พิษรัก
ข้าพเจ้าเห็นเธอมีอาการป่วยหนักมาก ใบหน้าบวมเป่งจนตาสองข้างปิดลืมไม่ขึ้น ใบหน้าบวมของคนป่วยทําให้ข้าพเจ้านึกถึงใบหน้าศพของเพื่อนรักเมื่อ ๒๙ ปีก่อนโน้น เมื่อเพื่อนตายได้ ๕ วัน หน้าที่สวยงามมากของเพื่อนกลายเป็นหน้าบวมอืดอย่างเดียวกับหน้าคนป่วยนี้ไม่มีผิด เห็นหน้าคนป่วยทําให้เหตุการณ์ในความหลังครั้งอดีตหลั่งไหลตามมา…
เช้ามืดวันนั้น เวลาประมาณตีห้า เดือนธันวาคมอันหนาวเย็นของปี พ.ศ.๒๔๙๗ ข้าพเจ้านอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่น หลับสนิทเพราะเมื่อคืนท่องหนังสืออยู่ดึกเกือบตีหนึ่ง มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกแว่วๆ จากฟังไม่ชัด จนฟังได้ชัดว่า
“หวิน หวิน ตื่นเถอะ ช่วยไปตีแบดเป็นเพื่อนเราหน่อยเถอะนะ”
จากน้ำเสียงเว้าวอนนั้น ยังไม่ต้องลืมตาข้าพเจ้าก็จําได้ว่าเป็นเสียงเพื่อนรักคนที่สวยที่สุดในหอพักของเรา และสวยที่สุดในรุ่นของเราที่มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้างัวเงียถามอย่างไม่ลืมตาว่า
“เวลาเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ตีห้าจ้ะ” เสียงอีกฝ่ายตอบ
“อะไรกัน ตีแบดตั้งแต่ตี ๕ หรือ จะบ้ารึไง ยังไม่สว่างเลย”
ข้าพเจ้าชักเริ่มโกรธตะหงิดๆ เอาผ้าห่มคลุมโปงเสียเลย แต่เสียงอ้อนวอนก็ยังดังเข้าไปถึงหูว่า
“โธ่ ไปตีแบดบังหน้าน่ะจ้ะ”
“อ้าว แล้วอะไรมันอยู่ข้างหลังล่ะ” ข้าพเจ้าถามเสียงอ่อนลง เพราะอยากรู้สาเหตุ
“วันนี้ตอนเช้ามืด... เค้าจะวิ่งออกกําลังผ่านมาทางนี้ เค้าจะวิ่งให้เร็วกว่าใครๆ แอบมาแวะเยี่ยมเรา แล้วค่อยวิ่งตามหลังเพื่อนไป คงจะพอได้คุยกันสัก ๒๐ นาทีน่ะ”
เพื่อนบอกสาเหตุ ออกชื่อชายคนรักซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกปีสุดท้าย น้ำเสียงเพื่อนอ้อนวอนน่าสงสาร ข้าพเจ้าพยายามทรงกายลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไปมาให้หายง่วง เลิกโกรธ มีความเห็นใจเพื่อนเข้ามาแทน หอพักเอกชนที่พวกเราอาศัยกันอยู่ประมาณ ๑๐ กว่าคนแห่งนี้ เป็นห้องชั้นบนของโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รับพวกเราซึ่งเป็นนิสิตหญิงล้วนๆ และต้องเป็นลูกหลานของคนรู้จักกันมาอยู่ ผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนและหอพักแห่งนี้เป็นพยาบาลสาวแก่อายุมาก ท่านเข้มงวด กวดขันและหวงแหนพวกเราเหมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของเราจริงๆ เพื่อนผู้ชายจะมาเยี่ยมเราที่หอพักไม่ได้ ให้เยี่ยมได้แต่ญาติผู้ชายและเพื่อนผู้หญิงเท่านั้น
ถ้าจะมีรายการคนรักของใครแวะมาเยี่ยมตอนเช้าอย่างนี้ พวกเขาก็จะต้องทําทีออกไปตีแบดมินตันที่สนามหญ้าด้านหน้าโรงเรียนซึ่งติดกับประตูรั้ว พอจะได้เกาะรั้วคุยกับคนที่แอบมาเยี่ยมได้
ข้าพเจ้าล้างหน้าอย่างลวกๆ เพราะอากาศหนาวเย็น นุ่งกางเกงขายาวใส่เสื้อนอนอย่างเดิม เอาผ้าพันคอเข้าผืนหนึ่ง ถือไม้แบดลงบันไดไป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง เพราะยังง่วงค้างอยู่ เมื่อถึงสนาม ได้ลงมือตีบ้าง วิ่งบ้าง ๒-๓ ครั้ง จึงหายง่วง สักครู่ใหญ่จึงมีเสียงฝีเท้าวิ่งปั้บ ๆ ๆ มาตามทางเดิน เป็นคนที่เรากําลังรอคอยนั่นเอง เขาสองคนยืนเกาะรั้วคุยกัน ข้าพเจ้านั่งดูต้นทางอยู่ห่างๆ
ข้าพเจ้ามองภาพคนรักคู่นั้นคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางเป็นสุข แต่ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกเป็นสุขไปกับเขาทั้งคู่เลย กลับครุ่นคิดถามตนเองว่า การมีความรักนี่มันสุขหรือทุกข์กันแน่ กว่าจะได้เห็น หน้าพูดคุยกันแต่ละครั้งก็ลําบากยากเย็น พบหน้ากันเหมือนจะมีความสุข แต่พบกันแล้วก็ไม่อิ่มใจ ต้องคอยวันที่จะได้พบกันใหม่ ไม่รู้จักจบสิ้น ของที่มันไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ต้องหิวอยู่เสมอนี่เรียกว่าความสุขได้หรือ...
ในสมัยนั้น สังคมไทยเรายังถือเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องไม่เหมาะสม สําหรับชีวิตของนักเรียนนักศึกษาพวกเราแม้จะเรียนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังมีความละอายเรื่องการมีคนรัก ดังนั้นเรามักไม่พบกันคุยกันในขณะที่เราแต่งเครื่องแบบ วันธรรมดาตอนเช้าต่างฝ่ายต่างต้องไปสถานศึกษา หากเป็นสถานศึกษาเดียวกันก็พอได้เห็นหน้ากันบ้าง เดินตามไปห่างๆ ทําเหมือนไม่รู้จักกัน ถ้าแสดงออกมาจะเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนฝูง ตอนเย็นพวกเราฝ่ายหญิงต้องรีบกลับเข้าที่พักตามกําหนดเวลา คนรักของเราจะถือโอกาสพบได้เพียงโหนรถเมล์คันเดียวกันมาส่งตรงปากทางเข้าที่พัก วันเสาร์ อาทิตย์ จะออกไปพบกันบ้าง ต้องขออนุญาตโดยมีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันไปด้วย และต้องอ้างเหตุไปธุระเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องซื้อของใช้ เรื่องไปห้องสมุด เรื่องนัดกันทบทวนวิชา ฯลฯ
สําหรับเพื่อนรักคนงามของข้าพเจ้าที่เล่าถึงนั้น เจ้าของหอพักท่านเอ็นดูรักใคร่เป็นพิเศษ จึงถูกหวงแหนมาก พวกเราเพื่อนๆ ต้องคอยแอบให้การช่วยเหลือ ช่วยในการให้เธอปีนรั้วออกไปดูภาพยนตร์รอบกลางคืนบ้าง ไปงานวันเกิดเพื่อนๆ บ้าง แล้วก็ต้องคอยช่วยกันตอนปีนรั้วขากลับเข้ามา บางทีตอนปีนรั้วต้องปีนขึ้นลงทางต้นมะม่วงข้างรั้ว จําเป็นต้องนุ่งกางเกงขาสั้น เราก็ต้องเอาชุดเครื่องแต่งตัวสวยๆ ที่เป็น กระโปรงใส่ห่อผูกเชือกแล้วหย่อนออกทางหน้าต่าง เหวี่ยงข้ามรั้วไปให้
แม้เพื่อนๆ จะต้องลําบากในเรื่องของเธอเพียงใด ต้องคอยพูดปด ต้องคอยไปทําเหมือนนอนในเตียงของเธอตอนกลางคืนเวลาเจ้าของหอพักเดินตรวจ ต้องช่วยทําการบ้าน ฯลฯ ทุกคนก็กระทําให้ด้วยความเต็มใจและเห็นใจในความรักที่คนทั้งสองมีต่อกัน คือรักกันมาตั้งแต่ฝ่ายชายเป็นนักเรียนเตรียมทหารปีแรก ฝ่ายหญิงเป็นนักเรียนชั้นมัธยมธรรมดา (ประมาณมัธยมปีที่ ๑-๒ ของสมัยนี้) เมื่อพวกเรารู้จักกันในปี ๒๔๙๗ นี้ ทั้งคู่ชอบพอกันมาได้นานถึง ๗ ปีแล้ว
ฝ่ายหญิงเป็นชาวศรีสะเกษ บิดาเคยเป็นกํานัน แต่เวลานั้นออกบวชเป็นพระภิกษุ มารดามีร้านค้าขายของในตลาด มีน้องเล็กๆ ที่กําลังศึกษาอีกถึง ๔ คน เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นลูกสาวคนโต เธอเป็นคนงามและน่ารักมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกได้ว่ามากเพียงใด กล่าวได้แต่เพียงว่าในชีวิตของข้าพเจ้าไม่เคยพบคนที่มีคุณสมบัติอย่างเธออีกเลย คนสวยที่นิสัยดี เฉลียวฉลาด และมีกิริยามารยาทเรียบร้อยน่ารักอย่างไม่มีที่ติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะมีรวมกันอยู่ในคนๆ เดียวได้โดยง่าย
ฝ่ายชายเป็นชาวกรุงเทพฯ ครอบครัวมีฐานะดี มีพี่น้องหลายคน รูปร่างหน้าตาแม้ไม่จัดอยู่ในเกณฑ์หล่อเหลาคู่ควรกับความงามของฝ่ายหญิง แต่ก็ไม่ใช่คนขี้เหร่แต่อย่างใด จัดอยู่ในลักษณะคนธรรมดาๆ แต่เป็นคนมีนิสัยดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อเพื่อนฝูง เรื่องสําคัญคือมีน้ำใสใจจริง ซื่อสัตย์ต่อคนรัก แม้จะมีผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายรายมาสนใจ เขาก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลง เอาใจใส่คนรักของเขาเสมอต้นเสมอปลาย เป็นที่ชื่นชมของเพื่อนๆ ทั้งสองฝ่ายตลอดมา
ข้าพเจ้าจําได้... ครั้งหนึ่งเป็นวันเกิดเพื่อนคนสวยของข้าพเจ้านั่นแหละ ของขวัญที่เธอได้รับจากคนรักของเธอ นอกจากของใช้ส่วนตัวที่มีความหมายระหว่างเขาสองคนแล้ว ยังมีลูกสุนัขจริงๆ ขนปุกปุยที่ น่ารักเป็นอย่างยิ่งตัวหนึ่ง คนทั้งสองสมมติว่ามันเป็นลูก เขาใช้สรรพนามแทนตัวพวกเขาว่าพ่อแม่ ตามระเบียบแล้วในหอพักห้ามนําสัตว์มาเลี้ยง แต่เพื่อเห็นแก่ความสุขของเพื่อน พวกเราก็เลยต้องช่วยกันแอบเลี้ยง คอยจับซ่อนเวลาจะมีคนเห็น ต้องคอยหาอาหาร คอยเช็ดสิ่งสกปรกที่มันถ่ายออกมา ต้องพลอยยุ่งยากลําบากลําบนเพราะเจ้าหมาน้อยตัวนี้ก็เพราะความรักเพื่อนแท้ๆ
ด้วยความเป็นคนงาม เป็นคนดีพร้อมจนไม่มีที่ติ ทําให้เพื่อนของข้าพเจ้าผู้นี้ต้องมีกิจกรรมพิเศษหลายอย่างในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นนักกีฬา เป็นกรรมการชมรมต่างๆ ไม่ว่าในสถานศึกษาของเราจะจัดงานพิเศษอะไร เป็นต้องมีเธอร่วมอยู่เป็นดาวเด่นเสมอ และเธอก็สามารถทําหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ดีที่สุด เป็นที่ชื่นชมของทุกๆ ฝ่าย ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเธอจึงฟุ้งขจรหอมหวนไปทั่วในมหาวิทยาลัยของเรา ไม่ว่ารุ่นพี่รุ่นน้องไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ
เป็นการแน่นอนที่เธอย่อมถูกหมายปองจากบรรดานิสิตชายมากหน้าหลายตา ทั้งที่อยู่ในคณะวิชาเดียวกันและต่างคณะออกไป คุณลักษณะของเธอทําให้เกิดความรักขึ้นในหัวใจนิสิตหนุ่มๆ และความรักนั้นเองทําให้เกิดทุกข์แจกจ่ายกันไปทั่วหน้า เพราะแม้เธอจะไม่เคยให้โอกาสให้ความหวังต่อใครสักคนเดียว เพราะเธอรักและซื่อสัตย์ต่อคนรักของเธอไม่เปลี่ยนแปลง นิสิตชายทั้งหลายผู้หมายปองจึงต้องผิดหวัง อกหักไปทั่วกัน
มีอยู่รายหนึ่ง ข้าพเจ้าจําได้แม่นยํามากกว่าเพื่อน เป็นนิสิตชายต่างคณะ เขาเรียนอยู่คณะรัฐศาสตร์ หลงรักเพื่อนของข้าพเจ้าอย่างมากมาย แต่เป็นคนขี้ขลาด ไม่เคยพยายามมาทําความรู้จัก ได้แต่ตามเฝ้าดูเวลาเพื่อนข้าพเจ้าไปร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นกีฬา ประกวดเทพี แสดงละคร หรือไปทัศนศึกษา ฯลฯ นอกจากดูด้วยสายตาให้แช่มชื่นเบิกบานเข้าไปถึงใจแล้ว เขาก็ใช้วิธีเขียนจดหมายวันละ ๑ ฉบับทุกวัน แต่เขียนแล้วไม่ส่งถึงผู้รับ เก็บใส่ไว้ในปี๊บ เขียนอยู่เป็นปีจนเต็มปี๊บ จึงได้ทราบความจริงว่าฝ่ายหญิงมีคนรักแล้ว ความทุกข์ท่วมทับใจของเขามากมาย จนไม่สามารถเรียนหนังสือรู้เรื่อง ผลที่สุดถึงกับปีนั้นสอบตก ตัวเองก็ต้องทุกข์เพราะรักไม่สมหวัง ยังต้องทุกข์เพราะอับอายขายหน้าเพื่อนฝูง ผู้ปกครองก็ต้องทุกข์เป็นห่วงจิตใจของลูก และฐานะไม่ดีนัก ต้องอดออมส่งเสียเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี ยังดีที่มีเพื่อนๆ ช่วยกันปลอบใจ รวมทั้งเพื่อนคนสวยของข้าพเจ้ารู้เรื่องเข้า เธอเห็นใจ เมื่อพบหน้าก็แสร้งทําเป็นว่าไม่รู้ถึงสาเหตุ แต่พูดคุยด้วยดี ให้กําลังใจต่างๆ นานา ความรู้สึกทุกข์ร้อนจึงค่อยหายคลายจางไปได้ในที่สุด
ในสมัยนั้นการวัดผลการเรียนนับว่าทารุณสาหัสมาก สอบทุกวิชาต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า ๖o% วิชาใดได้คะแนนต่ำเพียงวิชาเดียวจะให้โอกาสสอบแก้ตัว แต่ถ้าตกเกินตั้งแต่ ๒ วิชา ถือว่าสอบตกต้องเรียนซ้ำชั้น และการเรียนซ้ำชั้นต้องเรียนใหม่หมดทุกวิชา แม้ว่าวิชาอื่นจะทําคะแนนได้เต็ม ๑๐๐% ก็ต้องเรียนซ้ำใหม่ นอกจากนั้นวิชาต่างๆ ที่เรียนอยู่ต่อเนื่องกันหลายๆ ปี ถ้ามีการสอบ ไม่ว่าจะสอบกลางปี ปลายปี เราจะเรียนแล้วลืมทิ้งไม่ได้เป็นอันขาด สอบไปแล้วกี่ครั้ง ก็จําต้องดูทบทวนใหม่อีกทุกครั้ง เพราะข้อสอบจะนําสิ่งที่เรียนแล้วมาออกซ้ำอีกเมื่อใดก็ได้
การสอบไล่ของพวกเราแต่ละปีๆ จึงดูเหมือนการเดินเข้าตะแลงแกง จะรอดตายหรือไม่ต้องเสี่ยงกันทุกปีไป เพราะถึงอย่างไรๆ เราก็อ่านก็จําตํารับตําราในชั้นที่กําลังเรียนและชั้นที่เรียนผ่านไปแล้วไม่หมด มันมากมายเป็นตั้งใหญ่ท่วมตัวจริงๆ ในสมัยนั้นจึงปรากฏว่ามีบางคนดูหนังสือไม่ทัน เกิดวิกลจริต เอาตําราผูกเชือกแขวนไว้เป็นราวใช้ปืนยิงเสียจนพรุนไปหมด เพราะเจ็บช้ำน้ำใจที่ดูหนังสือไม่ทัน
ฝักจามจุรีแก่ๆ เป็นสีน้ำตาลห้อยอยู่บนต้นพร้อมที่จะหล่นลงมาทุกขณะเมื่อมีลมแรงๆ พัดกรรโชก ช่างเหมือนกับชีวิตของพวกเราทุกคน ขณะย่างเข้าใกล้วันสอบปลายปี จะหลุดร่วงสิ้นหวังดังฝักจามจุรีที่ร่วงลงดินหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลังประกาศผลสอบไล่ปลายปี จึงมักมีการฆ่าตัวตายด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจํา
โชคดีของข้าพเจ้าอยู่ประการหนึ่ง คือความเป็นคนจนทําให้ต้องประหยัดอดออม ไม่มีเงินพอจะใช้ในเรื่องฟุ่มเฟือย เรื่องแต่งตัว เรื่องซื้อของใช้ไม่จําเป็น เรื่องเที่ยวเตร่ดูภาพยนตร์ สิ่งเหล่านี้ชีวิตของข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์กระทํา ส่วนเพื่อนที่มีสตางค์ของข้าพเจ้าจะกระทํากันอยู่เป็นเรื่องปกติ พวกเพื่อนเหล่านี้เองชอบบังคับให้ข้าพเจ้าเข้าเรียนในชั้น ในขณะที่พวกเขาหนีไปเที่ยวเตร่ และให้ข้าพเจ้าสอนเขาต่อ หรือให้ยืมตําราที่จดไว้ต่ออีกทีหนึ่ง การเรียนทั้ง ๒ ปริญญา (สมัยนั้นประเทศไทยยังไม่มีการเรียนในระดับปริญญาโท) ของข้าพเจ้าจึงไม่มีการสอบไล่ตกแม้แต่ครั้งเดียว
เวลาที่เพื่อนรักของข้าพเจ้าวานให้ข้าพเจ้าทําอะไรต่อมิอะไรให้และข้าพเจ้าติงว่า
“นี่เธอ เพื่อนมีกันอยู่ตั้งหลายคน ทําไมเธอจึงไม่ใช้พวกเค้ามั่ง เธอใช้แต่ชั้นน่ะแหละ” เขาจะพูดปนหัวเราะล้อเลียนข้าพเจ้าว่า
“ก็ในกลุ่มของเราเนี่ย เธอเป็นคนขี้เหร่ที่สุดเลยนี่จ๊ะ”
ถึงแม้จะเป็นการอ้างเหตุผลที่ไม่เข้าเรื่องเลย ข้าพเจ้าก็ไม่ค้าน ทําให้เธอแต่โดยดี สมัยนั้นข้าพเจ้าแปลกใจเหมือนกันว่า ทําไมเพื่อนกลุ่มเราจึงมีแต่คนสวยๆ ทั้งกลุ่ม ส่วนข้าพเจ้าถ้าอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่นใครๆ ก็ชมว่าเป็นคนคมขำ แต่พออยู่ในกลุ่มนี้ก็เป็นอย่างที่เพื่อนคนสวยพูด คือขี้เหร่ที่สุดในกลุ่ม เมื่อมีวัยสูงขึ้นจึงเข้าใจธรรมชาติของเด็กสาวๆ ทุกคน รักสวยรักงามอยากให้คนอื่นๆ ชมว่าตนเป็นคนสวยทั้งสิ้น เมื่อเห็นมีใครสวยกว่า ย่อมจะรู้สึกอิจฉาริษยาไม่พอใจ จึงไม่ใคร่คบกันเป็นเพื่อนสนิท ถึงขนาดไปไหนไปด้วยกัน เพราะจะถูกคนสวยกว่าข่มความงามของตน
สําหรับข้าพเจ้าไม่ใคร่มีความรู้สึกดังนี้ ตรงข้ามถ้าเห็นใครสวยกว่า หรือสวยมากๆ กลับชื่นชมยินดี ถ้าคนสวยมาคบด้วย ถือว่าเขาให้เกียรติ แต่เมื่อถูกตําหนิตรงๆ ว่าขี้เหร่ก็สะดุ้งเหมือนกัน
เพื่อนรักคนงามดังกล่าว จึงเป็นต้องวุ่นวายกับเรื่องกิจกรรมหลายด้าน รวมทั้งต้องแก้ปัญหาเรื่องยุ่งๆ ที่มีผู้คนมาหลงรักมากหน้าหลายตา ทําให้เธอเอาใจใส่การเรียนไม่ได้เต็มที่ถึงกับสอบไล่ตกในชั้นปีที่ ๒
ปีที่เธอต้องเรียนซ้ำชั้นตามลําพังนั่นเอง เป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพื่อนๆ สนิทเลื่อนไปเรียนชั้นสูงกว่า ทําให้ต้องห่างเหินกันไป เพื่อนใหม่ก็เป็นนักศึกษารุ่นน้อง คบกันได้ไม่สนิทเพราะเขาจะเรียกเธอว่า “พี่” เวลานั้นเองมีอาจารย์หนุ่มโสด เพิ่งสําเร็จปริญญาเอกมาใหม่เอี่ยมจากต่างประเทศเป็นอาจารย์ในชั้นเรียนของเธอ อาจารย์ผู้นี้ให้ความสนใจลูกศิษย์สาวที่เรียนซ้ำชั้นเป็นพิเศษ มีการพูดคุยให้กำลังใจ สอนทบทวนวิชาให้ ตอนแรกๆ พวกเราไม่มีผู้ใดผิดสังเกต เพราะมิใช่เป็นการกระทําลําพังสองต่อสอง มีนิสิตร่วมชั้นอื่นๆ รวมอยู่ด้วย
เวลาแรมปีผ่านไป ข้าพเจ้ารู้สึกผิดสังเกตตรงที่ฝ่ายหญิงจะมาขอร้องข้าพเจ้าว่า
“หวิน คืนนี้ว่างมั้ย อาจารย์...ชวนเราไปฟังคอนเสิร์ตน่ะ เธอไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ เราไม่อยากไปกับท่านสองคนจ้ะ มันน่าเกลียด แล้วก็ถ้ามีใครไปบอกแฟนเราเข้า เดี๋ยวเรื่องจะไปกันใหญ่”
ในเวลาที่เริ่มเกิดเหตุเรื่องนี้ เราสองคนย้ายจากหอพักเดิมมาอยู่พอพักนิสิตหญิงของมหาวิทยาลัยแล้ว ระเบียบเรื่องการเข้าหอพักในตอนกลางคืนไม่เข้มงวดเท่าที่เคยอยู่ ถ้าจะกลับดึกกว่ากําหนด ให้ชี้แจงขออนุญาตล่วงหน้า ซึ่งมักได้รับอนุญาตด้วยดี
ที่จริงแล้วพอตกค่ำ ข้าพเจ้าไม่ใคร่ชอบไปไหน ชอบดูหนังสือ ทบทวนวิชาต่างๆ ที่เรียนมาจากตอนกลางวัน และค้นคว้าเรื่องที่จะเรียนต่อไปไว้ล่วงหน้า หากคนรักของตนเองมาเยี่ยม ก็มักจะคุยกันที่ห้องรับแขกของหอพัก ซื้ออาหารมารับประทานด้วยกันบ้าง อ่านหนังสือบ้าง คุยกันบ้างสัก ๑-๒ ชั่วโมง ก็มากเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใคร่นิยมให้เขาพาไปดูภาพยนตร์หรือไปซื้อของสิ่งใดๆ เพราะรู้จักฐานะอันขาดแคลนของเขาดีอยู่ ให้ความเห็นอกเห็นใจ และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจไปเป็นอื่น ในเมื่อพบคนที่ดีกว่าทุกๆ ด้านมาสนใจ
แต่สําหรับเพื่อนรักคนนี้ ข้าพเจ้ายอมเสียเวลาดูหนังสือ ไม่ต้องการให้คนรักของเขาเข้าใจผิดต้องอดทนไปนั่งเบื่อดูหนังฟังเพลงไปโน่นมานี่เป็นเพื่อน อาจารย์หนุ่มคนนั้นแสดงความไม่พอใจข้าพเจ้าอย่างออกหน้าออกตา เขาไม่เคยยอมพูดกับข้าพเจ้าแม้แต่คําเดียว ยังดีที่ไม่ได้เลือกเรียนวิชาของเขา ถ้าเลือกเรียนคงถูกกดคะแนนหรือมองหน้ากันไม่สนิท ในฐานะมีความผิดทําตัวเป็น ก.ข.ค. (ก้างขวางคอ) แต่ข้าพเจ้าก็พอใจ เพราะเมื่อฝ่ายชายคนรักของเพื่อนได้รับคํายืนยันทุกครั้งว่าข้าพเจ้าไปด้วย เขาเชื่อใจ ไว้ใจข้าพเจ้ามาก รู้ว่ามีความจริงใจต่อเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เวลาผ่านไปเป็นเดือน ข้าพเจ้ารู้สึกฉงนใจ เหตุใดเพื่อนคนสวย จึงมักหลบหน้าข้าพเจ้า เคยส่งเสียงตะโกนเรียกกันโว้กเว้กบ่อยๆ ก็ดูเงียบไป เวลาตอนเย็นก็อ้างว่าทบทวนวิชา ไม่ใคร่กลับหอพักแต่วันเหมือนคนอื่นๆ ทําไมไม่ชวนข้าพเจ้าไปไหนๆ เป็นเพื่อนเหมือนเช่นเคย หรือว่าอาจารย์หนุ่มเลิกชวนออกไปที่ไหนๆ แล้ว
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จับได้ว่าอาจารย์หนุ่มชวนเพื่อนสาวของข้าพเจ้ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่เขาไปด้วยกันตามลําพังเสียแล้ว ไม่ว่าเป็นตอนเย็น ตอนกลางคืน หรือวันหยุด
วันหนึ่ง เมื่อคนรักของเพื่อนถามข้าพเจ้าถึงเหตุการณ์บางเรื่อง ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าเพื่อนยังคงอ้างชื่อข้าพเจ้าว่าไปกับเขาอยู่โดยตลอด ทั้งที่เขาหลบหน้าข้าพเจ้ามาเป็นเดือนๆ ความรักเป็นทุกข์อย่างนี้เอง ข้าพเจ้ารักเพื่อน ไม่ต้องการให้เขาเป็นหญิงหลายใจ แต่เมื่อห้ามเขาไม่ได้ เพียงแต่รู้สึกสงสัยเท่านั้น ให้รู้สึกเป็นทุกข์ร้อนเสียแล้ว จนต้องพลอยหลบหน้าชายหนุ่มนายร้อยโทคนรักของเพื่อนไปด้วย เพราะไม่อยากพูดปด ครั้นจะบอกไปตามจริงว่า ฝ่ายหญิงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าเป็นคนติดตามอีกแล้ว ก็เกรงเรื่องร้ายจะเกิด กระนั้นเมื่อฝ่ายชายมาเยี่ยมไม่พบบ่อยครั้งเข้า ถามหาข้าพเจ้าและเพื่อนคนอื่นๆ ก็ได้รับการปฏิเสธ ไม่มีใครยอมออกไปพบ เขาคงนึกสังหรณ์ใจ จึงเกิดการต่อว่าต่อขานซักไซ้ไล่เลียง เพื่อนของข้าพเจ้าต้องร้องไห้อยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังยืนยันว่าความรักของเธอมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าเองก็เข้าใจตามที่เธอพูด เพราะเห็นเธอนั่งทำการฝีมือปลอกหมอนมีลายปักอันสวยงาม บอกว่าจะให้เป็นของขวัญใหม่แก่ฝ่ายชาย มาใจหายวูบตรงที่เธอใช้ผ้าสีเขียวที่เรียกว่าสีโศก มาทำปลอกหมอน ข้าพเจ้ามิได้ทักท้วงเธอ เกรงจะถูกกล่าวหาว่างมงาย ได้แต่รู้สึกหวาดหวั่นใจโดยไม่รู้สาเหตุ เหมือนเป็นลางร้ายบอกให้รู้ล่วงหน้า...
มีเพื่อนบางคนกล้าหาญชาญชัย เข้าไปบอกอาจารย์หนุ่มผู้นั้นๆ ฝ่ายหญิงมีคนรักที่รักกันมานานหลายปีอยู่แล้ว ขออย่าให้ท่านมาทำให้เขาสองคนต้องระแวงแคลงใจกันเลย คําตอบที่ได้ทําให้คนเสี่ยงเข้าไปพูด ถึงกับสะอึกพูดไม่ออก
“เรื่องอย่างนี้ เมื่อยังไม่ได้เป็นคู่หมั้น ยังไม่ได้แต่งงานก็ต้องลองเสี่ยงกันดูครับ ใครดีใครได้” เป็นคําตอบที่เข้มแข็งจริงจัง เปิดเผยยอมรับ เต็มใจเข้าสู้ในสมรภูมิรบชิงรักหักสวาทเต็มที่
พวกเราฟังข่าวคืบหน้าด้วยความไม่สบายใจทุกอย่าง ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายหญิง ในขณะที่เราเอาใจช่วยฝ่ายนายร้อยโทเต็มที่นั่นเอง ฝ่ายหญิงก็กลับออกเที่ยวไปไหนมาไหนกับอาจารย์หนุ่มเป็นประจํา ชื่อเสียงของอาจารย์หนุ่มโด่งดังมากทางด้านวิชาการ สมัยโน้นการเรียนจบเป็นด็อกเตอร์หาได้ยากมากในประเทศของเรา ได้รับเชิญให้ไปปาฐกถาที่โน่นที่นี่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นระยะๆ ท้ายที่สุดในต้นปี ๒๕๐๒ กําลังจะได้รับทุนจากต่างประเทศให้ไปทํางานวิจัยทางวิชาการ โดยให้นําครอบครัวติดตามไปด้วยได้ เพราะต้องใช้เวลาเป็นปี
ในเดือนมีนาคม ๒๕๐๒ หลังจากสอบไล่ปลายปีการศึกษาอันเป็นการสอบชั้นเรียนสุดท้ายของพวกเรา หลายกลุ่มหลายชมรมในมหาวิทยาลัยของเราจัดทัศนศึกษาไปตามสถานที่ต่างๆ ข้าพเจ้าสมัครไปกับเพื่อนกลุ่มอื่นซึ่งไปที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ไปกันทางรถไฟและไปขึ้นรถยนต์ต่อ จึงเสียเวลากันหลายวัน ครั้นกลับมาถึงกรุงเทพฯ เพื่อนอีกคนหนึ่งขอร้องให้ไปพักที่บ้านของเธอต่อ ข้าพเจ้าเห็นดีด้วย เพราะถ้าพักหอพักก็จะอยู่เพียงไม่กี่วัน แต่ต้องเสียค่าหอเต็มเดือน
ตกลงข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าสัปดาห์กลางเดือนมีนาคมนั้น จะพักที่บ้านเพื่อนเพื่อรอฟังผลการสอบไล่ บ่ายของวันประกาศผลสอบไล่ ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รอรถโดยสารประจําทางเพื่อไปมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเห็นนายร้อยโทคนรักของเพื่อนเดินตัดลานอนุสาวรีย์ ข้ามจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือไปยังทิศตะวันตก เขาเดินชนิดไม่กลัวเกรงว่ารถจะชน เดินเหมือนมองไม่เห็นและไม่หวาดหวั่นสิ่งใดในโลก ก้มหน้าอย่างครุ่นคิดขณะเดิน ใบหน้าหมองคล้ำดําประหลาด ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงกลับจากการไปฝึกหัดกระโดดร่มตามหลักสูตรเพิ่มเติมที่ต่างจังหวัด ด้วยความเป็นห่วงเกรงอันตรายจากรถที่วิ่งผ่านไปมารอบตัวเขา จึงได้ส่งเสียงเรียกชื่อออกไปหลายคํา
ความจริงระยะทางระหว่างตัวเขากับข้าพเจ้ายืนไม่ห่างจากกันนัก เพียงไม่ถึง ๑๐ เมตร เขาน่าจะต้องได้ยิน แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผู้คนที่ป้ายรถหันมามองข้าพเจ้าทุกคน ทําให้รู้สึกอาย จึงหยุดเรียก พร้อมกับนึกตําหนิตัวเองว่า นี่เพราะเป็นห่วงเขาทีเดียวจึงต้องอายจนหน้าชา... ข้าพเจ้าใจหายใจคว่ำในการเดินข้ามลานอนุสาวรีย์ของเขา มองอยู่จนกระทั่งเขาข้ามถึงขอบถนนตรงไปที่ตู้ส่งจดหมาย เขาล้วงจดหมายจากกระเป๋าเสื้อใส่ลงในตู้
พอดีเวลานั้นรถประจําทางสายที่ข้าพเจ้ารออยู่มาถึง ข้าพเจ้าจึงขึ้นรถไปก่อน เข้าใจว่าเดี๋ยวเขาก็คงไปที่หอพัก เพราะว่าวันนี้คนรักเรียนจบ หลังจากรับพระราชทานปริญญาแล้ว จะได้แต่งงานกันเสียที ไม่ต้องนั่งหวาดระแวงกันอยู่อีกต่อไป
เย็นนั้นเมื่อข้าพเจ้ารู้ผลการสอบของตนเองและเพื่อนๆ ว่า เราสอบผ่านกันทุกคน ข้าพเจ้าจบ ๒ ปริญญา เพื่อนคนสวยของข้าพเจ้าจบปริญญาเดียว ต่างคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และต่างจากกันกลับที่พัก ข้าพเจ้ามิได้กลับหอพัก คงกลับไปที่บ้านเพื่อนซึ่งอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้อ่านพบข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า เพื่อนของข้าพเจ้าถูกชายคนรักยิงตาย และฝ่ายชายก็ยิงตัวตายตามไปด้วย ในห้องรับแขกของหอพักในตอนเย็นวันประกาศผลการสอบนั่นเอง โดยฝ่ายหญิงทราบว่าตนเรียนจบแล้วไม่ถึงชั่วโมง ข้าพเจ้ารีบไปที่หอพัก ศพเพื่อนถูกนําไปที่โรงพยาบาลตํารวจเรียบร้อยแล้ว ถามเรื่องราวจากเพื่อนๆ ได้ความว่า ฝ่ายชายซึ่งข้าพเจ้าเห็นอยู่เมื่อวันวาน ซึ่งเป็นวันยิงกันตาย ได้ขอพบอาจารย์หนุ่มผู้นั้นตามลําพังเพื่อทําความตกลง จึงได้ทราบว่าฝ่ายหญิงเปลี่ยนใจ
โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเป็นข่าวครึกโครมมาก วันเกิดเหตุอาจารย์หนุ่มไปให้การบรรยายอยู่ในต่างจังหวัด เมื่อทราบข่าวรีบขึ้นเครื่องบินกลับมา เพื่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านได้นั่งอุ้มศพอยู่จนตลอดคืน หลังงานฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หนุ่มได้บวชเป็นพระภิกษุอุทิศส่วนกุศลให้อยู่หลายเดือน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๓ บทที่ ๒
พิษรัก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: