นสาบ
เหม็นหึ่งถึงขนาดนี้ เวลาทําอาหารก็กินกันได้อย่างเอร็ดอร่อย แต่ที่ตัวมันเองก่อนนํามาปรุงด้วยเครื่องชูรสทั้งปวงมีกลิ่นน่ารังเกียจเหลือกำลัง
นี่ขนาดเราอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน แล้วเทวดานั้นเขาอยู่ในสถานที่อันเป็นทิพย์ทุกอย่าง
เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสถูกต้อง ล้วนแล้วแต่ของประณีตดีเลิศ
จะไม่รังเกียจมนุษย์เหม็นๆ อย่างเราได้อย่างไร
เรื่องที่สาม
ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปงานบวชลูกชายของเพื่อนบ้านที่ต่างจังหวัด
เด็กที่บวช ข้าพเจ้ารู้จักแกมาตั้งแต่เกิด พออายุ ๑๔-๑๕ ปี
ข้าพเจ้ามองออกว่าถ้าไม่ได้รับการอบรมจิตใจที่ดี เด็กจะเสียคน จะเรียนไม่จบ เสียอนาคต
เมื่อข้าพเจ้าพบเด็กก็จะพยายามพูดคุยด้วยเรื่องหลักของศาสนา เวลาพาบิดาไปเลี้ยงพระปฏิบัติธรรมที่วัด
ก็จะชวนเด็กผู้นี้ไปด้วยเสมอ มีอยู่ปีหนึ่งปิดภาคเรียนเทอมปลาย เด็กขออนุญาตบิดามารดาบวชเป็นสามเณร
ข้าพเจ้าดีใจว่าแกคล้อยตามคําเกลี้ยกล่อมชักจูงของเรา การบวชโดยใช้เวลาเพียงเดือนเศษ
แล้วสึกออกมาเรียนต่อก็ไม่เสียหายเรื่องการเรียนแต่อย่างใด
จิตใจเมื่อรู้อะไรดีอะไรชั่วจะได้มีภูมิคุ้มกัน เพื่อนชักชวนไปทางเลวอย่างไร
ก็ยังสํานึกในเรื่องบาปบุญคุณโทษ คงจะป้องกันเขาให้พ้นจากความเลวนั้นๆ ได้
แต่น่าเสียใจที่บิดาของเด็กไม่อนุญาต
ลางสังหรณ์ไม่ผิดไปจริงๆ เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าคาดการณ์ไว้ทุกประการ
อีก ๕ ปีต่อมา เด็กเสียคนด้วยเรื่องหลายเรื่อง เรื่องผู้หญิงนี่มากถึงขนาดเป็นโรคงอมแงม
เรื่องวิปริตทางเพศ เรื่องฉกชิงวิ่งราวจนถึงติดคุกติดตะราง
เรียนไม่จบย้ายโรงเรียนจนเลิกเรียน ท้ายที่สุดหมดอนาคตแทบไม่อยากเป็นผู้เป็นคน
ข้าพเจ้าได้พบอีกครั้งจึงพูดกันเรื่องบวชอีก คราวนี้บิดาของเด็กหนุ่มไม่ขัดข้อง
ข้าพเจ้าได้เดินทางไปร่วมในงานบวชในครั้งนั้น
เมื่อเดินทางไปถึงเป็นเวลาเย็น ญาติพี่น้องของเจ้าภาพมากันเต็มไปหมด งานในชนบท
ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องทําอาหารเลี้ยงกันเต็มที่ เรียกว่าใช้เงิน
ทําบุญกับทางศาสนาไม่ถึง ๕ พันบาท แต่เลี้ยงสุราอาหาร ดนตรี ภาพยนตร์หมดไป ๔
หมื่นเศษ ข้าพเจ้ามองดูผู้คนเหล่านั้นแต่ละคนไม่มีศีลอยู่ประจําตัวเลย
ดื่มเหล้าเมาพูดจาเสียงอ้อแอ้ เดินเหินโงนเงน กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่ว
คําพูดล้วนแต่หยาบคาย มีแต่เรื่องทางเพศ ทั้งคนคุยทั้งคนฟัง
ดูมีความสนุกสนานหัวเราะกันเบิกบาน อากัปกิริยาต่างๆ แสดงท่าทางวางโตบ้าง ทําตัวเองเหมือนเป็นคนสําคัญกว่าคนอื่นบ้าง
ข้าพเจ้าหันดูผู้คนไปรอบตัว รู้สึกขยะแขยงสะอิดสะเอียน เหมือนตนเองถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงผี ฝูงเปรต อสุรกาย การกินอยู่ดูมูมมามวุ่นวายสับสน
จนต้องรีบให้เงินทําบุญเจ้าภาพแล้วรีบหนีออกมาให้พ้นที่นั่น
ออกมาได้ก็มานั่งคิดเงียบๆ ในใจว่า
คนไม่มีศีลนี้น่ารังเกียจถึงขนาดนี้ ร่างกายแต่ละคนแม้แต่งตัวกันมาสวยสดงดงาม
เหมือนตั้งใจแต่งมาประกวดกัน จะเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกายก็พยายามใช้ชุดที่ดีที่สุด
ที่มีอยู่ ทาแป้งใส่น้ำหอมกันมาคละคลุ้ง เรื่องทางร่างกายไม่มีอะไรน่าเกลียดเลย
แต่ความสกปรกในใจที่แต่ละคนมีอยู่นั้นน่ารังเกียจเหลือประมาณ
ในความรู้สึกของข้าพเจ้าคิดว่า คนพวกนี้เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เมื่อเขาไม่มีคุณธรรม
ทําให้เรารังเกียจถึงเพียงนี้ คิดกระทั่งว่าถ้ามีรถกลับกรุงเทพฯ
ตอนนี้เราจะหนีกลับ หนีไปให้ห่างไกลให้ลับตาอยู่กับคนเหล่านี้ไม่เป็นสิริมงคลเลย
มนุษย์ด้วยกัน ความสะอาดสกปรกในใจเมื่อต่างกัน
ยังรังเกียจกันได้ถึงขนาดนี้ ทําไมเทวดาซึ่งมีเทวธรรม
อันเป็นคุณธรรมที่สูงยิ่งกว่ามนุษย์มาก จะไม่รังเกียจพวกมนุษย์ได้อย่างไร
การเปรียบเทียบเอาแค่ว่าเหมือนสุนัขเน่าก็นับว่าดีถมไปแล้ว
ควรน่ารังเกียจยิ่งกว่านั้นไปเสียอีก
ทั้งสามเรื่องที่ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นมาอย่างแรงนี่เอง
ทำให้เข้าใจความรู้สึกของเทวดาแจ่มแจ้ง และเชื่อถือในคําเปรียบเทียบดังกล่าว
ทีนี้ข้าพเจ้าก็มานึกต่อไป เมื่อรังเกียจขนาดหนักแล้ว
จะอยากเข้าใกล้หรือไม่ ก็ได้คําตอบแก่ตนเองว่า
“ไม่มีทาง ต้องหนีให้พ้นให้ลับหูลับตา ไม่มายุ่งด้วยแน่นอน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกผีเจ้าเข้าทรงจะเป็นเทวดาใช่หรือไม่
ข้าพเจ้าจึงตอบได้ว่า ถ้าเป็นเทพชั้นสูงไม่ใช่แน่ๆ
นอกจากชั้นต่ำที่มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงมนุษย์ที่เป็นร่างทรงนั่นแหละ
จึงจะพอทนกลิ่นเหม็นหรือทนการกระทําของร่างทรงไหว
คนมีศีลอย่างเรายังไม่ยอมเข้าใกล้คนเลวๆ เทวดาสูงๆ จะอยากเข้าใกล้คนได้อย่างไร
แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจนัก
เมื่อมีคนมาวานไปเป็นเพื่อนเมื่อราวสิบปีมาแล้ว (พ.ศ.๒๕๒๒)ทดลองไปดู
รายนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการเข้าจริง เพราะพอมีการเข้าทรง
ร่างของชายผู้ที่มีผีเข้าก็มีอาการและรูปร่างคล้ายคนแก่อายุเป็นร้อยปี ขอแต่หมากกินไม่ขาดคํา
หมายถึงพอหมดปากก็กินใหม่ติดต่อกัน น้ำหมากหลากไหลสองมุมปากเลอะเทอะ
ลําตัวงอหลังโกงแทบจะถึงพื้นกระดาน พูดจาเสียงสั่น ใช้ภาษาโบราณ มึง กู ข้า เอ็ง
ครั้งนั้นผีพูดทักข้าพเจ้าว่า
“คนนี้
มันลูกไอ้... (ออกชื่อพ่อข้าพเจ้า) หลานอี... (ออกชื่อย่า ข้าพเจ้า) ยืนตายนี่หว่า
ใช่ไหมวะ”
ข้าพเจ้ารับว่าใช่ และก็นึกแปลกใจสรรพนามที่ผีใช้เรียกย่าข้าพเจ้า
ทําไมมีคุณศัพท์ขยายชื่อว่า ยืนตาย เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน
เมื่อนําเรื่องมาถามพ่อ พ่อบอกว่า
“ใช่ลูก
เป็นคําที่ใครๆ ใช้เรียกย่าของหนูจริงๆ เมื่อย่าเป็นสาวหรือจนแก่เฒ่าก็เหมือนกัน
ย่าเป็นคนขยันมาก จนใครๆ ยกย่องว่าคนอย่างย่าเวลาใกล้จะตายก็ไม่ยอมหยุดทํางาน
ต้องตายทั้งที่ยืนทํางานอยู่ เลย ถูกเรียกว่า อี ... ยืนตาย”
นอกจากผีจะคุยเรื่องของย่าข้าพเจ้าถูกแล้ว
ยังบอกเลขท้ายล็อตเตอรี่เกือบถูก เพียงแต่ตัวเลขสลับหลักกันเท่านั้น
ข้าพเจ้าไม่สนใจเรื่องการพนัน จึงไม่กระทบกระเทือน แต่คนที่ข้าพเจ้าไปเป็นเพื่อน
ข้าพเจ้าห้ามปรามเขาว่า
“ผีเขาก็มีหน้าที่หลอกคนนะ
อย่าเชื่อเลยจะหมดตัว” แต่เขาไม่เชื่อ
เสียเงินนับเป็นหมื่นบาท เพราะหวังรวยเป็นล้าน
พ่อบอกข้าพเจ้าว่า
“ผีตัวที่หนูไปพบมานี่
ย่าเล่าให้ฟังว่า ตอนย่าเล็กๆ จําความได้ ผีนี่เขาเกิดเป็นลูกกรอกอยู่ก่อนแล้ว
สิงอยู่ในลูกกรอกนานหลายปี ภายหลังจึงเดินทางไปสิงคนอยู่ทางลาดพร้าวที่กรุงเทพฯ อยู่ถึงแปดสิบปีทีเดียว
(ถ้าขณะนี้ย่าข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ท่านจะอายุ ๑๐๒ ปี) นี่เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี้ไม่นาน
ให้หวยคนโน้นคนนี้ แล้วแต่จะไปตีตัวเลขกันเอง ก็มีบ้างบางคนซื้อถูก
ก็เอาเงินมาสมนาคุณ ถูกคนเดียวแต่ผิดเป็นร้อยๆ คน คนส่วนใหญ่ ชอบเอาเรื่องถูกไปคุย
เรื่องผิดไม่คุย พวกงมงายก็เลยพากันมาขอหวยไม่เว้นแต่ละวัน ทําให้ครอบครัวร่างทรงซึ่งแต่เดิมยากจนมากแทบจะอดตาย
ตอนนี้พอมีกินมีใช้ขึ้น ผีแบ่งเงินให้ใช้มากๆ ด้วย ส่วนที่เหลือผีก็เอาไปทอดผ้าป่าวัดโน้นวัดนี้”
ข้าพเจ้าจึงพูดเสริมว่า “ใช่ค่ะ งวดนี้ก็มีคนถูกมาคนหนึ่ง จะถวายเงินทอดผ้าป่าวัด...
แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีลิเกด้วย ๑ คืน
ผีชอบดูลิเก เราพูดกันนะคะพ่อว่า ผี ผี แต่คนอื่นเค้าว่านั่นน่ะเทวดา
ตัวผีเองก็ว่าเค้าเป็นเทวดา”
แต่พ่อก็ยืนยันว่า “ไม่ใช่เทวดาแน่นอน พ่อได้ยินย่าเล่าให้ฟังมาแต่เล็กแล้ว
ผีลูกกรอกน่ะ”
ข้าพเจ้าคิดใคร่ครวญดู
ก็เห็นจริงอย่างพ่อบอก ผีลูกกรอกก็คือ เปรตชนิดหนึ่ง
ตั้งแต่เกิดมาเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นลูกกรอกจริงๆ เลย
เป็นเทวดาหรือจะกินหมาก
เทวดามีรูปร่างงามไม่แก่เหี่ยวย่น หลังงองุ้มเหมือนคนอายุร้อยปีอย่างนี้
ในภูมิของเทวดามีการละเล่น ฟ้อนรําสวยงาม ประณีต ทําไมต้องมาอยากดูลิเกมนุษย์ซึ่งเทียบกันไม่ได้
ดูลักษณะการเข้าร่างดังนี้ ก็พอคาดคะเนได้ว่าใครมาเข้าร่างทรง จะอ้างเป็นเทวดา
พรหม หรืออะไรๆ ก็ดูออกไม่ยากว่ากําลัง “โกหก” เทวดา พรหม จะมีรัศมีกายสวยงาม เข้าไปที่ใด เช่น
เข้าไปหาพระภิกษุผู้ทรงศีล ทรงธรรม
ที่นั่นจะสว่างไสว ไม่ใช่เข้าร่างแล้วกินหมากสูบบุหรี่ บางรายขอเหล้าดื่มอั้ก อั้ก
อั้ก รายนี้สั่งคนที่ชวนข้าพเจ้าไปว่า ถ้าจะกินอาหารมื้อใดก็ตามให้เรียกเขาไปกินก่อน
ประเภทนี้คือเปรตอสุรกายทั้งสิ้น เมื่อเป็นมนุษย์บาปใหญ่ก็ไม่มี บุญใหญ่ก็ไม่มี
เรื่องหลักพุทธศาสนาพอรู้บ้างเล็กน้อย เช่น ให้ทาน รักษาศีล แต่ไม่ทราบเรื่องเจริญภาวนาให้เกิดปัญญาแต่อย่างใด
ตายแล้วจึงเป็นสัตว์ในภูมินี้
เมื่อมีกรรมดีไม่มาก
กรรมชั่วไม่มากดังนี้ ก็แล้วแต่กรรมที่กําลังกระทําอยู่ในภูมิใหม่ บางรายอยู่นานเข้าก็เหงา
ไม่มีเพื่อน จึงพยายามติดต่อกับมนุษย์ ถ้าจะเอาแค่หลอกหลอนก็ติดต่อได้ไม่นาน
คนถูกหลอก มักจะหนีเสียก่อน พูดกันไม่รู้เรื่อง
ถ้าใช้วิธีเข้าทรงผีสิงอยู่ในร่างมนุษย์ด้วยกันอย่างนี้
พวกมนุษย์จะไม่รู้สึกกลัวจะพูดคุยกันด้วยเรื่องอะไรๆ ก็ได้ และเนื่องจากเปรตหรืออสุรกายพวกนี้
เมื่อยังเป็นมนุษย์บางรายอาจเคยถือศีล ดังนั้น
พอเป็นผีก็พอมีฤทธิ์มีอภินิหารอยู่บ้าง บันดาลอะไรได้พอสมควร โดยเฉพาะมนุษย์ที่มาติดต่อที่พอมีบุญเก่ากําลังให้ผล
ก็อาจได้ลาภเกิดขึ้น ยอมเป็นพรรคพวก ทําให้หลงตนเองยิ่งขึ้นไปอีก ชอบให้ใครๆ มาเคารพยกย่องตนเอง
จุดนี้เองที่เป็นกรรมใหม่ไปสร้างในภูมิเปรตอสุรกายนั้น
ทําให้ผู้คนขาดปัญญา มีความงมงาย ไม่สนใจในคุณของพระรัตนตรัย ไปไม่ถึงพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์อันเป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่ไพศาลสามารถปฏิบัติตามจนบรรลุถึงความหลุดพ้น
เลิกเวียนว่ายตายเกิด ผู้คนจะสนใจเชื่อฟังแต่คําสั่งของผีเหล่านี้
ซึ่งก็ไม่รู้สิ่งใดลึกซึ้ง รู้ผิดๆ ถูกๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะผิด เหมือนกีดกันมนุษย์ทั้งหลายให้หลุดออกจากการสร้างบารมี อุปมาเหมือนคนกําลังจะเดินทางไปเจอสระน้ำใหญ่
แต่กลับถูกกั้นให้เห็นแต่ถ้วยน้ำเล็กวางอยู่ข้างทาง แล้วก็พอใจนั่งพักอยู่เพียงนั้น
ไม่ยอมเดินทางต่อไปให้ถึงสระน้ำ
กรรมที่ผีชนิดนี้กั้นบุญ กั้นการสร้างบารมีของผู้คนดังนี้
จึงทําให้ต้องมีชีวิตยืนยาวนับเวลาไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นปี
แล้วแต่ทําเพิ่มมากน้อยแค่ไหน อายุของสัตว์ประเภทเปรต อสุรกาย จึงมีกําหนดไม่
แน่นอน ไม่เหมือนอายุของสัตว์นรก เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม เหล่านี้มีอายุขัยที่แน่นอน
ถ้าจะมีการเถียงว่าเขาก็ชวนให้ทําบุญเหมือนกันนี่นา
เรื่องนี้ต้องตอบว่า ใช่ เขาชวนได้ เพราะรู้อยู่เพียงนั้นว่า บุญเกิดได้จากการทําทาน
เรียกว่ารู้แค่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ก็เที่ยวสอนคน ตัดโอกาสที่คนจะไปเรียนจากครูที่มีความรู้สูงกว่านั้น
พูดอย่างนี้คงเข้าใจ ความดีมีหลายระดับ การบริจาคทานเป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น
ถ้าจะมีใครถามว่า แล้วที่ผีสามารถรู้ได้ว่าอดีตของเราเป็นอย่างไร
เหมือนที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องผีที่รู้จักย่าของข้าพเจ้า ต้องขอตอบว่าเมื่อผีประเภทนี้มีอายุยืนยาวมากเป็นร้อยเป็นพันปี
เขาก็ย่อมรู้จักหมดว่า ใครเคยเกิดอยู่ที่ไหนอย่างไร ลูกเต้าเหล่าใคร เคยทําดีทําชั่วไว้อย่างไร
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยเรื่องอะไร ใครบ้างมีเวรกรรม หรือมีบุญเก่ากันมาแค่ไหน
ตัวอย่างเปรียบเทียบ เช่น เราเลี้ยงหมาแมวไว้ในบ้าน
ปล่อยมันออกแม่แผ่ลูกกันโดยไม่ต้องมีการคุมกําเนิด ลูกของมันออกมาเราก็แจกให้คนโน้นคนนี้ไป
มันจะอยู่ที่ไหนเราก็เห็นเราก็รู้จักจําได้ มันมีพฤติกรรมอย่างไรเราก็รู้ รู้ว่าตัวนี้เป็นแม่
เป็นพี่เป็นน้อง เป็นลูกหลานตัวนั้นตัวโน้น
ทั้งที่ตัวของพวกสัตว์เหล่านั้นมันไม่รู้เลย เราอายุยืนกว่าจึงรู้รายละเอียดทุกอย่าง
ผีเปรตอสุรกายพวกนี้ก็ตกอยู่ในฐานะดังที่เปรียบเทียบให้ฟังนั่นแหละ
เขาเห็นเราตั้งแต่เพิ่งคลอด ทําอะไรๆ บ้างในชีวิต ตายแล้วไปเกิดที่ไหนเขาก็เห็น
เพราะเขายังไม่ตาย แม้เราจะมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเขาก็เห็น ผีบางตัวอ้างด้วยซ้ำว่ามีอายุหลายพันปี
เมื่อเป็นดังนี้เขาก็ย่อมรู้จักมนุษย์ในโลกนี้
ใครจะมีชื่อเสียงเด่นดังดีเลวอย่างไร ผีเห็นมาทั้งหมด
เรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลแค่นี้ สองพันกว่าปี ผีที่มีอายุอย่างน้อยสัก ๓
พันปีนี่รู้เรื่องละเอียดหมดแล้ว นับประสาอะไรกับคนในยุคเราๆ ที่ตายลงไป
เขาจะอ้างแทนว่าเขาเป็นคนโน้น คนนี้อย่างไรก็ได้ ในเมื่อเห็นการกระทําของคนนั้นมาทั้งชีวิต
ย่อมรู้เรื่องของคนที่ถูกผีอ้างเป็นตัวโดยละเอียด พูดได้ถูกต้อง ทําเรื่องอะไรที่มีคุณต่อประเทศชาติบ้านเมืองไว้อย่างไร
ผีรู้หมด รับสมอ้างได้ทุกอย่าง
คนไม่ฉุกใจคิดย่อมอัศจรรย์ใจง่าย ยินยอมเชื่อถือทันทีเพราะน่าเชื่อ
แม้ยังเจริญภาวนามองไม่เห็นว่าผีนั้นตัวตนจริงคือใคร แต่ถ้าจะคิดให้ดีสักนิด
บางแห่งมีผีชื่อเดียวกัน เข้าทรงพร้อมๆ กัน หลายๆ ประเทศ ยังมี นับเป็นสิบๆ
สถานที่ ถ้าเป็นผีชื่อนั้นจริงจะแยกร่างกันแบบไหน ที่โน่นก็ลงทรง ที่นี่ก็ลงทรง
ที่จริงเป็นผีรับสมอ้างทั้งนั้น เพราะแต่ละตัวก็รู้จักคนที่ตนปลอมตัวเป็นเขาดีอยู่แล้ว
เคยเห็นการทํางานต่างๆ รู้จักชีวิตและเรื่องราวของเขาหมดทุกประการ
จะอ้างให้สมจริงสมจังอย่างไรก็ได้ ผีที่เข้าร่างทรงในที่ต่างๆ นั้น แม้จะอ้างว่าชื่อเดียวกัน
แต่เป็นผีคนละตัว และถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าผีมักจะอ้างว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่คนนับหน้าถือตา เพราะง่ายต่อการชักชวนให้ผู้คนศรัทธา
ทีนี้ข้าพเจ้าเคยถูกถามว่า เมื่อเรื่องทายทักเหตุการณ์ในอดีตถูกต้องไม่สงสัยแล้ว
เพราะผีมีอายุยืนเขารู้จักเราดีข้ามภพข้ามชาติเลย แต่ทําไมเรื่องในอนาคตเขาก็รู้ด้วยล่ะ... ข้าพเจ้าขออธิบายดังนี้
เมื่อผีดังกล่าวมีอายุยืน ก็จะเห็นการทํากรรมของพวกเราในอดีตชาติว่า
ตอนอายุเท่าใด ทําบุญทําบาปไว้แค่ไหน อย่างไร เวลากรรมที่ทําไว้ ให้ผลในชาติต่อไป
เขาก็เห็นเรื่องของกรรมนั้นให้ผลไม่ใช่ครั้งเดียวหมด กรรมบางอย่างให้ผลเป็นร้อยๆ
ชาติ อย่างเช่นเรื่องในอดีตชาติของพระอรหันตเถรีรูปหนึ่ง
ท่านฆ่าแพะทําอาหารเลี้ยงเพื่อนของสามี ตายแล้วต้องมาเกิดเป็นแพะถูกฆ่าตายทุกชาติๆ
เท่าจํานวนขนแพะตัวนั้นทีเดียว
เมื่อต้องรับผลกรรมในแต่ละชาติที่เกิดซ้ำๆ
อยู่ดังนี้ ผีก็ทํานายได้แม่น ชาติที่แล้วอายุเท่านี้เจ็บป่วยหนัก
ชาติใหม่ก็ทํานองเดียวกัน เคยมีลาภใหญ่อายุเท่าไหร่ อีกชาติก็มักเหมือนกัน
ทีนี้ถ้าหากมีกรรมอื่นตัดรอนไว้หรือสนับสนุนกรรมเก่า ผีก็พอเดาออกเหมือนที่เราทํานายกันเองในชาติปัจจุบันนี่แหละ
เช่นเห็นคนคนหนึ่งทุบหัวปลาขายทุกๆ วัน เราก็เดาได้ว่าอีกไม่นานคนนี้คงเป็นโรคปวดหัว
ฟังคําอธิบายเรื่องวิชาสถิติของผีดังนี้แล้ว
อาจถามถึงเรื่องอื่น เช่น นอกจากผีที่เป็นเปรต เป็นอสุรกายแล้ว
ที่เป็นเทวดามีบ้างหรือไม่
มีอยู่บ้าง ประเภทภุมมเทวดา
หรือเทวดาชั้นต้นน่ะ เช่นเทวดาที่เป็นพระภูมิเจ้าที่ แต่เทวดาประเภทนี้จะยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ในกรณีที่มีธุระด้วยเท่านั้น
ไม่คิดตั้งกันเป็นสํานักเหมือนทํางานอาชีพอย่างผีรายอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าเห็นว่าผีที่อ้างว่าเป็นเจ้าต่างๆ
เหล่านั้น เป็นสัตว์ที่น่าสงสารอย่างยิ่ง การมีชีวิตยืนยาวอยู่ในภูมินั้นนานๆ
เป็นเรื่องหงอยเหงาที่น่าเห็นใจ ถ้ามีบริวารเป็นมนุษย์แวดล้อมยินดีรับใช้ให้ทําอะไรก็ทําให้
ผีก็มีความสุขไปตามประสาผี
ที่น่าเสียดายเสียใจก็คือมนุษย์ที่หลงใหลผีเหล่านี้แหละ
เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง แทนที่จะมีโอกาสทําบุญในพระพุทธศาสนาให้เต็มที่ มาถูกกีดกันให้อยู่แค่เรื่องผี
ได้บุญเล็กน้อย แต่ได้ความโง่หลงงมงายติดไปหลายภพชาติเต็มที ต้องไปพัวพันเป็นบริวารกันอีกนาน
ดีไม่ดีผูกพันกันมากเลยไปเกิดเป็นผีประเภทเดียวกันอยู่ด้วยกันอย่างนั้นแหละ
ไม่ว่าผีอะไรๆ โดยเฉพาะผีเจ้าเข้าทรง
อย่าว่าแต่จะหลอกมนุษย์เลย บางทีผีเองก็ไม่รู้ว่าตัวเป็นสัตว์ภูมิไหน
พอเห็นมีผู้คนมางมงายเลื่อมใส นับถือ ผีก็หลงตัวเอง
อุปโลกน์ว่าตนเองเป็นเทพเจ้าเป็นพระพรหม ชนิดนั้นชนิดนี้ ซึ่งนอกจากเราจะนําเอาคุณสมบัติของสัตว์ภูมิที่ถูกอ้างถึงมาพิสูจน์แล้ว
เช่น เทวดา จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนไม่มีศีล อาหารของเขาเป็นทิพย์
ไม่กินของที่เป็นซากศพสัตว์เหมือนมนุษย์ ไม่ดูการละเล่น หยาบโลนหรือไม่ประณีตที่มีอยู่ในโลกนี้
เพราะการละเล่นในโลกทิพย์วิเศษกว่ามาก หรืออย่างเช่นอ้างว่าเป็นพระพรหม
คุณสมบัติของพรหมชอบอยู่ในฌาน คือชอบทําสมาธิให้เกิดณานจิต และอยู่ในสมาบัติเสมอ
อารมณ์ในจิตที่ได้ฌานจะมีเวทนาเป็นอุเบกขาอยู่ตลอดเวลา คือมีจิตใจไม่ยินดียินร้ายในทุกเรื่อง ใครจะมีสุขมีทุกข์อะไรๆ พระพรหมจะเห็นว่าเป็นเรื่องกรรมของผู้นั้นๆ
เอง ท่านจะไม่ถอนจิตออกจากการเข้าฌานของท่านมาวุ่นวายกับเรื่องของมนุษย์คนนั้นคนนี้
ยิ่งชอบเรื่องฟ้อนรําเหมือนพระพรหมบางองค์ที่ผีบางตัวอ้าง ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ระดับใจของพระพรหมซึ่งมีฌานจิตนั้น เป็นจิตที่ข่มอารมณ์ทางกามราคะได้แล้ว กามราคะ
คือ ความกําหนัดยินดีใน รูป กลิ่น เสียง รส สัมผัส พระพรหมองค์ใดยังพอใจรูปสวยๆ
เสียงเพราะๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกาม พระพรหมอย่างนี้ถือว่าพระพรหมเก๊
ที่กล่าวนี้เรียกว่าพิสูจน์กันอย่างง่ายๆ
แต่วิธีพิสูจน์ที่แท้จริงปราศจากข้อสงสัยใดๆ คือ การสามารถมองเห็นตัวจริงของผีนั้นๆ โดยการปฏิบัติธรรม
ให้จิตมีอํานาจถึงระดับอภิญญา สามารถเกิดทิพยจักขุญาณมองเห็นตัวจริงแท้ของผี
ก็จะเห็นว่าเป็นผีจริงหรือเก๊
การปฏิบัติที่ได้ผลรวดเร็วและถูกต้อง
รู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงทำได้ด้วยการกำหนดจิตไว้ที่ศูนย์กลางกาย จนเห็นกายภายในเข้าไปจนถึงกายธรรม
แล้วใช้ดวงธรรมในกายธรรมนั้นเองเป็นประดุจแว่นส่องดู
ภาพสิ่งที่ต้องการรู้ต้องการเห็นก็จะทราบความจริงทุกประการอย่างไม่มีใครหลอกลวงได้อีกต่อไป
เคยมีตัวอย่างผู้ที่ปฏิบัติได้พระธรรมกายหลายคน
ทดลองไปในสถานที่มีการทรงเจ้าเข้าผี ทําให้ที่นั่นเกิดอาเพศ
ผีเข้าร่างทรงไม่ได้บ้าง ที่เข้าแล้วก็ต้องรีบพรวดพราด
ร่างทรงถึงหกคะเมนตกจากเก้าอี้ไปก็มี กายธรรมคือกายพระ ผีมันกลัวพระมันจึงหมดฤทธิ์เดชลงทุกครั้ง
ทุกคราวที่ต้องเผชิญหน้าพระ แค่นี้ก็รู้แล้วเป็นเทพเป็นพรหมที่ไหนกัน
ล้วนแต่หลอกลวงทั้งสิ้น เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีอย่าเสียชาติเกิดเลย อยู่กับพระดีกว่าไปยอมตัวเป็นทาสผี
อยู่กับพระคือทําตัวเองให้เป็นพระ
เมื่อทํากายภายนอกให้เป็นพระไม่ได้ เพราะมีข้อขัดข้องอื่นๆ ก็จงทํากายภายในให้เป็นพระกันเถิด
คือทําตัวเราเองให้เป็นพระธรรมกาย เริ่มตั้งแต่ให้เห็นพระธรรมกาย ให้ เข้าถึงพระธรรมกาย
และที่สุดให้เป็นพระธรรมกายจึงจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา
อย่ามัวพึ่งผีเลย
คนทรงเจ้า
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:35
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: