ภารกิจมอบความสุขที่หายไปของวัดพระธรรมกายสิงคโปร์
“สาธารณรัฐสิงคโปร์” เป็นประเทศอัศจรรย์ที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึง
๑ ชั่วอายุคนทะยานขึ้นมาอยู่ในแนวหน้าของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ
การศึกษา และเทคโนโลยี
รวมทั้งยังได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ดีที่สุดในโลก ที่ใช้เกณฑ์ “การศึกษา สุขภาพ คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ
พลังงาน และสภาพแวดล้อมทางการเมือง” เป็นตัวตัดสิน
นับถึงปัจจุบัน สิงคโปร์แยกตัวออกมาจากประเทศมาเลเซียเป็นเวลาได้ ๕๑ ปี
โดยมีอาณาเขตที่ครอบครองเป็นเกาะขนาดเล็กและขนาดกลาง ๖๓ เกาะ
เกาะสิงคโปร์ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากถมทะเลออกไปแล้วก็ยังมีพื้นที่ประมาณ
๗๑๘ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น
ซึ่งใกล้เคียงกับเกาะภูเก็ตของเรา ประชากรก็มีอยู่แค่ประมาณ ๕.๕ ล้านคน
ทรัพยากรทางธรรมชาติมีน้อยมาก ขนาดน้ำจืดยังต้องซื้อจากมาเลเซียมากินมาใช้* แต่ด้วยการบริหารจัดการที่เยี่ยมยอดทำให้สิงคโปร์กลายเป็นหนึ่งในผู้นำหลายด้าน
เช่น ด้านเศรษฐกิจ--เป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวอยู่ในแนวหน้าของโลก และเป็นศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทดัง ๆ จากทั่วโลก
ด้านการศึกษา--ปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับ ๑๒
ของโลก และมีมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
เช่น MIT, Yale, INSEAD,
NYU และ
Chicago Booth มาก่อตั้งวิทยาเขตในสิงคโปร์
ทำให้มาตรฐานการศึกษาของสิงคโปร์รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ด้านเทคโนโลยี--ความเร็วของอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ
๓ ของโลก
*ปัจจุบันนี้สิงคโปร์เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืดได้แล้ว
สิ่งเหล่านี้ทำให้สิงคโปร์เป็นศูนย์รวมของคนไร้สุขจำนวนมาก
จนกระทั่งครั้งหนึ่งถึงกับมีโครงการประกวดค้นหาบุคคลผู้มีความสุขมากที่สุดบนเกาะสิงคโปร์
เพื่อนำมาศึกษาแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ในท่ามกลางมวลความเครียดที่แผ่ซ่านครอบคลุมเกาะสิงคโปร์นี้
ครูสอนโยคะคนหนึ่งชื่อ “ควินิน” เกิดความรู้สึกอยากทำสมาธิปฏิบัติธรรม
ด้วยหวังว่าจะเป็นหนทางหลุดรอดไปจากความเครียด ซึ่งเธอก็โชคดีที่มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย เป็นเวลา ๒ ปี
คุณยายอาจารย์ฯ และกัลยาณมิตรควินิน |
ระยะแรกที่ก่อตั้งศูนย์ฯ นั้น กิจกรรมที่ทำร่วมกันก็คือ งานบุญวันอาทิตย์ในช่วงเวลาธรรมกาย
เน้นการหลับตาเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งมีผู้สนใจมาปฏิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้องย้ายศูนย์ฯ
เพราะสถานที่คับแคบไม่เพียงพอรองรับผู้คน และต่อมามีการย้ายศูนย์ฯ อีก ๓ ครั้ง
เพื่อแก้ปัญหาเดียวกันนี้
ในปัจจุบันพระอาจารย์ ทีมงาน และกัลยาณมิตร
ร่วมแรงร่วมใจที่จะสถาปนาวัดพระธรรมกายสิงคโปร์เป็นอาคารที่ถาวรในเกาะสิงคโปร์
เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนมาเรียนรู้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าถึงความสุขภายในได้ครั้งละมาก ๆ
วัดพระธรรมกายสิงคโปร์แห่งใหม่อยู่ในเขต Sumang Walk, Punggol สร้างบนพื้นที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ตัวอาคารเป็นตึกที่ทันสมัย มี ๕ ชั้น มีห้องปฏิบัติธรรมที่รองรับสาธุชนได้ ๔๕๐ คน
วัดพระธรรมกายสิงคโปร์แห่งใหม่อยู่ในเขต Sumang Walk, Punggol สร้างบนพื้นที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ตัวอาคารเป็นตึกที่ทันสมัย มี ๕ ชั้น มีห้องปฏิบัติธรรมที่รองรับสาธุชนได้ ๔๕๐ คน
ภาพโมเดล 3D วัดพระธรรมกายสิงคโปร์ |
การเปิดคอร์สสอนสมาธิดังกล่าวจัดขึ้นปีละ ๒
คอร์ส และจัดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวน ๓๒ รุ่นแล้ว เนื้อหาการสอนเน้นเรื่องการผ่อนคลาย การปรับร่างกายและจิตใจ
และที่ตั้งของศูนย์กลางกาย ซึ่งสาธุชนที่มาเรียนต่างได้รับความสบาย
รู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ หลายท่านเข้าถึงองค์พระหรือดวงธรรมภายใน
นอกจากคอร์สฝึกสมาธิแล้ว
วัดพระธรรมกายสิงคโปร์ยังจัดกิจกรรม “ค่ายคุณธรรม ๓ วันสำหรับเด็ก” เพื่อส่งเสริมศีลธรรมแก่เยาวชน และปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน คือ วินัย
เคารพ อดทน ความกตัญญูกตเวที และมารยาทชาวพุทธ เช่น การกราบ การไหว้ การทักทาย
การช่วยเหลืองานบ้าน รวมทั้งความดีสากล ๕ ประการ (สะอาด, ระเบียบ, สุภาพ, ตรงต่อเวลา,
สมาธิ) ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นคนเก่งและดี
สามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุข
ตลอดเวลา ๑๖ ปีที่ผ่านมา
การเผยแผ่ของวัดพระธรรมกายสิงคโปร์มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งปัจจุบันเป็นวัดสาขาแห่งหนึ่งของวัดพระธรรมกายที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังชาวท้องถิ่น
คือมีสมาชิกผู้เข้าอบรมสมาธิเป็นชาวท้องถิ่น เจ้าหน้าที่อาสาสมัครซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ผ่านการอบรมสมาธิมาก่อนก็เป็นชาวท้องถิ่น
ปัจจัย (ภายนอก) ที่มีผลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ไปสู่ชาวท้องถิ่นได้สำเร็จนั้น ที่เด่น ๆ ก็คือ
ปัจจัย (ภายนอก) ที่มีผลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ไปสู่ชาวท้องถิ่นได้สำเร็จนั้น ที่เด่น ๆ ก็คือ
ประการแรก ประชาชนในประเทศสิงคโปร์กว่า ๗๐
เปอร์เซ็นต์ เป็นคนจีนที่มีพื้นฐานด้านศาสนาพุทธอยู่แล้ว การเผยแผ่ไปสู่ชาวสิงคโปร์จึงเหมือนเป็นการต่อยอดให้เขา
ประการที่สอง
ชาวสิงคโปร์มีระดับความเครียดสูงมาก เมื่อมาพบกับวิธีพักผ่อนทางใจแบบง่าย ๆ สบาย ๆ
ที่ทำให้เกิด “ความสุขที่แท้จริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังแสวงหาอยู่พอดี
พวกเขาจึงเห็นคุณค่าและให้ความสนใจที่จะมาปฏิบัติธรรมกันอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัย
๒ ประการนี้ ถือว่ามีส่วนช่วยให้การเผยแผ่สะดวกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม “ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ
เพียงเพราะโชคช่วย” นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว
คณะพระภิกษุและทีมงานต่างทุ่มเททำงานหนักอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อาทิ
การต้อนรับปฏิสันถารเจ้าภาพที่มาถวายภัตตาหารในแต่ละวัน
การดูแลอาคารสถานที่ให้สัปปายะอยู่เสมอ การประชาสัมพันธ์
และการทำภารกิจที่จำเป็นอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลักในแต่ละวันดังนี้
วันอาทิตย์--ทำกิจกรรมเช่นเดียวกับวัดพระธรรมกาย ประเทศไทย, วันจันทร์--เตรียมการเทศน์สอน, วันอังคาร--เปิดคอร์สสอนสมาธิภาษาจีน
(คอร์สปัจจุบันมีนักเรียน ๑๘๐ คน), วันพุธ--สอนภาษาบาลีแก่ผู้นำบุญชาวสิงคโปร์, วันพฤหัสบดี--แสดงธรรมและนำนั่งสมาธิแก่นักเรียนที่จบคอร์สสมาธิไปแล้ว,
วันศุกร์--สอนภาษาไทย, วันเสาร์--เปิดคอร์สสอนสมาธิภาษาจีนอีกคอร์สหนึ่ง
(คอร์สปัจจุบันมีนักเรียน ๑๙๐ คน)
อีกประเด็นสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของงานก็คือ
การนำคำสอนของครูบาอาจารย์มาปรับให้เข้ากับอุปนิสัยและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่
และเรียนรู้กฎระเบียบข้อห้ามต่าง ๆ ที่เข้มงวดมากในประเทศนี้
ซึ่งมีผลให้การเผยแผ่เป็นไปด้วยความราบรื่น
นอกจากนี้
คุณสมบัติเฉพาะตัวของคณะพระภิกษุและทีมงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่เอื้อต่อความสำเร็จในการเผยแผ่
อาทิ ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและส่วนรวม, ความอดทน, ความมีไหวพริบปฏิภาณ, ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้, การเป็นต้นบุญและต้นแบบในการทำความดี ฯลฯ รวมทั้งการมีทักษะในการใช้ภาษาจีนได้ดีราวกับเป็นชาวท้องถิ่น ซึ่งนอกจากได้ใจพวกเขาไปเต็ม ๆ แล้ว ปัญหาในการสื่อสารก็ไม่มี สร้างความเข้าใจอันดีต่อกันก็ไม่ยาก
จากการทุ่มเทเผยแผ่พระพุทธศาสนา
วิชชาธรรมกาย ไปสู่ใจชาวสิงคโปร์ ด้วยการสอนทำสมาธิเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการทำทานและรักษาศีล
เกิดเป็นผลงานที่น่าปลาบปลื้มใจนานัปการ เช่น
ทำให้พวกเขาคลายความเครียด มีความสุขมากขึ้น
และมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องมากขึ้น คือ มีความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม รู้จักการสร้างบุญสร้างบารมี ยินดีในการทำความดี
ละเว้นความชั่ว กลั่นใจให้ผ่องใสอยู่เป็นนิจ
และรู้จักทำหน้าที่กัลยาณมิตรชักชวนคนมาทำความดี อีกทั้งยังมีจิตสำนึกรักพระพุทธศาสนา
มีความรู้สึกรักวัดเสมือนกับเป็นเจ้าของวัด
ทำให้ร่วมแรงร่วมใจกันมาดูแลพัฒนาวัดให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น
นอกจากนี้ หลายคนยังได้ไปบวชในโครงการ IDOP ที่วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย
ลาสิกขาแล้วก็กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา นำความสุขสงบไปสู่ใจเพื่อนร่วมชาติต่อไป
ในพื้นที่ไม่กี่บรรทัดสุดท้ายนี้ ขอสรุปว่า สิงคโปร์มีหลายสิ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
ขาดเพียงสิ่งสำคัญก็คือ “ความสุขที่แท้จริง” ที่เกิดจากการทำสมาธิ
ถ้าชาวสิงคโปร์พากันเติมความสุขที่แท้จริงลงในหัวใจแล้ว
สิงคโปร์ก็จะเป็นประเทศที่อยู่ในแนวหน้าของโลกทั้งทางด้านวัตถุควบคู่กับจิตใจ
และจะเป็นประเทศหนึ่งที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอย่างแท้จริง
การไปเผยแผ่คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาในสิงคโปร์ของวัดพระธรรมกาย
จึงถือเป็นความโชคดีมีบุญของชาวสิงคโปร์
ที่จะได้เรียนรู้วิธีพลิกชีวิตเครียด ๆ ไปพบกับความสุขที่แท้จริง
และยังเป็นบุญของทีมงานอีกด้วย
ที่ได้มอบความสุขแก่ผู้คนในดินแดนที่หาความสุขได้ยากแห่งนี้ เปรียบเสมือนการมอบน้ำดื่มแก่คนหลงทางกลางทะเลทราย
ย่อมมีค่ามากมายกว่ามอบให้ใคร ๆ ที่เขายังไม่ต้องการ
--กราบอนุโมทนาบุญ--
Cr. มาตา วารสารอยู่ในบุญ สำนักสื่อธรรมะ
ภารกิจมอบความสุขที่หายไปของวัดพระธรรมกายสิงคโปร์
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:11
Rating:
สาธุครับ คนสิงค์โปร์ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่เจริญแล้ว มีระเบียบวินัย ยังต้องแสวงหาการเติมเต็มของชีวิต
ตอบลบสาธุค่ะ พื้นฐานชาวสิงคโปร์พร้อมในหลายๆ ด้านอยู่แล้วจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วง 51 ปีที่ผ่านมา ยิ่งถ้าได้พัฒนาด้านจิตใจควบคู่แล้ว เชื่อมั่นว่าสิงคโปร์จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นแน่นอนค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะ พื้นฐานชาวสิงคโปร์พร้อมในหลายๆ ด้านอยู่แล้วจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วง 51 ปีที่ผ่านมา ยิ่งถ้าได้พัฒนาด้านจิตใจควบคู่แล้ว เชื่อมั่นว่าสิงคโปร์จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นแน่นอนค่ะ
ตอบลบอนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์และผู้นำบุญทั้งหลายที่ทำกิจที่สำเร็จยากให้สำเร็จได้โดยราบรื่น
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ อนุโมทนาค่ะ
ตอบลบ