ความเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไป
คงจะมีแต่ข้าพเจ้าคนเดียวกระมังที่มองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอยู่ครามครัน เห็นการแต่งตัว การซื้อเครื่องใช้ไม้สอย ตลอดจนการเที่ยวเตร่ที่ครูสตรีผู้นี้นํามาคุยให้เพื่อนฝูงฟัง ล้วนแต่แสดง ความมือใหญ่ใจเติบ ไม่รู้จักประมาณเรื่องการเงิน น่าจะรู้จักประหยัดใช้ผ่อนส่งบ้านอยู่อาศัยสักแห่งหนึ่ง ไม่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านบิดามารดาของสามีดังที่เป็นอยู่ ก็ได้แต่มองด้วยความกังวลใจ ยังไม่มีหนทางใดตักเตือน หวั่นเกรงว่าความฟุ่มเฟือยจะทําให้สามีของครูผู้นี้ต้องทุจริตคอรัปชั่นสักวันหนึ่ง ส่วนทางภรรยาจะทําไม่ได้มากเพราะอาชีพครู ไม่มีเงินเป็นพิเศษอื่นๆ ให้ทุจริต จะมีอยู่เรื่องเดียวคือ ถ้าข้าพเจ้ามอบหมายกิจการอาหารกลางวันให้ตามความรู้ทางคหกรรมศาสตร์ของเธอก็อาจจะมีทางรั่วไหลได้มาก ข้าพเจ้าเห็นความประพฤติแล้วไม่กล้าเสี่ยงให้เธอรับผิดชอบ
แล้วเช้าวันหนึ่ง ครูสตรีผู้นั้นขับรถมาเอง ไม่มีสามีมาส่งเหมือนทุกวัน หน้าตาของเธอซีดเซียวเหมือนคนอดนอนมาทั้งคืน ไม่ยอมคุยกับเพื่อนฝูงเหมือนเช่นเคย หลบหน้าเข้าห้องพักของเธอไปตามลําพัง ตอนสายๆ ของวันนั้น มีครูอีกคนหนึ่งนําหนังสือพิมพ์รายวันมาให้ข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง พูดกับข้าพเจ้าว่า
“อาจารย์คะ สามีของอรพิน (ชื่อสมมุติใกล้เคียงชื่อจริง) เค้าทำไมถึงเซ่ออย่างนี้ นี่อาจารย์อ่านข่าวซิคะ” เธอยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นให้ข้าพเจ้า เนื้อข่าวนั้นมีว่า
มีรถสิบล้อขนไม้เถื่อนจากทางเมืองเหนือเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ตํารวจจราจรเรียกตรวจค้น นายพันทหารสามีของครูอรพินขับรถตามไปติดๆ กัน ไปแสดงตัวว่าเป็นไม้ของตนกับเพื่อน แต่คงจะพูดไม่สุภาพนิ่มนวล เห็นว่าตํารวจเป็นแค่นายสิบ ตนเป็นถึงนายพัน ลืมไปว่านายสิบนายพันต่างสีต่างสังกัดกัน นายสิบสีกากีไม่จําต้องเกรงกลัว นายพันสีเขียว ดีเสียอีก ฉีกหน้าดูเสียบ้างจะทําให้ความดีความชอบสายสีกากีของตนเด่นเข้า นายสิบจึงไม่ยอมผ่อนผัน จับรถไม้ไปโรงพักทันทีและจะต้องจับนายพันสีเขียวด้วย เรียกอย่างสุภาพว่าเชิญไปโรงพักด้วยกัน นี่เป็นความผิดที่ดิ้นไม่หลุดแน่นอน
“เห็นมั้ยคะอาจารย์ นายพันคนนี้โง่จังนะคะ ไปแสดงตัวทําไมไม่รู้ คนขับรถเค้าก็บอกอยู่แล้วว่าไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ มีคนจ้างให้ขับมาส่งพร้อมทั้งรับรองเรื่องตํารวจให้ด้วย เพราะเป็นไม้ของผู้ใหญ่ เค้าก็ขับมาให้เอาค่าจ้างเท่านั้น แสดงตัวอย่างนี้ตํารวจเลยไม่ต้องสืบหาเจ้าของ จับได้สบายเลย”
“เค้าเบ่งผิดที่ไปหน่อยน่ะ ข้าพเจ้าให้ความเห็น นึกว่าเบ่งแล้วคงได้ผล แต่นี่มันคนละสีกัน นี่เค้าทํายังไงกันนี่ ตอนนี้รัฐบาลเค้าถือเป็นความผิดร้ายแรงมาก เพราะกําลังปราบปรามพวกตัดไม้ทําลายป่า อย่างเอาเป็นเอาตายกันอยู่ ยังงี้ไม่รอดแล้ว”
คุยกับลูกน้องพร้อมกับนึกเห็นใจครูอรพินเป็นกําลัง เธอเป็นคนหน้าใหญ่ใจโต วางตัวโก้เก๋ เกิดเรื่องอย่างนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน ข้าพเจ้าเริ่มเป็นทุกข์แทน ไม่สบายใจ นึกถึงว่าถ้าเขาเสียขวัญไม่สบายใจ การงานในหน้าที่จะพลอยบกพร่องจึงเรียกครูอรพินมาพบกล่าวกับเธอว่า
“พี่รู้ข่าวแล้ว มีทางวิ่งเต้นรึเปล่าเนี่ย จะทํายังไงกัน คุณปู่ของเด็กๆ มีหนทางช่วยลูกมั้ย” ข้าพเจ้าถามถึงบิดาของสามีเธอซึ่งเพิ่งปลดเกษียณอายุ มียศเป็นนายพลโท
“ไม่มีค่ะอาจารย์ พ่อเค้ารักเกียรติยศมาก ถ้ารู้ว่าลูกชายทําผิด เสื่อมเสียชื่อเสียงต่อวงศ์ตระกูลยังงี้ ตายแน่ นี่เราบอกว่าเป็นไม้ของเพื่อนไปเสีย”
เธอตอบเพียงแค่นี้ ข้าพเจ้าก็เดาออกว่าแท้ที่จริงก็เป็นไม้ของตนเอง ข้าพเจ้าได้แต่ปลอบโยนว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องสู้หน้า ให้กําลังใจสามีให้ดี
อีกหลายวันต่อมาข้าพเจ้าเห็นอรพินขับรถเปลี่ยนยี่ห้อ เป็นรถมือสอง ราคาต่ำกว่าเก่ามาก
“หนูเอาคันใหม่ไปแลกเปลี่ยนน่ะค่ะ เพราะคันนั้นมันผ่อนส่ง เงินเดือนหนูคนเดียวส่งไม่ไหวหรอกค่ะ ตอนนี้สามีหนูหนีไปอเมริกาแล้ว จะไม่มีรถใช้เลยก็สงสารลูกจะอายเพื่อนเวลาไปส่งที่โรงเรียน” คนเราถ้าห่วงหน้าตา บ้าแข่งสมบัติกันก็ต้องเดือดร้อนอย่างนี้
อรพินแสดงท่าทางได้เก่งมากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังยิ้มระรื่น ทําการงานไปตามเดิม ที่ผิดสังเกตมากนัก คือหลังจากสามีจากไปประมาณ ๔-๕ เดือนแล้วนี้ ดูเธอมีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจริงๆ เคยอวดโก้หน้าใหญ่ใจโตอย่างไรก็ทําเหมือนเดิม เวลาข้าพเจ้าถามด้วยความเป็นห่วง ก็ตอบว่า
“สามีของหนู เขาไปทํางานที่ปั๊มน้ำมันที่โน่นค่ะ รายได้ดีมีเงินเหลือ เขาส่งมาให้ค่ะ”
แต่พฤติการณ์ต่อๆ มา ทําให้ข้าพเจ้าผิดสังเกต เครื่องโทรศัพท์อยู่ในห้องทํางานของข้าพเจ้า วันหนึ่งๆ ที่โทรศัพท์ถึงอรพินไม่ต่ำกว่า ๓-๔ ราย การพูดจาไม่ฉาดฉานชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีเสียงตอบจากอรพินว่า
“ค่ะ ค่ะ” เสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะโต้ตอบอะไรบ้างก็ใช้เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
วันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ครูที่รับสายแจ้งว่ามีคนขอพูดกับข้าพเจ้า
“ท่านเป็นผู้อํานวยการโรงเรียนหรือครับ” เสียงทางโน้นถามมา
“ใช่ค่ะ คุณมีธุระอะไรรึคะ”
“มีครับ ผมจะฟ้องท่านเรื่องลูกน้องของท่านที่ชื่ออรพินน่ะครับ”
“ทําไมหรือ อรพินเค้าทําอะไรให้คุณ”
ถามไปอย่างใจเย็น เพราะถึงอย่างไรก็ยังเป็นเสียงผู้ชาย ครูอรพินคงไม่ได้ไปแย่งสามีใคร เพราะดูลักษณะแล้ว เธอไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนแรงอะไร
“เค้าตกลงเป็นของผมแล้ว ผมรักเค้ามาก เราเป็นของกันและกันมาหลายเดือนแล้วครับ เค้าบอกว่าเค้ามีผมคนเดียว แต่เมื่อวานนี้ ผมเห็นเค้าไปกับคนอื่นนี่ครับ แต่ยังไงผมก็รักเค้ามาก ผมจะยอมให้อภัย ขอแต่ให้เค้าเป็นของผมคนเดียว หลายเดือนที่ผ่านมานี่ผมทุ่มเทให้เค้าแทบหมดตัว ท่านผู้อํานวยการช่วยพูดกับเค้าให้ผมด้วย อย่าให้ไปยุ่งกับคนอื่นอีก ฯลฯ”
ข้าพเจ้าฟังต่อไป คนพูดพูดพล่ามเหมือนคนเสียสติ รําพึงรําพัน ถึงความรักที่เขามีต่ออรพิน ฝ่ายหญิงเอาอกเอาใจเขาอย่างวิเศษเพียงไหน เขาจะขอหย่าขาดจากภรรยาเก่ามาจดทะเบียนสมรสกับอรพิน...
ข้าพเจ้าฟังไปขยะแขยงไป คนในโลกนี้มันจะบ้าเรื่องตัณหาราคะกันไปถึงไหน ถามอายุดูก็อ่อนกว่าข้าพเจ้าเพียง ๒-๓ ปี จึงบอกให้เขามาพบข้าพเจ้า จะได้ทราบความจริง การฟังแต่คําพูดของนางสาวอรพินนั้นอาจจะไม่ใช่ นางสาวอย่างที่เขาฟังจากฝ่ายหญิง แต่เป็นนางมีลูกติดถึง ๒ คน
หลังจากนั้นอีกเพียงวันเดียว ชายผู้นั้นมาพบข้าพเจ้าจริงๆ เป็นคนไม่หล่อเลย ศีรษะทั้งล้านทั้งเถิก อรพินเป็นคนสวย สามีเดิมก็เป็นคนหล่อ ข้าพเจ้ามองความคิดของครูอรพินออก นี่ต้องแค่หลอกลวงเอาเงินจากผู้ชายเท่านั้น แต่ฝ่ายชายเกิดติดอกติดใจ เพราะเข้าลักษณะวัวแก่กินหญ้าอ่อน หลังจากปลอบโยนให้สติกันพักใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ เล่าความจริงในชีวิตของอรพินให้ชายผู้นั้นฟัง รู้สึกเขาสลดใจมากที่นอกใจภรรยาของตนแล้ว ยังมาเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น
“มิน่า เวลาไปไหนกับผม ไม่ยอมอยู่ค้างคืนสักครั้ง ต้องให้ไปส่งที่บ้านตอนดึก ไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน เพราะไม่ต้องการให้พ่อแม่รู้ แล้วก็ไม่ยอมให้ผมส่งที่หน้าประตูด้วยนะครับ ส่งที่หน้าบ้านใครก็ไม่รู้ พอวันหลังผมไปกดกริ่งถามคนใช้ที่บ้านนั้น เขาบอกว่าในบ้านเขาไม่มีคนชื่อนี้”
เมื่อข้าพเจ้าชี้ถูกชี้ผิดให้เขาถอนความรักออกจากใจ ก็ไม่ยากเย็นอะไร เพราะเมื่อจับได้ว่าเป็นรักที่ถูกหลอก รักก็เปลี่ยนเป็นแค้น
“คนเลวๆ ผู้หญิงชั่วๆ ผัวไปตกทุกข์ได้ยาก ตัวมาระเริงสุขอย่างนี้ อาจารย์เอาไว้เป็นครูได้อย่างไร ทําไมไม่ไล่ออกจากราชการไปซะล่ะครับ” จี้ให้ข้าพเจ้าทําหน้าที่ให้ถูกต้อง
“โธ่คุณ ดิชั้นน่ะอยากเอาครูคนนี้ออกจากงานเต็มที่เลย ใครอยากจะมีนางทางโทรศัพท์ไว้ในโรงเรียนอย่างนี้ มันเสียชื่อเต็มที แต่สามีเค้าหนีไปต่างประเทศ ทางผู้หญิงต้องเลี้ยงลูกเองทั้งสองคน ปู่กับย่าเด็กก็ไม่ปรานี เรือนเล็กที่อยู่กันแม่ลูกในบ้านเค้านั่น เค้าก็เก็บค่าเช่าถึงเดือนละ ๖๐๐ บาท (สมัยข้าวแกงจานละ ๑ บาท) เงินเดือนของอรพินยังไม่เต็ม ๓ พันบาทเลย ค่าน้ำมันรถ ค่าเลี้ยงลูก ค่าอาหารการกินและรวมทั้งค่าจมไม่ลงด้วย มันก็น่าสมเพชน่ะคุณ แต่อย่างไรดิฉันต้องเอาเรื่องแกแน่นอน ขอเอาโทษเป็นการภายในในโรงเรียนเถอะนะ ถ้าเสนอถึงกรมถึงกระทรวงต้องถูกออกจากงานแน่ สงสารอนาคตของเด็ก ๒ คนนั่น” ข้าพเจ้าพูดให้เขาเห็นใจ เขาไม่รับปากในขณะที่ลากลับไป
ความแค้นของผู้ชายรายนี้ ร้ายกว่าผู้หญิงหึงสามีของรายครูสารภีเพราะไม่ยอมเลิกรา กลับไปเขียนหนังสือฟ้องร้องผู้บังคับบัญชาในกรม ซึ่งเป็นเจ้านายของข้าพเจ้า
บังเอิญข้าพเจ้าเฉลียวใจไว้ล่วงหน้าว่าชายหัวล้านคนนั้นจะต้องเอาเรื่องฟ้องร้องต่อผู้บังคับบัญชาข้าพเจ้า จึงออกคําสั่งในระดับอํานาจของข้าพเจ้า ตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ผู้กระทําผิดรับเป็นสัตย์ จึงทำบันทึกลงโทษภาคทัณฑ์เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ข้าพเจ้าจึงรอดตัวจากความบกพร่องในหน้าที่ ดูเอาเถิดการเป็นหัวหน้าคน ต้องดูแลเขาจนกระทั่งเรื่องส่วนตัว หลังเลิกงานแล้วใครจะไปทําดีทําเลวที่ไหนต้องรับผิดชอบเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แม้จะตักเตือนด้วยถ้อยคําทั้งขู่ทั้งปลอบแค่ไหนครูอรพินก็ไม่เลิกอาชีพนางทางโทรศัพท์ของเธอ เพราะข้าพเจ้าเคยให้ครูสตรีบางท่านรับโทรศัพท์สวมรอย ฝ่ายชายเข้าใจว่าเป็นเสียงฝ่ายหญิง ก็รําพันพูดจนหมดเปลือก ทําให้เราจับความผิดได้ชัดแจ้ง ท้ายที่สุดข้าพเจ้าขอให้เลิกใช้โทรศัพท์ของโรงเรียน เพราะจะกลายเป็นคนรู้จักเบอร์โทรเบอร์นี้ว่าเป็นซ่องนางทางโทรศัพท์ไปเสีย
ถ้าข้าพเจ้าจําไม่ผิด ดูเหมือนข้าพเจ้าจะไปขอร้องผู้บังคับบัญชาในกรมอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกันให้ช่วยตักเตือนแทน จะได้ดูสมจริงสมจังน่าเกรงขาม ลําพังข้าพเจ้าเตือนเอง เธอรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ใจร้ายพอที่จะไล่เธอออกจากงาน
คราวนี้ได้ผล อรพินยอมเลิกจากอาชีพพิเศษดังกล่าว แต่ความที่ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยไม่ยอมแก้ไข ได้กู้หนี้ยืมสินผู้คนนอกโรงเรียนหลายราย โดยวิธีเขียนเช็คค้ำประกันรายละหลายๆ หมื่นบาท เจ้าหนี้ไปทวงหนี้ถึงบิดามารดาของสามี คนแก่ทั้งสองรักชื่อเสียงวงศ์สกุลมากกว่ารักลูก ไม่ยินยอมช่วยใช้หนี้ ได้มาพบข้าพเจ้าถึงที่ทํางาน ตําหนิติเตียนลูกสะใภ้ต่างๆ ยังดีที่รู้แต่เพียงเรื่องหนี้สินเรื่องเดียว ไม่รู้เรื่องชู้สาว ถ้ารู้คงจะเป็นลมล้มพับตกเก้าอี้เป็นแน่ ข้าพเจ้าก็ปลอบไปตามที่เห็นสมควร
ต่อจากนั้นไม่นานอรพินก็หายตัวไปไม่มาทํางาน หายไปวันแล้ววันเล่าจนจะครบ ๑๕ วัน ถ้าไม่มีสาเหตุอันสมควร ทางราชการก็ให้ออกจากงานได้ เพราะมีระเบียบวางไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าให้ครูที่เป็นเพื่อนรักของอรพินไปสืบความดู จึงทราบเรื่องว่าเจ้าหนี้แจ้งความ อรพินถูกตํารวจจับตัวไปติดคุก
“อาจารย์คะ หนูสงสารเขาที่สุดเลย ติดคุกยังงี้ตั้งเกือบ ๓ เดือน อาจารย์ก็ต้องให้เค้าออกจากงาน ลูกเค้าก็ไม่มีคนเลี้ยง หนูก็เงินเดือนน้อย ครอบครัวของหนูก็มี ช่วยเค้าไม่ไหว” เพื่อนของอรพินรําพันน้ำตาคลอ
“เอาอย่างงี้นะ เรื่องนี้คุณต้องเก็บเป็นความลับ ปิดตายทีเดียว อย่าให้เพื่อนฝูงรู้ รู้แต่พี่กับคุณก็แล้วกัน คุณกับอรพินมีเพื่อนเป็นหมออยู่คนหนึ่งใช่ไหม พอขอใบรับรองแพทย์ได้มั้ย เพื่อนที่เป็นหมอเค้าคงไม่ว่าหรอก เราไม่ได้ให้เค้าโกหก ก็ให้เค้าตรวจว่ามีอาการสุขภาพจิตไม่ปกติซี ขอลาพักผ่อน ได้ใบรับรองแพทย์แล้ว คุณก็ให้อรพินเขียนใบลามาเป็นระยะตามอํานาจการอนุญาตของพี่ เค้าคงพ้นโทษออกมาทัน ไม่ต้องส่งใบลาถึงกรม ถ้าคุณรักเพื่อนจริงต้องเก็บความลับนี้ให้มิดชิด ครูในโรงเรียนของเราเป็นร้อยคน คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ที่เค้าเกลียดอรพินก็มีอยู่ เค้าอาจแอบฟ้องไปยังเจ้านายในกรม เกิดสอบสวนขึ้นมา พี่ก็ผิดไปด้วย ฐานสมรู้ร่วมคิด”
ข้าพเจ้าหาทางออกให้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทําได้ ครูผู้นั้นมองข้าพเจ้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“หนูไม่นึกว่าอาจารย์จะมีเมตตาขนาดนี้ รู้ว่าเป็นคนใจดี แต่ไม่ดีเกินไปนะคะ” กล่าวแย้งขึ้น
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ไม่ได้ทําผิดหน้าที่หรือผิดศีลธรรมอะไร ไม่ใช่มุสาวาท ก็คนติดคุกนั่น เคยเป็นข้าราชการชั้นเอก เคยเป็นคุณนายผู้พัน ไปติดคุกลาดยาวน่ะ สุขภาพจิตมันไม่เสียรึไง พี่เซ็นชื่ออนุญาตใบลาป่วยนะ ไม่ใช่อนุญาตให้ไปติดคุก” ข้าพเจ้าอธิบายเพิ่ม พร้อมทั้งกําชับเพิ่มเติมว่า
“คุณก็พูดให้ใครฟังไม่ได้ว่า รายงานเรื่องเพื่อนติดคุกให้พี่ฟังแล้ว ต้องทำเหมือนเราทั้งคู่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอรพินเค้าเลยแหละ อ้อ เดี๋ยวก่อนกลับไปนี้ช่วยเขียนที่อยู่ของอรพินให้พี่หน่อย”
ข้าพเจ้าอยากได้ที่อยู่ของอรพิน เพราะคิดว่าจะต้องเขียนจดหมายไม่ลงชื่อ ส่งไปให้กําลังใจให้มีแรงคิดสู้ชีวิต ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าโดยเนื้อแท้อรพินไม่ใช่คนเลว แต่ความจมไม่ลงบังคับเธอ ทําให้ต้องเสี่ยง ทํากรรมกาเมสุมิจฉาจารเพื่อนําเงินมาเลี้ยงลูกให้เด็กไม่มีปมด้อย เท่าที่พ่อของเด็กหนีคดีไปต่างประเทศ เธอก็บอกลูกว่าพ่อได้ทุนไปศึกษาต่อ ดังนั้นเธอจะต้องไม่ให้ลูกน้อยหน้าใคร ลูกอยากมีสิ่งใดให้เทียมหน้าเพื่อนหรือเกินหน้าเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นของแพงแค่ไหน เธอต้องหาให้ลูกจนได้ ไม่คํานึงถึงเกียรติยศชื่อเสียงของตน
นี่ขนาดต้องเข้าคุก จะอดทนต่อความอัปยศทั้งหลายได้หรือไม่ ถ้าคิดสั้นเกิดหาทางออกไม่ได้ฆ่าตัวตายในคุก ลูกสองคนใครจะเลี้ยง สามีก็ไปเป็นโรบินฮู้ด ลักลอบเข้าเมืองอยู่ต่างประเทศ กลับเมืองไทยยังไม่ได้ มีคดีติดตัว ปู่ย่าของเด็กโกรธลูกชายลูกสะใภ้มาก พาลเกลียดมาถึงหลาน และทั้งคู่ก็ชรามากแล้วเจ็บป่วยออดแอด ถ้าต้องให้เลี้ยงเด็กอีก คงจะไม่มีใครมีความสุข ไม่ว่าปู่ย่าหรือหลาน คนแก่นึกเคืองขึ้นก็จะด่าพ่อแม่ของเด็กให้เด็กฟัง ข้าพเจ้าเขียนจดหมายด้วยความเห็นใจ ให้อรพินนึกถึงคนที่มีความทุกข์ยากมากกว่าตนให้อดทนเข้าไว้ การติดคุกเหมือนการใช้หนี้เช็คไม่มีเงินเหล่านั้นไปในตัว ทําใจให้เข้มแข็ง ให้ธรรมะเป็นข้อเตือนใจมากมายหลายประการ เป็นจดหมายยาวถึง ๒ หน้ากระดาษ ไม่ใช้ลายมือของตัวเอง แต่ใช้พิมพ์ดีดแทน เมื่อไม่มีชื่อผู้เขียนดังนี้ ใครจะคิดเอาจดหมายไปเป็นพยานหลักฐานว่าข้าพเจ้ารู้เห็นเรื่องนี้แล้ว ไม่เอาอรพินออกจากงานก็ไม่ได้
ข้าพเจ้าทําดังกล่าวเพราะรู้สันดานความขี้โอ่ของอรพินดี ถ้าเพียงแต่ลงชื่อเท่านั้นอรพินจะต้องเก็บไว้อวดเพื่อนฝูงว่าข้าพเจ้าเป็นห่วง เขาว่า นี่ไง อาจารย์ยังเขียนจดหมายไปปลอบเราเลย... คนที่หมั่นไส้อยู่แล้ว โดยเฉพาะคนพาลๆ มีอยู่ไม่น้อย ก็จะถือเอาเป็นเรื่องฟ้องร้อง ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป
แต่ขนาดไม่ลงชื่อ อรพินก็ยังบอกเพื่อนรักของเธอว่า
“ต้องเป็นจดหมายท่านผู้อํานวยการแน่ๆ เลย เธอลองอ่านดูซี คนที่จะใจดีมีเมตตาให้กําลังใจเราสู้ชีวิตอย่างนี้มีแต่ท่านเท่านั้น คนอื่นมีแต่เค้าคอยซ้ำเติมสมน้ำหน้า เหยียบย่ำให้เงยไม่ขึ้น”
เมื่ออรพินพ้นโทษมาแล้ว เธอมากราบขอบคุณข้าพเจ้า พูดสรรเสริญเยินยอไปตามความรู้สึกของเธอ ข้าพเจ้ากล่าวขอโทษว่า
“พี่ต้องขอโทษหนูมากที่สุดที่ไม่เคยไปเยี่ยมเลย เพราะต้องทําเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรของหนู อนุมัติแต่เรื่องการลาป่วยเท่านั้น ถ้าไปเยี่ยมก็ต้องรับทราบเรื่อง ต้องทําตามหน้าที่คือให้หนูออกจากงาน หนูคงเข้าใจพี่นะ” เธอรับคําว่าเข้าใจดีเป็นที่สุด และความจริงเธอก็ไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าเห็นสภาพตกต่ำของเธอ
“ลําบากมากมั้ย” ข้าพเจ้าถาม
“หนูได้กําลังใจจากจดหมายอาจารย์น่ะค่ะ ให้ทําชีวิตให้มีค่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ตรงไหนในโลกนี้ คนที่ทุกข์ยากกว่าเรายังมีอีกมาก จริงค่ะอาจารย์ ผู้หญิงที่ติดคุกมีทุกข์กว่าหนูมากมายเขาไม่มีรายได้อะไร ไม่มีกำลังใจ หนูจําคําสอนของอาจารย์สอนเค้า แล้วหนูก็สอนพวกเค้าทำการฝีมือ ทําอาหาร สอนตัดเสื้อผ้า สอนจนหมดความรู้ของหนูเลยค่ะ พวกผู้คุมก็ดีใจด้วย ชีวิตของพวกเรามีความหมายขึ้น เวลาหมดไปวันหนึ่งๆ ไม่รู้ตัวเลยค่ะ ตอนหนูพ้นโทษ พวกนั้นร้องไห้กันใหญ่” เธอบรรยาย
“พี่ดีใจด้วยที่ได้ฟังอย่างนี้ เท่ากับพี่ได้บุญสองต่อ ต่อหนึ่งให้ธรรมะเป็นทานแก่หนู ต่อที่สองหนูสามารถนําไปถ่ายทอดให้เพื่อนหญิงในคุกด้วยกัน เออ... แล้วเค้าเรียกหนูว่ายังไง” ข้าพเจ้าถาม
“พวกเค้าเรียกหนูว่าอาจารย์ค่ะ” เธอตอบอย่างยิ้มแย้ม พลอยให้ข้าพเจ้าต้องหัวเราะ
“เป็นครูยันในคุกไปเลย ดีเหมือนกัน”
ต่อจากนั้นอรพินสงบเสงี่ยมเจียมตัวน่ารักมาก ช่วยงานพิเศษของโรงเรียนจนเต็มความสามารถ นี่ถ้าไม่มีเรื่องความประพฤติเสื่อมเสียอยู่หลายเรื่องแล้ว คณะกรรมการฝ่ายพิจารณาความดีความชอบ ต้องพิจารณาให้ขึ้นเงินเดือนเป็นพิเศษสองขั้นประจําปีแน่ๆ อย่างไรก็ตาม อรพินก็กลับกลายเป็นคนดีและทําดีเรื่อยมา
ข้าพเจ้าออกจากงานราชการก่อน ก่อนจากกันอรพินได้บอกข้าพเจ้าว่า
“หนูจะลาออกจากราชการค่ะ เอาเงินบําเหน็จเป็นค่าเรือบินไปอยู่อเมริกากับสามี เพราะเค้าบอกมาว่าหางานให้หนูทําได้แล้ว พอเรียบร้อยแล้วหนูจะให้ลูกไปอยู่ด้วยกันที่โน่น” เวลานั้นการเข้าเป็นพลเมืองของอเมริกาไม่เข้มงวดมากเหมือนปัจจุบัน
ท่านผู้อ่านอย่าเข้าใจว่า ครูอะไรประพฤติตัวเลวทราม ท่านต้องไม่ลืมว่าข้าพเจ้าบอกไว้แต่แรกแล้วโรงเรียนที่ข้าพเจ้าไปดูแลอยู่นี้รับเดนครู คือครูที่มีปัญหามาจากโรงเรียนต่างๆ ยังมีความเลวเรื่องต่างๆ อีกมากมาย แต่เล่มนี้เล่าเฉพาะกาเมสุมิจฉาจารเท่านั้น
รายครูอรพินนี้ กรรมกาเมสุมิจฉาจารให้ผลคือความอัปยศ ยิ่งรักเกียรติยศเท่าใด ก็ยิ่งต้องอับอายมากขึ้นมากเท่านั้นให้ผลในปัจจุบัน
ส่วนเรื่องการประพฤตินอกใจเป็นโสเภณีของฝ่ายภรรยานั้น แม้สามีจะไม่ทราบเรื่อง แต่ตัวของครูอรพินนั่นแหละ จะจดจํากรรมของตนไปตลอดชีวิต ลบไม่ได้ลืมก็ไม่ได้ จะวิปฏิสารเดือดร้อนใจไปจนตาย ยิ่งสามีดีต่อตนเองเพียงใด ก็จะรู้สึกว่าตัวไม่มีความดีงามคู่ควรต่อความรักนั้นอยู่เสมอ คนส่วนใหญ่คิดกันว่า ทําสิ่งใดจะดีหรือชั่วก็ตามถ้าไม่มีคนรู้เห็น สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมาย เช่นอย่างความชั่ว ทําแล้วใครจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ถือเป็นกําไรได้เปรียบผู้อื่น นั่นเป็นการคิดผิด สิ่งที่ผู้อื่นเห็นหรือรู้นั้น คนอื่นเขาไม่มีใครจดจําไว้นาน เพราะไม่ใช่เรื่องของเขา จําไว้คุยนินทาทับถมกันในระยะแรกๆ เท่านั้นแล้วก็ลืมเลือนกันไป ที่สําคัญคือเจ้าตัวผู้กระทํานั้นต่างหาก จําได้ไม่มีวันลืม จํากันไปตลอดชีวิตทีเดียว
ดูตัวอย่างเรื่องจากความทรงจําที่ข้าพเจ้าเขียนให้ท่านอ่านนี้เถิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องชั่ว ทําไว้เนิ่นนานมาแล้วแค่ไหน ท่านเห็นหรือไม่ ข้าพเจ้าจําไว้ได้หมดทุกอย่าง เวลากําลังเขียนเล่าให้ท่านฟังอยู่นี้ จําได้ชัดเจนราวกับเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันนี้ทีเดียว
เมื่อไม่สามารถสั่งใจให้ลืมอะไรได้ง่ายๆ คนฉลาดจึงควรสั่งสมแต่กรรมดี เพราะยามใดที่นึกถึง จิตใจก็จะเบิกบาน ถ้าโง่เขลาทําแต่เรื่องเลวๆ ชั่วๆ นึกถึงครั้งใด ใจก็จะมีแต่เศร้าหมอง หากบังเอิญขาดใจตายตอนนั้น ชาติต่อไปย่อมมีทุคติภูมิเป็นที่ไป
เราจงมาเป็นคนฉลาดกันเถิด อย่าเป็นคนโง่เลย
สั่งสมแต่กรรมดีให้มีเพิ่มขึ้นทุกวันไป
นึกถึงครั้งใดใจก็มีแต่เบิกบาน
นึกถึงครั้งใดใจก็มีแต่เบิกบาน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๒ บทที่ ๑๔
ความเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไป
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:06
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: