รักที่ไม่สมหวัง
ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างเรื่องชู้สาว อันเป็นการผิดศีลข้อสาม กาเมสุมิจฉาจาร เรื่องแรกคือ
วันนั้นโรงเรียนเปิดมาได้ราว ๓ เดือน เป็นเวลาสายแล้วประมาณเกือบสิบโมงเช้า ข้าพเจ้ากําลังเดินตรวจโรงเรียนเพื่อดูการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกฝ่าย เมื่อเดินไปถึงประตูด้านหน้าโรงเรียน เห็นสตรีผู้หนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผิวเนื้อไม่ขาวนัก สีหน้าหมองคล้ำ ถึงจะมีใบหน้าคมขำ แต่แววตาแข็งกร้าวเหี้ยมเกรียม แม้ข้าพเจ้าจะยิ้มด้วยอย่างเต็มใจแค่ไหน เขาก็มีอาการยิ้มอย่างฝืนๆ ไม่เต็มใจเลย เหมือนลักษณะแสยะยิ้ม
“คุณมาหาใครคะ ขอเชิญไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน เดี๋ยวจะให้คนงานไปตามตัวให้” ข้าพเจ้าทักทายพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญไปทางห้องรับแขก อีกฝ่ายตอบเสียงห้วนๆ
“ขอพบครูสารภี”
พออีกฝ่ายบอกชื่อผู้ที่เขาต้องการพบออกมา ข้าพเจ้ารู้สึกสะดุ้งในใจ ยิ่งเห็นอาการแข็งกร้าวผิดปกติก็ยิ่งเอะใจ หญิงสาวคนนี้มีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้าเกือบสิบปี ท่าทางมีการศึกษาดี บุคลิกเป็นผู้มีฐานะ มีกิริยากระด้างต่อผู้ใหญ่จนผิดสังเกต แสดงว่าต้องมีเรื่องสําคัญคอขาดบาดตาย จนลืมตัวขาดสติแน่นอน
ยิ่งชื่อครู “สารภี” ของข้าพเจ้า ยิ่งทําให้ข้าพเจ้าสงสัยถูกจุดสำคัญของเรื่อง เพราะครูผู้นี้กําลังสร้างเรื่องชู้สาวยุ่งอยู่ในโรงเรียนและข้างโรงเรียน นี่คงไปทําปัญหานอกโรงเรียนอีกแน่ๆ ข้าพเจ้าสํารวจหน้าตาท่าทางสตรีนั้นอีกครั้ง แล้วเชิญให้นั่งที่เก้าอี้รับแขก พร้อมทั้งตัดสินใจยังไม่ใช้คนงานไปเรียกตัวครูผู้นั้น
“หนู ทําใจดีๆ ไว้ ครูคนนี้คงไปทําให้หนูเดือดร้อนอีกรายแล้วซีเนี้ย”
ข้าพเจ้าเปลี่ยนสรรพนามจาก “คุณ” เป็น “หนู” เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกคุ้นเคยอบอุ่นใจ การใช้คําว่า “อีกราย” เพื่อให้เขารู้ว่าข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่นี่รู้ปัญหาของครูคนนี้ดีแน่ๆ
พูดดักใจเพียงเท่านั้น อีกฝ่ายเปลี่ยนจากดวงตาที่แข็งกร้าวเป็นแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นเบ้า สะอื้นฮักขึ้นมาอย่างหมดความอดกลั้น พูดตะกุกตะกักเพราะแรงสะอื้น
“อาจารย์...หนูเจ็บใจมัน...หนูเจ็บใจมัน ฮือ...ฮือ...” ปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
ข้าพเจ้าลุกจากที่นั่งตรงข้ามไปนั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน บีบแขนคู่สนทนาเบาๆ เป็นการปลอบใจ พูดว่า
“เค้าเป็นแต่เพียงของเล่นชั่วคราวเท่านั้นเอง พ่อบ้านหนูเค้าไม่เอาจริงเอาจังอะไรกะคนพรรค์นี้หรอกนะ หวือหวาสนุกกันไปพักเดียวแหละ หนูเป็นเมียตามกฎหมาย ลูกก็มีด้วยกัน ผู้ชายเค้าไม่โง่เห็นคนอื่นดีกว่าหรอก” ข้าพเจ้าเดาปลอบไปตามเรื่อง แต่กลายเป็นเดาถูกหมด อีกฝ่ายเลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“อาจารย์รู้บ้างรึเปล่าว่ามันเลวขนาดไหน ทําไมไม่จัดการ ให้มันเป็นครูอยู่ได้ยังไง”
เสียงเริ่มกราดเกรี้ยวให้ข้าพเจ้าเป็นจําเลยอีกคน ข้าพเจ้าคิด น้ำเชี่ยวอย่างนี้เอาเรือไปขวางก็ต้องล่มแน่... ข่มใจตนเองไม่ให้มีอารมณ์โกรธร่วมไปด้วย เตือนสติตัวเองซ้ำๆ ว่า คนกําลังทุกข์ร้อนมา เหมือนสายป่านว่าวถูกลมแรง ต้องผ่อนสายตามลมก่อน ผู้หญิงคนนี้เจ็บช้ำน้ำใจจนครองสติจะไม่ไหวอยู่แล้ว ควรให้ความเมตตา เห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน คิดให้อภัยดังนี้แล้วก็ข่มความหงุดหงิดที่ถูกกล่าวหาลงได้ ตั้งใจปลอบโยนต่อไปใหม่
“จ้ะ พี่รู้หมดทุกอย่างเลยไม่ใช่รายหนูรายเดียวหรอก ที่ไม่จัดการเพราะไม่มีโจทย์เอาเรื่อง หนูมายังงี้ดีแล้ว นึกว่ามาช่วยพี่ทีเดียว อย่างนี้เท่ากับพี่มีหลักฐานพยานในการเสนอความผิดของเค้า”
ใช้คําแทนตัวเองว่า “พี่” ให้ดูสนิทสนมยิ่งขึ้น และยังอ้างประโยชน์ที่เขามาในครั้งนี้เสียด้วย ให้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สีหน้าของสตรีนั้นค่อยดีขึ้นจริงๆ ยิ่งได้ฟังคําปลอบใจและคําชี้แจงความผิดที่เป็นข่าวลือ แต่ยังไม่มีพยานประกอบอีก ๒-๓ เรื่อง เธอจึงดูสบายใจ น้ำตาแห้งไปได้
แล้วข้าพเจ้าก็ต้องนั่งเงียบงันไปทันที เมื่อเธอสงบใจได้แล้วเปิดกระเป๋าถือในมือให้ดู สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นคือปืนกระบอกหนึ่งดํามะเมื่อมอยู่ในนั้น เจ้าของกระเป๋าถือพูดว่า
“นี่ถ้าหนูไม่ได้พบอาจารย์ หนูเป็นฆาตกรในวันนี้แน่นอน หนูกะมายิงมันให้ตายคามือวันนี้ พบหน้าก็ไม่ต้องพูด กะยิงทันที หนูรู้เรื่องมันกะสามีหนูมานานหลายเดือนแล้ว แต่พวกมันสองคนใช้สถานที่อื่นกัน ส่วนใหญ่ไปตามโรงแรม หนูก็พยายามอดทนพูดกับสามีว่า จะไปทําอะไรกันที่ไหนก็ตามใจ อย่าพามาบ้านก็แล้วกัน ไม่ต้องการให้ลูกเห็น นี่หนูไม่อยู่ไปเยี่ยมคุณพ่อป่วยที่ต่างจังหวัด มันพากันมานอนในบ้านหนู ใช้ห้อง ใช้เตียง ใช้ของใช้ของหนูทุกอย่าง พอหนูรู้เรื่อง หนูต่อว่าสามี เค้ากลับอ้างว่า ผู้หญิงมันขอร้อง อย่างงี้มันจะเอาชนะหนูนี่ มันจะอวดว่าผู้ชายรักมันมากกว่าเมียจริงๆ ยอมตามใจมันถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นอาจารย์ อาจารย์ว่ามันน่าฆ่าทิ้งมั้ยคะ หนูนอนไม่หลับมาทั้งคืนเลย หลังจากกลับมาถึงบ้าน ลูกเล่าให้ฟัง ความจริงหนูจะฆ่ามันทิ้งทั้งสองคนน่ะแหละ แต่มานึกได้ว่าหนูจะต้องติดคุก ไม่มีใครเลี้ยงลูกเลยต้องฆ่านังนี่คนเดียว ให้ผู้ชายเลี้ยงลูก”
เธอระบายความเจ็บช้ำน้ำใจ ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นใจเธอจริงๆ แต่เมื่อชําเลืองดูปืนอีกครั้งก็ให้นึกหวาดเสียวอยู่ครามครัน รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแท้ๆ ที่ไม่ใช้คนงานไปตามคู่กรณีให้พบกันแต่แรก ดีที่นึกผิดสังเกตทัน ทําให้พูดปลอบโยนจนฝ่ายแขกใจเย็นลงก่อน
เมื่อถึงขั้นนี้ ข้าพเจ้าก็จําต้องใช้วาทศิลป์ไปอีกแบบหนึ่ง
“หนูไม่ต้องไปยิงให้เค้าตายหรอก เดี๋ยวนี้เค้าก็ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว นี่พี่จะเล่าประวัติความเป็นมาชีวิตเค้าให้หนูฟังนะ จะได้เห็นว่าครูคนนี้ ก็เหมือนตายทั้งเป็นยังไง”
แล้วข้าพเจ้าก็เล่าเน้นตรงจุดที่น่าเห็นใจครูสารภี เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นความทุกข์ยากของคู่แค้นจะได้คลายโทสะลง เนื้อความมีว่า
ในสมัยครูสารภีศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ได้พบกับนักศึกษาชายรูปหล่อในสถาบันเดียวกัน ฝ่ายหญิงหลงรักฝ่ายชายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ฝ่ายชายมีคนรักแล้วอยู่ต่างจังหวัด ครูสารภีจึงใช้มารยาสตรีล่อให้ฝ่ายชายได้เสียกับตน เกิดตั้งครรภ์ด้วย ผู้ใหญ่บังคับด้วยจึงแต่งงานกัน ต่างฝ่ายต่างรับราชการเป็นครูในกรุงเทพฯ มีลูกสองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คนโตราวๆ ๖ ขวบ คนเล็กอ่อนกว่าสัก ๒ ปี ความรักไม่ราบรื่นนัก เพราะฝ่ายชายไม่ได้รักฝ่ายหญิงมาก่อน จึงให้ฝ่ายหญิงทําหมันตั้งแต่คลอดลูกคนเล็ก
หลังจากนั้น ฝ่ายชายสอบชิงทุนไปศึกษาปริญญาโทในต่างประเทศได้ เมื่อไปอยู่ที่อเมริกาได้พบกับหญิงคนใหม่ เป็นอาจารย์ผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนเทศบาลในกรุงเทพฯ ซึ่งไปเรียนต่ออยู่ที่นั่น ฝ่ายหญิงคนนั้นก็หลงรักฝ่ายชาย ผู้หญิงมีอายุแก่กว่าและมีฐานะดีมาก จึงปรนเปรอฝ่ายชายด้วยวัตถุสิ่งของเงินทองต่างๆ อย่างสุขสบาย ท้ายที่สุดข่าวนี้ก็รู้มาถึงหูครูสารภีว่าทางโน้นได้เสียกันแล้ว
ถ้าเป็นคนอย่างเราๆ เมื่อเขายังไม่ได้ขอหย่าขาด เราก็ควรอดทน คอยเลี้ยงลูกไปให้ดีที่สุด เพราะเงินเดือนของสามีก็อยู่ที่เรา แต่อารมณ์แค้นที่แสดงอะไรออกมาไม่ได้ จึงเลยประชดชีวิตด้วยการมีชู้ไม่เลือกหน้า เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีทางมีลูกอีกแล้ว เกิดความประมาทย่ามใจ รายสุดท้ายถึงกับใช้ความพยายามชักชวนฝ่ายบริหารระดับผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ให้ทํากาเมสุมิจฉาจารกับตน ทั้งที่ผู้ช่วยฯ ก็มีครอบครัวแล้ว มีลูกหลายคน ยังเล็กๆ ทั้งนั้น ทําให้ครอบครัวของเขาเริ่มมีปัญหา ทางโรงเรียนเดิมจัดการเรื่องความประพฤติของครูผู้นี้ไม่สําเร็จ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนซึ่งเป็นสตรีได้โอกาสดี จึงรีบยกครูผู้นี้ให้โรงเรียนที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบทันที
ครั้นมาอยู่กับข้าพเจ้าไม่ถึงเดือน ข้าพเจ้าเดินตรวจโรงเรียนเห็นภาพผิดสังเกต ครูสตรีรายนี้นั่งคุยกับครูพลศึกษาซึ่งเป็นเด็กหนุ่ม อายุอ่อนกว่าหลายปี ชั่วแวบเดียวที่ข้าพเจ้ามองไปที่ใต้โต๊ะซึ่งทั้งสองคนนั่งหันหน้าคุยกัน ข้าพเจ้าเห็นครูสารภีเหยียดขาของเธอหยอกล้อเสียดสีกับขาของอีกฝ่าย ข้าพเจ้าชะงักกึก หยุดเดินอยู่แค่นั้น หันหลังกลับ ไม่ให้ทั้งสองคนรู้ตัว
นี่ทําอะไรกัน กลางวันแสกๆ “ร่านขนาดหนัก” ช่างไม่อายผีสางเทวดา... ข้าพเจ้านึกด่าในใจ วันนั้นยังไม่ได้เรียกใครมาพูดหรือตักเตือนอะไร ต้องการให้มีหลักฐานมากกว่านี้
วันรุ่งขึ้น บุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งจ่าหน้าซองถึงครูสารภี ที่ประหลาดใจคือลายมือที่จ่าหน้าซองนั้น เป็นลายมือของครูพลศึกษาจึงรู้สึกสงสัยเต็มที ท่านอาจสงสัยว่าข้าพเจ้าจําลายมือได้อย่างไร ครูมีจํานวนมากดังนั้น ข้าพเจ้าตรวจสมุดบันทึกการสอนประจําวันของครูทุกคนทุกสัปดาห์จึงพอจําได้ โดยเฉพาะลายมือครูพลศึกษาคนนี้เขียนเหมือนเด็กชั้นประถม จึงจําได้แม่น
...อะไรกัน นั่งคุยเอาขาสีกันอยู่เมื่อวานนี้เอง ทําไมต้องเขียนจดหมายถึงกันด้วย เจอกันทุกวันอยู่แล้ว สนิทชิดเชื้อขนาดนั้นก็พูดกันด้วยปากซี... ข้าพเจ้าครุ่นคิดสงสัย มันอะไรกันนักกันหนา.
ที่สุดจึงยอมเสียมารยาทเปิดออกอ่าน ข้าพเจ้าแทบเป็นลมเพราะข้อความในจดหมายรําพันถึงความสุขในการประกอบกาเมสุมิจฉาจารร่วมกับฝ่ายหญิง รู้สึกติดรสสัมผัสจนเก็บไว้ในใจไม่ได้ ต้องระบายออกมาทางจดหมาย ไม่กล้าพูดด้วยวาจา
ข้าพเจ้าเรียกฝ่ายชายมาคาดคั่นสอบถามจนให้การสารภาพว่า คืนหนึ่งฝ่ายหญิงขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนดูภาพยนตร์และขอให้ช่วยไปส่งที่บ้านพัก เมื่อไปถึงบ้านเป็นเวลาดึกมาก ลูกๆ ของครูสารภีหลับกันหมดแล้ว และนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง ฝ่ายหญิงใช้อุบายล่อหลอกฝ่ายชายเข้าไปในห้องนอน
“พอผมเห็นผิดสังเกต ผมก็จะหันหลังกลับ เค้ายืนขวางประตูห้องไว้ ถือมีดปลายแหลมอยู่ในมือด้วยครับ เค้าเตรียมล่วงหน้าไว้ทุกอย่าง”
“คุณรู้อยู่แล้วเค้ามีสามีอยู่ ไม่นึกตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือ” ข้าพเจ้าถาม
“นึกครับ นึกถึงคําที่อาจารย์สอนไว้ในที่ประชุมครูทุกครั้งด้วยครับ ที่อาจารย์สอนว่า ถ้าไม่ถือศีลห้าให้ครบจะไม่ได้เกิดเป็นคนอีก แต่พอเค้า.............”
“พอ พอเถอะ พี่ไม่อยากฟัง ไม่ต้องเล่า ไก่แก่แม่ปลาช่อนอย่างนั้น คุณไม่เคยก็เสียท่า อย่างไม่เป็นท่า ใครก็เดาออก แล้วมานั่งสารภาพกับพี่อยู่อย่างนี้อายมั่งมั้ย” ข้าพเจ้าสําทับ
อีกฝ่ายก้มหน้าตอบ “อายครับ อายอาจารย์ด้วย อายตัวเองด้วย ผมคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วครับ อาจารย์จะเอาผิดผมมั้ย อาจารย์ช่วยผมทีเถอะครับ ผมไม่อยากเป็นคนอย่างนี้เลย แต่พอเห็นหน้าเค้า ผมก็นึกถึงแต่ความสุขเรื่องนั้น พออยู่ตามลําพังก็เสียใจ” ครูหนุ่มสารภาพหมดเปลือก
อํานาจกามคุณ รสสัมผัสทางเพศ เป็นสุดยอดของเหยื่อมารสัตว์ทั้งปวงต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้นเพราะเป็นทาสเรื่องนี้ ข้าพเจ้าฟังเด็กหนุ่มแล้วรู้สึกสังเวชใจ
“พี่ช่วยคุณก็ได้ แต่เมื่อย้ายไปอยู่แห่งใหม่แล้ว จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องบาปกรรมนี้อีก” ข้าพเจ้าคาดคั้น เขารับปาก ข้าพเจ้าก็กล่าวกําชับ
“คุณต้องไม่ลืมว่าพี่กําความลับคุณอยู่ ถ้าไม่ทําตามสัญญา พี่จะเอาเรื่องคุณแน่ แล้วงานในสมัยนี้ไม่ใช่หาง่ายนักนะ” ข้าพเจ้าขู่
จากนั้นข้าพเจ้าขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาให้ช่วยย้ายครูพลศึกษาเป็นการด่วน เป็นการย้ายคนดีหนีคนชั่ว ขืนทิ้งไว้เรื้อรังคงจะเกิดเรื่องอื้อฉาว เพราะฝ่ายหญิงเริ่มแสดงอาการหึงหวงฝ่ายชายอย่างออกหน้าออกตาแล้ว
นอกจากรายครูพลศึกษานี้แล้ว เธอยังแอบสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟที่อยู่ใกล้โรงเรียน ทําทีเป็นไปขอโทรศัพท์เป็นพิเศษ แล้วก็นัดเที่ยวเตร่เสเพลกันต่อ ทําให้เดือดร้อนถึงครูสตรีสาวโสดคนอื่นๆ โดยทั่วกัน เพราะถูกคนงานในสถานที่แห่งนั้นเหมาดูถูกไปหมดทั้งโรงเรียน คิดว่ามีพฤติการณ์อย่างเดียวกัน
ข้าพเจ้าเล่าข้อความข้างบนให้คู่สนทนาฟังอย่างละเอียด และยืนยันว่าความจริงข้าพเจ้าต้องการเอาเรื่องครูสารภี อยากจะให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ติดขัดที่ครูพลศึกษาขอร้องไว้ว่า จะทําให้เขาเสียหายตามไปด้วย จึงกําลังรอเรื่องอื่นที่มีหลักฐานอยู่ และพูดเสริมให้เห็นว่า ครูสารภีกำลังเข้าตาจน
“ตอนนี้นะหนู สามีเค้าที่อยู่อเมริกาน่ะรู้เรื่องความประพฤติของภรรยาแล้ว เค้าไม่เขียนจดหมายติดต่อมาถึงอีกเลย เคยส่งเงินมาให้เพิ่มเติมเพราะเงินทุนเหลือ ก็ไม่ส่งมาให้ ตัวผู้หญิงก็รู้แล้วว่าสามีรู้เรื่อง เพราะมีเพื่อนส่งข่าวไปให้ทราบ ฝ่ายผู้หญิงคนใหม่ก็ดีใจอย่างเปิดเผย ประกาศว่ากลับมาฝ่ายชายจะหย่ากับภรรยาเพื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสถูกต้องกะเค้า ทางนี้เลยกลุ้มหนักทุกข์หนัก คงต้องการอยากได้ผู้ชายเป็นตัวเป็นตนซักคนนะ แต่ก็ไม่มีใครจริงด้วย เค้าก็แค่สนุกๆ เพราะอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงร้อนแรงถูกใจพวกผู้ชาย ใครจะเอาออกหน้าออกตา เค้าก็รู้จักอายกันทั้งนั้น นี่ลูกยังไม่รู้จะมีปัญหาแค่ไหน หน้าตาดีมากทั้งคู่เลย เห็นมั้ยน่าสมเพชออก เหมือนตายทั้งเป็นน่ะแหละ เพื่อนร่วมงานไม่มีใครยอมคบด้วยสักคน”
ข้าพเจ้าเล่าเน้นความทุกข์ของฝ่ายตรงข้าม ผู้ฟังคิดตามไม่ทัน จะรู้สึกเหมือนข้าพเจ้าซ้ำเติม แต่ความจริงเป็นอุบายทําให้คู่สนทนาใจอ่อนลง จนอาจกลายเป็นความเห็นใจขึ้นมา นอกจากนั้นยังทิ้งท้ายต่อไปอีกว่า
“หนูคงไม่รู้ ความที่แกสําส่อนมาก ตอนนี้เป็นกามโรคด้วย กําลังรีบรักษาอยู่ เพราะใกล้เวลาสามีจะกลับมาจากเมืองนอกแล้ว”
ฟังประโยคสุดท้าย ดูอีกฝ่ายหน้าตาชื่นบานขึ้นมาเหมือนสาแก่ใจ ข้าพเจ้าจึงกล่าวต่อให้ถูกใจว่า
“หนูอย่าลืมบอกเรื่องนี้กะสามีด้วย จะได้ระมัดระวัง หรือติดโรคไปแล้วก็ไม่รู้ ให้ไปตรวจชะ ไม่งั้นจะพาลมาติดเอาหนูด้วยนะ”
จากนั้นดูเธอสบายใจแทบเป็นปกติ ก่อนกลับเธอขอร้องต้องการพบตัวครูสารภีโดยกล่าวว่า
“อาจารย์คะ หนูไม่โกรธเค้าแล้วค่ะ หนูขอพูดกับเค้าดีๆ สักสองสามคําเท่านั้น หนูรับรองไม่ทําอะไรอย่างที่คิดแล้ว นะคะอาจารย์ ให้หนูพบกับเค้านะคะ”
ข้าพเจ้าชั่งใจคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หนูสัญญากะพี่นะ”
“ค่ะหนูให้อาจารย์ถือกระเป๋าของหนูไว้ได้เลย” ตอบพร้อมส่ง
ข้าพเจ้ารีบรับกระเป๋าใส่ปืนมาถือให้พ้นมือของเธอ เพราะยังไม่แน่ใจครูสารภี
เราพูดจนเค้าสงสารแล้ว เดี๋ยวพอพบกันจริงๆ แม่ตัวดีเกิดใช้คารมน่าหมั่นไส้ขึ้นมา โทสะของฝ่ายแขกที่ไม่ได้เชิญมาเกิดลุกโพลงขึ้น เราก็จะป้องกันเหตุร้ายไม่ทัน ไม่มีอาวุธในมือยังงี้ อย่างมากก็แค่ตบตีกัน พอห้ามทัน
คิดดังนี้แล้วข้าพเจ้าก็ขอตัว บอกว่าจะให้คนงานไปตามตัว แต่ความจริงข้าพเจ้าไปตามเอง สารภีหน้าตาซีดเซียวเมื่อรู้เรื่องคร่าวๆ คงกลัวข้าพเจ้าด้วย กลัวถูกยิงด้วย ถามข้าพเจ้าอย่างหมดฤทธิ์ว่า
“อาจารย์คะหนูควรทํายังไง ไม่พบไม่ได้หรือคะ หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัวหรอก พี่พูดจนเค้าหายโกรธแล้ว ขอแต่ให้คุณอย่าไปยั่วโมโหเค้าอีก ไปขอโทษขอโพยซะให้ดี ให้สัญญากับเค้าว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีเค้าอีกแน่นอน แล้วก็ทําตามสัญญาด้วย”
ข้าพเจ้าพูดรวบรัดเอาประโยชน์หมดทุกฝ่าย ถามซ้ำอีกครั้ง
“ที่พี่ขอร้องนี่คุณทําได้มั้ย” มองหน้าด้วยสายตาที่ทําให้อีกฝ่ายรู้ว่า ถ้าทําตามคําขอร้อง เขาจะไม่ได้รับโทษทัณฑ์อะไรมากนัก
สารภีลุกขึ้นเดินตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าสั่งว่า
“คุณเข้าไปในห้องที่หลังพี่สักครู่ ทําให้เหมือนพี่ใช้คนงานไปตาม ให้ฝ่ายนั้นเข้าใจว่าคุณไม่รู้ตัวล่วงหน้า เราไม่มีอะไรเตี้ยมกันไงล่ะ”
ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้เขาสองคนพูดจากัน ข้าพเจ้ากวักมือเรียกภารโรงผู้ชายสองคนมาให้อยู่ใกล้บริเวณนั้น เพื่อคอยฟังคําสั่งถ้าเกิดมีเรื่องราวจะได้ช่วยกันห้ามทัน
ไม่นานนักฝ่ายแขกก็เดินออกมายิ้มแย้มแจ่มใส ขอกระเป๋าถือคืน ข้าพเจ้าเดินตามไปส่งจนพ้นประตูโรงเรียน พูดขอบอกขอบใจเธอเสียยกใหญ่ในฐานะมาเป็นพยาน ให้เขาภาคภูมิใจว่าเป็นฝ่ายมาทําประโยชน์ให้ข้าพเจ้า
“พี่ขอบใจหนูมากที่สุดที่ทําให้พี่มีโอกาสจัดการครูสารภีได้ มีหนูมาเป็นหลักฐานอย่างนี้ ทําอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ พี่จะได้เล่นงานถนัดหน่อย"
“อาจารย์ไม่ต้องเอาถึงไล่ออกหรอกนะคะ สงสารแกเหมือนกันแหละค่ะ ดูจะรู้สึกตัวแล้ว” ได้ยินโจทย์ขอร้องเสียเองโล่งใจไปเป็นกอง
แม้จะรังเกียจความประพฤติของลูกน้องผู้นี้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเห็นลูกเล็กๆ ของเขาก็ให้เวทนา เด็กสองคนนี้ไม่รู้เรื่องพ่อแม่ของตนประพฤติผิดศีลธรรม นี่ถ้าพ่อของเด็กกลับมา ยังไม่ทราบจะเกิด เรื่องอะไรขึ้น
ครั้งนั้นข้าพเจ้าทําโทษ โดยเขียนคําสั่งภาคทัณฑ์ ให้ลงชื่อรับทราบและให้สัญญาว่าจะไม่ประพฤติชั่วดังนั้นอีก เพราะเหตุการณ์วันนั้นมีผู้คนทราบเรื่องหลายคน หากไม่ทําโทษเสียบ้างเลยก็จะเสียการปกครอง
สารภีลงชื่อรับทราบไปอย่างนั้นแต่ไม่ทําตาม เธอประพฤติชั่วจนเป็นสันดานเสียแล้ว ซ้ำยังดึงข้าพเจ้าไปเป็นเครื่องมือของเธออีก คือเมื่อสามีของเธอกลับมาและติดโรคจากภรรยา จึงถือเป็นพยานหลักฐานว่าภรรยาประพฤติชั่ว เขาขนข้าวของไปอยู่กับภรรยาใหม่ทันที ฟ้องร้องเอาลูกไปอยู่กับพ่อ
ความไม่ต้องการให้เด็กเห็นพ่อแม่แยกทางกัน เพราะจะเป็นปมด้อยของเด็กๆ ข้าพเจ้าลงทุนไปหาฝ่ายภรรยาคนใหม่ซึ่งเป็นสตรีมีอายุ เป็นแม่ม่ายมีลูกสาวติดมาด้วยคนหนึ่ง พูดจาให้เขาเห็นใจเด็กเล็กๆ สองคน ว่าจะรู้สึกว้าเหว่ พูดจนเขาพอจะตัดใจได้เกือบเป็นผลสําเร็จอยู่แล้ว ครูสารภีเธอก็ไปทําเสียเรื่อง คือไปด่าประจานสตรีผู้นั้นและสามีของตนในที่ทํางานของฝ่ายหญิง เรื่องจึงกลับกลายเป็นในทางร้าย ฝ่ายชายซึ่งอยู่ระหว่างหาทางหย่าขาด ก็ถือโอกาสทันที
เมื่อข้าพเจ้าเตือนสติให้นึกถึงลูกๆ ให้ไปของอนง้อสามี เธอก็ทำเป็นยอมรับคํา ชวนข้าพเจ้าไปหาสามีในเย็นวันหนึ่ง ในสถานศึกษาเอกชนที่สามีไปรับจ้างสอนกวดวิชาเป็นพิเศษให้เด็กโต เธออ้างว่าเกรงสามีจะทําร้ายร่างกาย ถ้าข้าพเจ้าไปด้วยฝ่ายชายจะได้รู้สึกเกรงใจบ้าง
ข้าพเจ้าตกหลุมพลาง พอสองคนพบหน้ากัน ฝ่ายหญิงไม่ได้พูดอ่อนหวานงอนง้อดังที่รับปากข้าพเจ้ามา กลับด่าประจานสามีต่อหน้าลูกศิษย์หนุ่มสาวของสามีตนเองนับเป็นร้อยๆ คน ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายจนบอกไม่ถูก เมื่อหายตกตะลึงจากการกระทําของสารภีแล้ว ข้าพเจ้ากล่าวขอโทษฝ่ายชาย และออกตัวว่าข้าพเจ้าขอตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของพวกเขาแล้ว
เหมือนสารภีจะดูออกว่าข้าพเจ้าหมดความเมตตาเธอ จึงได้วิ่งเต้นย้ายที่ทํางาน ขอโอนไปเป็นทหารหญิงเพราะมีปริญญา คงจะได้รับความช่วยเหลือจากนายทหารผู้ใหญ่ที่เธอคุ้นเคยด้วย จึงปรากฏว่าขอโอนไปได้สําเร็จ
ข่าวคราวของเธอที่พวกเรารู้กันต่อมาคือ เธอหย่าขาดกับสามี แบ่งลูกกันคนละคน สามีอับอายขายหน้ามาก ขอย้ายไปทํางานต่างจังหวัดเพื่อหนีหน้าผู้คนที่รู้จัก ส่วนเธอก็มีความประพฤติเสียหายเรื่องเพศของ เธอต่อไป เมื่อข้าพเจ้าออกจากงานแล้วก็ไม่ทราบข่าวคราวของเธออีก ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ปรารถนาทราบเรื่องของเธออีกเลย คนไม่ทําตามคําสอนขอให้ห่างไกลกัน อย่าได้พบเห็นเจอะเจอได้ยินได้ฟังเรื่องของเขาให้เป็นอัปมงคลแก่หูแก่ใจ
สามีภรรยาคู่นี้ถือว่าประพฤติผิดศีลข้อ ๓ ด้วยกันทั้งสองคน กรรมข้อกาเมสุมิจฉาจาร ผลของกรรมในปัจจุบันทันตาเห็นคือการต้องรับความอัปยศ เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นของคนทั้งหลาย เมื่อตายลงย่อมเกิดใน อบายภูมิ พ้นโทษจากอบายหากมาเกิดเป็นคนก็มักเป็นกะเทยเป็นหญิงโสเภณี และหญิงที่ต้องมีทุกข์ยากลําบากเพราะคู่ครอง เป็นคนขี้เหร่ มากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ มีศัตรูรอบด้าน ผู้คนเกลียดชังโดยไม่มีสาเหตุ
เรื่องการประพฤติผิดทางกามที่ผู้คนกระทํากันแพร่หลายในโลกทุกวันนี้ คุณธรรมประการแรกที่ขาดออกจากใจคือการขาดเมตตา เห็นแก่ความติดใจ พอใจในรสสัมผัสทางเพศ จนลืมคิดถึงความเสียใจของผู้เป็นเจ้าของ ของของใครเขาก็รักก็หวงของเขา
คําว่า “เจ้าของ” นอกจากจะเป็นผู้ปกครอง หรือสามีภรรยาตามทํานองคลองธรรมของคนที่เราไปประพฤติผิดด้วยแล้ว แม้แต่เด็กซึ่งเป็นบุตรธิดา พวกเขาก็รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ เศร้าโศก เหมือนถูกแย่งของรักเหมือนกัน ความรักของเด็กที่มีต่อบิดามารดาของเขาเป็นความรักอันบริสุทธิ์ เมื่อมีคนมาแย่งความรักไป ความรู้สึกเจ็บปวดจะมากกว่าความรู้สึกของผู้ใหญ่ เพราะเด็กไม่มีทางตอบโต้ เด็กๆ ที่ครอบครัวแตกแยก พ่อไปมีเมียใหม่ทางหนึ่ง แม่ไปมีสามีใหม่อีกทางหนึ่ง เขาจะรู้สึกว่าเขาขาดที่พึ่ง ถูกทอดทิ้ง ท้ายที่สุดเวลานั้นถ้ามีใครมาชักชวนซึ่งมักจะเป็นพวกเพื่อนๆ ให้ไปร่วมกิจกรรมอะไร ดีก็ตาม เลวก็ตาม เขาจะไม่มีสติยั้งคิดไตร่ตรอง จะเต็มใจให้ความร่วมมือด้วยทุกอย่าง ขอเพียงให้มีใครก็ได้ที่สนใจพวกเขา เด็กประเภทนี้จึงมักพากันเสียผู้เสียคน ดําเนินชีวิตไปในทางเสื่อม
ผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อคนแม่คนแล้วทั้งหลาย แม้ท่านจะทําความเจ็บช้ำน้ำใจให้กันและกันในระหว่างสามีภรรยาเพียงใด ก็ควรมีสติระลึกให้ได้ว่า ท่านมีลูกร่วมอยู่ในชีวิตของท่านด้วย ก่อนที่จะเห็นแก่ความสนุกส่วนตัวจนลืมประเพณี ศีลธรรม ลืมความเจ็บช้ำน้ำใจของคู่ครอง ตามทํานองคลองธรรม และเจ้าของของคนที่เราไปล่วงเกินด้วย ควรนึกถึงความรู้สึกของลูกบ้าง ชีวิตของเด็กไม่เคยประกอบบาปกรรมความชั่วอะไรในชาตินี้ พวกเขาไม่มีความผิด ทําไมเราจึงทําร้ายจิตใจของพวกเขาลงคอ ปากก็พูดว่า “รักลูก รักลูก” แต่การกระทําของพ่อแม่ประเภทนี้คือการเข่นฆ่าลูกโดยตรง ให้เขาตายด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ว้าเหว่ อับอายเพื่อน
ส่วนฝ่ายที่ไม่ใช่ผู้ผิดในระยะแรก ก็ไม่ควรคิดประชดชีวิต ประชดอีกฝ่ายด้วยการสร้างความเลวความชั่วให้พอกัน ดังรายที่เล่าไว้เป็นตัวอย่างข้างต้นนี้เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อใครๆ เลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสติเตียนการเสพเมถุนธรรมไว้ว่า
“ชื่อว่าการเสพเมถุนธรรม นักปราชญ์ถือว่าเป็นเรื่องของอสัตบุรุษ เป็นของชนชาวบ้าน ของคนเลว เป็นของชั่วหยาบ ที่สุดของการประกอบกิจนั้นคือการมีน้ำชําระออกมา เป็นธรรมที่ประกอบกันในที่ลับของคนสองคน ด้วยเหตุนี้บัณฑิตจึงกล่าวว่า เมถุนธรรมเป็นของคนคู่กันผู้มีความกําหนัดพอใจ มีความใคร่มาก เป็นผู้ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกําเริบขึ้น มีจิตที่ราคะครอบงำแล้ว เป็นเช่นนี้ด้วยกันทั้งสองคน”
นี่ขนาดการเสพเมถุนของผู้คนที่กระทํากันตามทํานองคลองธรรม ยังถูกติเตียนไว้ขนาดนี้ ยิ่งเป็นของคนที่ทําผิดศีลผิดธรรม ก็ยิ่งน่ารังเกียจยิ่งขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ
ความจริงเรื่องการเสพสุขทางเพศนั้น พิจารณาด้วยปัญญาแท้จริงก็จะเห็นถึงความไม่สะอาด ไม่มีอะไรสวยงาม เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เมื่อครั้งพราหมณ์มาคัณฑิยาจะถวายลูกสาวแสนสวยให้ว่า
“เราจะพอใจในเมถุนธรรมได้อย่างไร ในเมื่อเราเห็นร่างสตรีนั้น เต็มไปด้วยอุจจาระปัสสาวะ เสมหะ เลือด มีกระดูกเป็นโครง มีเส้นเอ็น เป็นเครื่องผูกพันไว้ มีเลือดเนื้อเป็นเครื่องฉาบทา อันหนังหุ้มห่อไว้ อันผิวหนังปิดบังไว้ มีช่องน้อยช่องใหญ่ไหลเข้าออกตามปกติ อันหมู่หนอนอาศัยอยู่บริบูรณ์ด้วยมลทินโทษต่างๆ เราไม่ปรารถนาแม้จะเหยียบด้วยเท้า การสังวาสหรือสมาคมด้วยสรีระนั้นจะมีแต่ไหน”
ฟังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้แล้วนี้ ถ้าลองคิดใคร่ครวญดูด้วยปัญญา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงดังคําที่ตรัสนั้น แล้วเราจะประพฤติกาเมสุมิจฉาจารไม่ลงทีเดียว
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๒ บทที่ ๑๓
รักที่ไม่สมหวัง
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:59
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: