แดนมหัศจรรย์
เรื่องเทวดาที่พระจันทร์นี่มีเรื่องอยากเล่าเพิ่มสักเล็กน้อย เมื่อครั้งคุณยายอุบาสิกาทองสุก สําแดงปั้น ผู้เป็นกัลยาณมิตรทางธรรมคนแรกของคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงของเรา ยังมีชีวิตอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านใช้ให้คุณยายขึ้นไปสํารวจ ท่านไม่เคยรู้ว่าที่นั่นมีเทวดาอยู่ เมื่อไปถึงเหล่าเทวดาได้พากันมารุมล้อมพูดคุยด้วย ครั้งนั้นสหรัฐอเมริกายังส่งจรวดไปไม่ถึงดวงจันทร์
ทีนี้ข้าพเจ้ารู้สึกขำก็ตรงที่ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑ นี่เอง เด็กสาวที่ข้าพเจ้าเล่าถึงในเรื่องไปดูกําแพงเมืองจีนในหนังสือจากความทรงจํา ฉบับรวมเล่ม เล่มที่ ๑ มาถามข้าพเจ้าว่า
“ป้า ป้า อย่าดุหนูนะคะ หนูเบื่อจังเลยกายเนื้อของหนูเนี่ย ป้าอย่าให้ดูมันอยู่อีกเลย น่าเบื่อจะตายไป หนูชอบเอาใจไปไว้ในกายธรรมมากกว่า วันนั้นพอหนูเอาความรู้สึกทั้งหมดในกายเนื้อของหนูไปไว้ในกายธรรมเรียบร้อยแล้ว หนูก็ไม่อยากเข้ากลางองค์พระเรื่อยไปอย่างที่ป้าสั่ง หนูหนีไปเที่ยว”
เธอหยุดพูด มองหน้าข้าพเจ้า แล้วย้ำข้อความว่า
“ป้าอย่าดุหนูนะไปเที่ยวนิดๆ หน่อยๆ เอง”
“ไปไหนอีกล่ะ” ข้าพเจ้าทําเสียงแข็งเหมือนดุ วางท่าไปยังงั้นแหละ เพราะตัวเองไปไม่ใคร่เก่ง ต้องอยู่ในความควบคุมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน จึงพอไปได้บ้าง ถ้าไปเองก็ไม่ใคร่เชื่อตัวเองนัก จิตของเด็กคนนี้ละเอียดดีกว่าข้าพเจ้า ทําให้ข้าพเจ้าอยากทราบขึ้นมาว่าเธอไปเที่ยวไหน
“ความจริงหนูก็ไม่อยากบอกป้าหรอก แต่ไปมาแล้ว พอออกจากสมาธิหนูก็สงสัยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ก็ไม่รู้จะถามใคร เห็นมีแต่ป้า แต่ป้าสัญญาว่าจะไม่ดุนะคะ” เธอย้ำอีก แล้วจึงบอกด้วย ถามด้วยว่า
“หนูไปเที่ยวที่พระอาทิตย์กับพระจันทร์มา หนูจะถามป้าว่า ทำไมหนูเข้าไปเดินเล่นในดวงอาทิตย์ได้ ไม่เห็นร้อนเลย ทั้งที่ในนั้นมีแต่ของอะไรไม่รู้เหลวๆ ลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่ดวงจันทร์นั้น พอหนูไปถึงมีผู้คนมากมายมาหาหนู แต่เขาสวยกว่าพวกเมืองมนุษย์เรา เครื่องแต่งตัวก็มีมากกว่า แต่ไม่สวยงามเท่าบนสวรรค์สูงๆ”
พูดแล้วก็อธิบายเรื่องเครื่องประดับที่ได้พบมาว่ามีอยู่อย่างไร
“เค้ามาหาหนูทําไม นั่นพวกเทวดาชั้นจาตุม (จาตุมหาราชิกา) ประเภทหนึ่ง เรียกว่าพวก จันทิม-เทพบุตรเทพธิดา เค้าอยู่กันเป็นเมือง เหมือนเมืองเรานั่นแหละ” ข้าพเจ้าอธิบายพร้อมกับรู้สึกทึ่ง ที่ผู้เล่าไม่เคยทราบเรื่องคุณยายทองสุก แต่ไปเห็นมาเหมือนกัน
“เค้ามารุมฟ้องกันว่าพวกมนุษย์ขึ้นมาเหยียบที่อยู่ของเค้าถึงนี่ทีเดียว หนูก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เค้ามาฟ้องทําไม”
เท่าที่ฟังเธอพูดนี่เท่ากับได้มา ๒ คําถาม ทําอย่างไรดีล่ะ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตามเธอไปเสียด้วยซี แต่เพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยมที่เด็กอุตส่าห์ยกย่อง ข้าพเจ้าก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีไปกว่าส่งใจลงสู่ศูนย์กลางกาย เห็นไม่เห็นลงไปก่อน ให้สว่างไสวไว้ก่อน พอได้คําตอบก็ตอบเธอออกไป
“เอาเรื่องพระจันทร์ก่อนนะ” พูดแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ เพราะไปนึกขำเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง
“ป้าหัวเราะอะไรคะ ขำหนูเหรอ” อีกฝ่ายสงสัย
“ไม่ใช่ ขำการกระทําของตัวป้าเอง ป้าเข้าใจความรู้สึกของเทวดาที่อยู่ในโลกพระจันทร์ดีที่สุดเลย เพราะมันเกิดขึ้นกับตัวป้าเองน่ะ” ก่อนเล่าก็ต้องขำต่ออีกหน่อยหนึ่ง
“คืองี้นะ หน้าบ้านป้าน่ะ มีเศรษฐีเค้ามาปลูกบ้านหลังใหญ่เบ้อเร่อเชียว ๒ หลังๆ ละหลายล้าน พื้นบ้านนี่เค้าใช้หินอ่อนอย่างดีเลยปูไว้ แต่ประตูหน้าต่างใส่ไว้แต่วงกบ ยังไม่ได้ใส่กระจก ตอนเช้าเมื่อป้าเปิดประตูมองไปทางบ้านสองหลังนั่น ก็จะมองเห็นพวกหมากลางถนนที่ป้าให้เศษอาหารมันกินบ่อยๆ น่ะ มันหมอบนอนยื่นหน้ามองป้าอยู่ชั้นบนของบ้านโน่น ไอ้ดํา นางแดง อีด่าง ฯลฯ เป็นแถวเชียว เพราะบนบ้านไม่มีคนงานนอนเฝ้า คนงานนอนกันอยู่ในโรงสังกะสีหมด พอป้าเห็นหมาพวกนั้น ป้ารู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ มีความคิดว่า แหม ไอ้เจ้าพวกนี้มันบังอาจจัง นั่นบ้านของคนเค้า ขึ้นไปนอนกันสลอนทีเดียว มิน่าเมื่อคืนวิ่งกันกัดกันอึกทึกโครมคราม แต่ป้าก็ไม่ได้ออกไปส่งเสียงไล่มัน เพราะคิดว่าไม่ใช่บ้านของเราอย่างหนึ่ง อีกอย่างสุนัขพวกนี้มันอาจเพิ่งตายมาจากการเป็นคนในชาติที่แล้ว ยังมีสัญญาความจําได้ว่า บ้านโก้ๆ อย่างนี้น่าอยู่ ให้มันอยู่สักหน่อย มันคงชื่นใจ ขนาดเกิดความเห็นใจอย่างนี้ ก็ยังอดใจไม่ได้ พอช่างผู้คุมงานมาถึงป้าก็ฟ้องทันที ว่าตอนกลางคืนมีอาคันตุกะชนิดใดขึ้นไปนอนชั้นบน ชั้นล่างไม่นอน นายช่างเองก็เพิ่งทราบ คนงานก็ไม่มีใครทราบ เพราะเจ้าสุนัขพวกนี้มันฉลาดจริงๆ พอได้เวลาใกล้ที่คนเหล่านี้จะมาทํางาน มันจะรีบเดินลงมาเป็นแถว หนีไปหมด เป็นอย่างนี้ประจำจนฝ่ายช่างกระจกมาใส่กระจก มันจึงเข้าไม่ได้อีกต่อไป”
แล้วข้าพเจ้าก็วกเข้าเรื่องว่า
“เทวดาเค้าคงหมั่นไส้ไม่พอใจที่มนุษย์เราเอายานอวกาศขึ้นไปถึงที่เค้าอยู่ เหมือนที่ป้าหมั่นไส้เจ้าหมาพวกนั้นไงล่ะ มันเกินฐานะนี่ เป็นมนุษย์สะเออะไปเที่ยวถึงถิ่นเทวดา” ข้าพเจ้าพูด
“ก็หนูก็เป็นมนุษย์พวกเดียวกันเหมือนกัน เค้าไม่หมั่นไส้หนูเหรอคะ” เธอถามซ้ำ
“ใครบอก หนูไม่ได้เอากายมนุษย์ขึ้นไปสักหน่อย หนูเอากายอะไรไป” ข้าพเจ้าย้อนถาม
“อ้อ จริงซีคะ หนูเอากายธรรมไป ไม่ใช่กายมนุษย์” อีกฝ่ายนึกได้รีบตอบ
“กายธรรมนั้นสวยงามประณีตละเอียดกว่ากายทิพย์ พอเทวดาเค้าเห็นเข้า เค้ารู้ทันทีเลยว่า นี่เป็นคนมีบุญกว่าเค้า เค้าจึงมารุมฟ้อง เหมือนนักเรียนฟ้องครูไง” ข้าพเจ้าขยายความ
“อีกคําถามนึงป้าอย่าลืม ทําไมพระอาทิตย์ไม่ไหม้หนู เวลาหนูเข้าไปเดินเที่ยว แล้วหนูก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ร้อนเลย” เธอไม่ลืมคําถามที่ยังค้างอยู่
“ของทุกอย่างมีหยาบละเอียดต่างกัน ของหยาบผ่านของละเอียดไม่ได้ แต่ของละเอียดผ่านของหยาบได้ ตัวอย่างเช่น กรวดหิน ดินทรายกับน้ำ อะไรหยาบละเอียดกว่ากัน” อธิบายแบบยกตัวอย่าง
“น้ำก็ต้องละเอียดกว่าซีคะ” เธอตอบ
“ถ้าเราเทน้ำลงในของพวกนี้ น้ำจะผ่านไปได้มั้ย”
“ได้ค่ะ” พอเธอตอบดังนั้น ข้าพเจ้าก็ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เกรงเธอจะเข้าใจไม่พอ
“ฝาผนังปูนซีเมนต์ที่เห็นกันอยู่นี่ กับน้ำอะไรละเอียดกว่า หรือถุงพลาสติกนี่ก็ได้กะน้ำน่ะ”
“แผ่นซีเมนต์ หรือถุงพลาสติกก็ต้องละเอียดกว่า น้ำจึงผ่านไม่ได้” เธอตอบตามไปอย่างเข้าใจ
“เอาละนะ คราวนี้ค่อยคิดให้ดี เปลวไฟกับแสงสว่างที่เราฉายจากไฟฉายหรือโคมไฟอะไรก็ตาม อะไรหยาบอะไรละเอียดกว่ากัน” ตัวอย่างนี้ยากขึ้นเป็นพิเศษ ทําให้อีกฝ่ายต้องครุ่นคิด ที่สุดก็ตอบ
“มันผ่านกันได้ทั้งสองอย่างนี่คะ เอาเปลวไฟไปลนตรงแสงสว่างก็ได้ แสงไม่หายไป เอาแสงสว่างไปฉายผ่านเปลวไฟก็ได้”
“ใช่จ้ะ มันละเอียดพอกันมันก็ผ่านกันได้ มันก็ไม่ทําลายกันด้วย กายธรรมละเอียดเท่าหรือละเอียดกว่าเปลวความร้อนของพระอาทิตย์ กายธรรมก็ผ่านเข้าไปได้ไม่ร้อนด้วย”
ยกตัวอย่างแล้ว อีกฝ่ายบอกว่าเข้าใจเลยเป็นอันใช้ได้ คงเข้าใจกระทั่งว่า กายธรรมก็ต้องละเอียดกว่าความร้อนไปด้วยเสียเลย เลยผ่านเข้าไปกันได้ ไม่ไหม้ไฟ
ต่อจากนั้นข้าพเจ้ายังถามเธอต่อไปอีกว่า
“ในพระอาทิตย์ที่หนูเห็น นอกจากของเหลวลุกเป็นไฟแล้ว เห็นอะไรเพิ่มจากนั้นอีกบ้างล่ะ”
เธอตอบว่า “เปล่าคะป้า หนูไม่ได้เดินดูอะไรอีกเลย มีความรู้สึกว่ามันไม่น่าเที่ยวสักนิด มีแต่ไฟเต็มไปหมด ถึงหนูจะเดินเข้าไปได้โดยไม่ร้อนเลย ก็ไม่มีอารมณ์จะเดินเที่ยวเล่นสํารวจดูโน่นดูนี่หรอกค่ะ ป้าอย่าบอกนะคะว่าในพระอาทิตย์ก็มีเทวดาอยู่เหมือนโลกพระจันทร์”
“บอกซี กําลังจะบอกอยู่นี้ไง ที่นั้นก็มีเทวดาชั้นจาตุม (จาตุมหาราชิกา ) อยู่นะ เหมือนโลกพระจันทร์นั่นแหละ ป้าไม่เคยไปเที่ยวหรอก เคยได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อพาพวกได้กายธรรมแล้วไปเที่ยวน่ะ นอกจากนั้นในตําราทางศาสนาก็เขียนบอกไว้ว่ามีเทวดาอยู่ เรียกเทวดาเหล่านี้ว่า สุริยเทพ อยู่กันเป็นเมืองทีเดียวแหละค่ะ ไม่ใช่อยู่องค์เดียว”
เห็นเธออ้าปากจะถาม ข้าพเจ้าชิงตอบเสียก่อนว่า
“ไม่ต้องสงสัยอีกนะว่า เทวดาอยู่ในไฟได้อย่างไงล่ะ ก็ตัวหนูยังใช้กายธรรมเข้าไปดูได้ ไฟไม่ไหม้ กายเทวดาแม้จะไม่ละเอียดเท่ากายธรรม แต่ก็ละเอียดกว่าไฟอยู่ดี ไฟทําอะไรไม่ได้ เขาก็อยู่กันอย่างสบายๆ ด้วยความเคยชินอย่างที่เราอยู่ในโลกของเรา พอพูดเรื่องนี้ ป้าก็นึกต่อไปได้อีกตัวอย่างหนึ่ง แม้แต่ผู้คนในโลกเดียวกับเราก็ยังมีความสามารถในการอยู่อาศัยต่างกัน
อย่างเรายังงี้ ให้ไปอยู่ขั้วโลกเหนือหรือใต้ ที่มีน้ำแข็งคลุมพื้นดินตลอดปีตลอดชาติ เราก็คงแย่ หรือให้ไปอยู่บ้านเมืองตรงเส้นศูนย์สูตรอากาศร้อนจัดกระทั่งวางอ่างน้ำใส่ไข่ดิบไว้กลางแดด สักครู่ไข่ก็สุก เราก็อยู่ไม่ได้ ส่วนผู้คนที่เขาเกิดกันอยู่ที่นั่น เขากันอยู่อย่างสบายๆ ใช่มั้ย นี่ขนาดกายมนุษย์หยาบเหมือนกันนะ ไม่ใช่กายละเอียดอย่างเทวดา ยังมีความสามารถต่างกันเลย” ฟังแล้วเธอก็พูดขึ้นว่า
“แหม หนูถามป้าไว้ก่อนก็ดีซี จะได้ไปเดินสํารวจเสียให้ทั่ว”
“ไปใหม่อีกก็ได้นี่ อย่าลืมที่ป้าเคยเตือนนะ ธรรมะมีไว้ปฏิบัติเพื่อละกิเลส ถ้าชอบไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ก็ต้องไปอย่างให้ได้ประโยชน์ คือ ดูแล้วให้เห็นความไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ล้วนแต่เป็นทุกข์คงสภาพเดิมไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไป ดูแล้วให้เบื่อหน่าย หมดความอยากที่จะไปอยู่ที่นั่น ดูแล้วคิดอย่างนี้จึงจะได้ปัญญา การเที่ยวดูอะไรต่อมิอะไร แม้จะคิดอย่างที่ป้าบอกแล้ว มันก็ยังเป็นการกําจัดกิเลสโดยอ้อมอยู่ดี ถ้าให้ตรงจริงๆ ต้องพิจารณากายในกายต่างๆ ของตัวเองด้วยหลักอริยสัจจะนั่นต่างหาก”
เรื่องการปฏิบัติธรรมนี้ ข้าพเจ้าใคร่ทําความเข้าใจสักเล็กน้อย ผลของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมีความคล่องและชัดเจนมาก บางคนก็น้อย ขึ้นชื่อว่าเห็นธรรมะแล้ว จะให้รู้เห็นอะไรๆ แจ่ม-แจ้งเหมือนกันเปี๊ยบทุกคนไม่ได้ เหมือนนักเรียนที่เรียนหนังสือในห้องเรียนห้องหนึ่งๆ ยังเรียนเก่งเรียนอ่อนแตกต่างกัน การปฏิบัติธรรมก็เป็นทํานองเดียวกัน แล้วแต่คุณภาพของจิตหรือเรียกตามภาษาทางธรรมว่า ธาตุธรรมเฉพาะตน
เรื่องการใช้กายธรรมไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ดูโน่นดูนี่ แล้วก็ไปดูเอาเองนั้นมีอันตรายหลายอย่าง ถ้ายังปฏิบัติไม่เชี่ยวชาญแล้ว ไม่ควรไปดูเอง ควรมีครูบาอาจารย์ควบคุมให้คําแนะนํา มีสิ่งใดผิดปกติจะได้แก้ไขทันเหตุการณ์ ตัวอย่างของอันตราย เช่น
ถ้าถอดกาย คือ เอาความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด รวมทั้งความรู้สึกทางประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอยู่ในกายธรรม แล้วปล่อยกายเนื้อทิ้งไว้ในที่ไม่สมควร ไม่มีการดูแลรักษา อาจถูกภัยต่างๆ จากธรรมชาติ เช่น ฝนตก ไฟลามมาไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ ให้เป็นอันตราย ถูกสัตว์ร้ายบางอย่าง เช่น เสือ สิงโต หมาป่า หมาจิ้งจอกมากัดกิน ที่น่ากลัวมาก อีกประการหนึ่งคือ อาจมีสัมภเวสี กายละเอียด ผู้ที่สิ้นชีวิตแล้ว ที่เราเรียกกันในชื่อว่า วิญญาณพเนจร มาพบเข้า สิงเข้าไปอยู่ในร่างแทน ร่างของเราก็จะกลายเป็นคนอื่นไป พูดกับคนที่เคยรู้จักเดิมไม่รู้เรื่อง จำญาติพี่น้องไม่ได้ ใครๆ จึงลงมติว่า เรียนกรรมฐานจนเป็นบ้า เวลาเราจะถอดเห็นจําคิดรู้จากกายธรรมกลับมากายหยาบก็กลับไม่ได้ เพราะร่างถูกผู้อื่นยึดครองไปเสียแล้ว เราจึงเลยต้องตายจริงๆ ไปเสียเลย หรือบางทีแม้ไม่มีใครทําอันตรายร่างของเรา เพราะเจริญภาวนาอยู่ในบ้าน มีภุมมเทวดาดูแลรักษา (ชาวบ้านเรียกพระภูมิเจ้าที่) แต่เราอาจใช้อำนาจของกายธรรมไปทํางานที่ไม่สมควรอย่างอื่น พลอยให้เกิดโทษ ข้าพเจ้าจะเล่าเรียนตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่ง
ลูกศิษย์ชายคนหนึ่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออายุเวลานี้ (ปี ๒๕๓๒) ๓๖ ปี อยู่ทางภาคใต้ ทํางานบริษัทเหมืองแร่ ปฏิบัติธรรมได้ผลดีมาก คล่องและชํานาญจนได้รับอนุญาตจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้เป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนผู้คนในจังหวัดนั้น ท่านผู้นั้นได้รับเด็กๆ ให้มาปฏิบัติธรรมที่บ้านท่านหลายคน มีเด็กเข้าถึงพระธรรมกายกัน ๗-๘ คน ในจํานวนนั้นมีลูกข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ ๒ คน
เย็นวันหนึ่ง ผู้เป็นครูเห็นลูกศิษย์ของตนจิตใจผ่องใสมาก ขณะปฏิบัติธรรม จึงให้ตามไปดูนรกขุมโน้นขุมนี้เพื่อทดสอบญาณ (ปัญญา) ของเด็กๆ ด้วย และให้เป็นที่อัศจรรย์ใจของพวกผู้ใหญ่ที่ยังปฏิบัติไม่ได้ผลไปในตัว ให้เกิดความกระตือรือร้นสนใจตั้งใจเอาจริงเอาจังกันขึ้นมา เมื่อเลิกแล้วก่อนจากกัน ครูลืมกําชับบอกลูกศิษย์ห้ามเอาพระธรรมกายไปเที่ยวในที่ต่างๆ
ตีสองคืนนั้นเอง ข้าราชการผู้ใหญ่คนนั้นพาลูกสองคนของเขามาพบ ระล่ำระลักบอกว่า
“ท่านอาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย เด็กสองคนนี่เป็นโรคอะไรไม่รู้ ร่ำร้องแต่ว่าร้อนจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ดิ้นทุรนทุราย พาไปหาหมอก็ตรวจไม่พบอาการไข้ หมอก็ไม่รู้จะรักษาอย่างไร แกสองคนก็ดิ้นเร่า ๆ
ผมเอาตัวแกแช่ในอ่างอาบน้ำก็ไม่หาย
เอาน้ำแข็งก้อนโตๆ ห่อผ้าเช็ดไปทั่วตัวก็ไม่หาย เป็นอะไรครับ!”
ผู้เป็นครูฟังแล้วก็หลับตาทําสมาธิจิต ก็รู้เรื่องตลอด ถามเด็กให้แน่ใจว่า
“หนู ๒ คน หนีไปเที่ยวนรกกันเองซี ใช่มั้ย”
“ครับ ผมไปกับน้องสองคนครับ”
“ไปทําอะไรกันมามั่ง บอกอาจารย์ให้หมดเร็วๆ เข้า” ผู้เป็นครูซักไซ้ตรวจสอบว่าจะตรงกับที่ตนเห็นในสมาธิหรือไม่
“ผมกับน้องสงสารสัตว์นรกเค้าครับ ไฟลุกไหม้ตัวพวกเค้าอยู่ตลอดเวลา ผมเลยอธิษฐานใช้กายธรรมของผมดับไฟนรกให้ ทําแค่นี้เองครับ พอออกจากสมาธิเราสองคนก็ร้อนไม่รู้จะทําอย่างไรเลยครับ”
ฝ่ายครูก็ทําสมาธิลงไปที่นรกขุมนั้นทันที พบกับพญายมราชเข้า ถูกต่อว่า
“เด็กสองคนนั่นซุกซนนัก มาก้าวก่ายการทํางานในนรกได้ยังไง สัตว์นรกต้องรับกรรมที่ตนเองก่อไว้ ใครๆ ก็ไม่มีอํานาจมาเปลี่ยนแปลง แค่ไฟนรกดับให้ในเวลาที่กายธรรมลงมาเยี่ยมนรกแค่นั้นก็ดีถมไปแล้ว จะมาอธิษฐานให้ไฟดับตลอดไปไม่ได้ เดี๋ยวเลยไม่ใช่นรกไปเสีย เราบันดาลให้รู้สึกเร่าร้อนตามตัวเพื่อจะอบรมสั่งสอนเท่านั้นต่อไปอย่ามาทําอีก”
รู้ต้นสายปลายเหตุถี่ถ้วนแล้ว ผู้เป็นครูก็ให้ลูกศิษย์ทั้งคู่ทําสมาธิ พากันไปขอขมาลาโทษพญายมราชท่านที่โน่น แค่นั้นเอง โรคตัวเร่าร้อนก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ต้องรักษา ตั้งแต่นั้นครูก็สั่งห้ามปราม ห้ามพวกได้กายธรรมทุกคนไปเที่ยวที่โน่นที่นี่เองเป็นอันขาด ไปไหนต้องให้ครูเป็นคนพาไป
ขอแถมท้ายอีกสักนิด คนที่ชอบเที่ยวเองในทางสมาธินี่ ข้าพเจ้าได้รับฟังคําบอกเล่าจากเจ้าตัวบ่อยๆ ส่วนใหญ่ไปเที่ยวเพลิดเพลิน กลับมาหาร่างที่ถอดไว้ไม่ถูก หาไม่เห็น ต้องแก้ปัญหากันตามที่คิดได้ รายหนึ่งเล่าว่า
“วันหนึ่ง ดิฉันถอดกายออก ไม่ถึงกายธรรมด้วยซ้ำ ถอดแค่กายฝัน คือ กายมนุษย์ละเอียดเท่านั้น ทิ้งร่างตัวเองนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนอน ดิฉัน (กายฝัน) ก็เดินลงบันไดไป พอเดินพ้นหน้าบ้านก็มีทางเดินยาวไปข้างหน้าสองข้างทางสวยงามเหลือเกิน มีต้นไม้ใบหญ้าสีสวยๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ดอกไม้ที่รู้จักอยู่ก็มีนะอย่างดอกกุหลาบยังดอกโตเท่าชามแกงใบใหญ่ๆ กําลังแย้มบานทุกดอก มีสีสันต่างๆ หอมกว่ากุหลาบที่มีอยู่ ในโลกของเรา เดินชมไปได้สักพักใหญ่ หันหลังกลับก็มองไม่เห็นบ้าน เลยยืนงงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะกลับยังไง”
“อ้าว! ตายจริง หลงไปเที่ยวภูมิไหนกันเล่าเนี่ย สงสัยสวรรค์ชั้นเตี้ยๆ ที่อยู่ใกล้ๆ มนุษย์นี่แหละ มองไม่เห็นผู้คนเลยหรือ ตกใจแล้วทำไงล่ะ” ข้าพเจ้าถาม ด้วยความอยากรู้เต็มที่เหมือนกัน
“ดิฉันกลับไม่ถูก ตกใจเลยนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านร้องเรียกท่านเสียงหลงเลยคุณ ดิฉันเรียกว่าหลวงพ่อเจ้าขา หลวงพ่อเจ้าขา มาช่วยลูกด้วย ลูกกลับบ้านไม่ถูกแล้ว หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
“แล้วไง เล่าเร็วหน่อยชี” ข้าพเจ้าเร่งใหญ่เพราะอยากรู้ต่อ
“ดิฉันก็เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน (พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยภิกขุ) อยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธินี่แหละลอยมา พอเห็นเท่านั้นแหละคุณนะ ชั้นวิ่งแจ้นไปหาทันที พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ลอยนําหน้า วิ่งตามมาสักครู่ก็เห็นบ้าน เลยเข้าบ้านไปที่ห้องนอนของตัวเองได้” ฟังแล้วโล่งอกไปที ฝ่ายนั้นยังเล่าเพิ่มเติมว่า
“ตั้งแต่วันนั้นเข็ดมาตลอดเลย ไม่กล้าถอดกายไปเที่ยวไหนอีก พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้เข้ากลางอย่างเดียว ก็เข้ากลางอย่างเดียว หายสงสัยเลยว่าทําไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งห้ามพวกเรานักว่า อย่าไปเที่ยวที่ไหนๆ เวลาไปต้องให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อคุมไป มันมีอันตรายยังงี้เอง อย่างชั้นนี่ไปแล้วเกือบกลับไม่ได้ เออนี่ถ้ากลับไม่ถูก มันจะเป็นยังไงเนี่ย”
“จะเป็นยังไง กายเนื้อที่เตียงมันก็เป็นเจ้าหญิงนิทราน่ะซี้ หลายวันเข้ามันก็ตายเน่าไปเลย”
ข้าพเจ้าขู่สําทับตามไป มีบางรายกําลังเดินเที่ยวเพลินโดยวิธีเดียวกันอย่างนี้แหละ เจ้าหน้าที่ทางยมโลกมาพบเข้า เขาพากันวิ่งไล่จับ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เรียกพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยลั่นไปอีกเหมือนกันจึงเข้าร่างได้
การถอดกาย ถ้าไม่ถอดระดับกายธรรม ถอดกันในระดับกายฝันแล้ว จะมีอันตรายเต็มไปหมดอย่างนี้ ถ้าจะถามว่ารายสุดท้ายนี่ ถ้าเจ้าหน้าที่ยมโลกจับตัวได้ เขาจะพาไปไหน ก็ต้องตอบว่า เขาก็พาไปที่ยมโลกไปเปิดบัญชีอายุของเราดู ยังไม่ถึงกําหนดก็จะส่งตัวกลับคืนร่างเดิม ทำให้เขาทํางานเพิ่มขึ้นยุ่งยากเปล่าๆ
ถอดกายเที่ยวแบบนี้ ให้ถอดไปบ่อยแค่ไหนก็ไม่ได้บุญเพิ่ม เพราะไม่ได้พิจารณาให้เกิดปัญญาแต่ประการใด ดีไม่ดีกิเลสเพิ่มหนักขึ้นไปอีก เพราะไปหลงใหลสิ่งที่ได้พบเห็น อยากได้เป็นของตนเองบ้าง อยากเอามาเมืองมนุษย์บ้าง อยากไปอยู่ที่โน่นเสียเลยบ้าง
เห็นจะมีดีอยู่หน่อยก็ตรงที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ภพภูมิเบื้องหน้านั้นมีอยู่จริงไม่ใช่ตายแล้วสูญ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ตราบนั้นเมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับกรรมที่ทําเอาไว้ยามมีชีวิตอยู่ทำบาปก็เกิดในที่ไม่ดี ทําบุญก็ได้เกิดในที่ดีขึ้นมาหน่อย
จะไปเที่ยวโลกไหนๆ ก็ไม่ดีเหมือนเที่ยวอยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต และในธรรมที่มีอยู่ในตนเอง เพราะเที่ยวพิจารณาของในตัวอย่างนี้ กิเลสมันจะลดลงๆ
ผู้เป็นครูฟังแล้วก็หลับตาทําสมาธิจิต ก็รู้เรื่องตลอด ถามเด็กให้แน่ใจว่า
“หนู ๒ คน หนีไปเที่ยวนรกกันเองซี ใช่มั้ย”
“ครับ ผมไปกับน้องสองคนครับ”
“ไปทําอะไรกันมามั่ง บอกอาจารย์ให้หมดเร็วๆ เข้า” ผู้เป็นครูซักไซ้ตรวจสอบว่าจะตรงกับที่ตนเห็นในสมาธิหรือไม่
“ผมกับน้องสงสารสัตว์นรกเค้าครับ ไฟลุกไหม้ตัวพวกเค้าอยู่ตลอดเวลา ผมเลยอธิษฐานใช้กายธรรมของผมดับไฟนรกให้ ทําแค่นี้เองครับ พอออกจากสมาธิเราสองคนก็ร้อนไม่รู้จะทําอย่างไรเลยครับ”
ฝ่ายครูก็ทําสมาธิลงไปที่นรกขุมนั้นทันที พบกับพญายมราชเข้า ถูกต่อว่า
“เด็กสองคนนั่นซุกซนนัก มาก้าวก่ายการทํางานในนรกได้ยังไง สัตว์นรกต้องรับกรรมที่ตนเองก่อไว้ ใครๆ ก็ไม่มีอํานาจมาเปลี่ยนแปลง แค่ไฟนรกดับให้ในเวลาที่กายธรรมลงมาเยี่ยมนรกแค่นั้นก็ดีถมไปแล้ว จะมาอธิษฐานให้ไฟดับตลอดไปไม่ได้ เดี๋ยวเลยไม่ใช่นรกไปเสีย เราบันดาลให้รู้สึกเร่าร้อนตามตัวเพื่อจะอบรมสั่งสอนเท่านั้นต่อไปอย่ามาทําอีก”
รู้ต้นสายปลายเหตุถี่ถ้วนแล้ว ผู้เป็นครูก็ให้ลูกศิษย์ทั้งคู่ทําสมาธิ พากันไปขอขมาลาโทษพญายมราชท่านที่โน่น แค่นั้นเอง โรคตัวเร่าร้อนก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ต้องรักษา ตั้งแต่นั้นครูก็สั่งห้ามปราม ห้ามพวกได้กายธรรมทุกคนไปเที่ยวที่โน่นที่นี่เองเป็นอันขาด ไปไหนต้องให้ครูเป็นคนพาไป
ขอแถมท้ายอีกสักนิด คนที่ชอบเที่ยวเองในทางสมาธินี่ ข้าพเจ้าได้รับฟังคําบอกเล่าจากเจ้าตัวบ่อยๆ ส่วนใหญ่ไปเที่ยวเพลิดเพลิน กลับมาหาร่างที่ถอดไว้ไม่ถูก หาไม่เห็น ต้องแก้ปัญหากันตามที่คิดได้ รายหนึ่งเล่าว่า
“วันหนึ่ง ดิฉันถอดกายออก ไม่ถึงกายธรรมด้วยซ้ำ ถอดแค่กายฝัน คือ กายมนุษย์ละเอียดเท่านั้น ทิ้งร่างตัวเองนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนอน ดิฉัน (กายฝัน) ก็เดินลงบันไดไป พอเดินพ้นหน้าบ้านก็มีทางเดินยาวไปข้างหน้าสองข้างทางสวยงามเหลือเกิน มีต้นไม้ใบหญ้าสีสวยๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ดอกไม้ที่รู้จักอยู่ก็มีนะอย่างดอกกุหลาบยังดอกโตเท่าชามแกงใบใหญ่ๆ กําลังแย้มบานทุกดอก มีสีสันต่างๆ หอมกว่ากุหลาบที่มีอยู่ ในโลกของเรา เดินชมไปได้สักพักใหญ่ หันหลังกลับก็มองไม่เห็นบ้าน เลยยืนงงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะกลับยังไง”
“อ้าว! ตายจริง หลงไปเที่ยวภูมิไหนกันเล่าเนี่ย สงสัยสวรรค์ชั้นเตี้ยๆ ที่อยู่ใกล้ๆ มนุษย์นี่แหละ มองไม่เห็นผู้คนเลยหรือ ตกใจแล้วทำไงล่ะ” ข้าพเจ้าถาม ด้วยความอยากรู้เต็มที่เหมือนกัน
“ดิฉันกลับไม่ถูก ตกใจเลยนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านร้องเรียกท่านเสียงหลงเลยคุณ ดิฉันเรียกว่าหลวงพ่อเจ้าขา หลวงพ่อเจ้าขา มาช่วยลูกด้วย ลูกกลับบ้านไม่ถูกแล้ว หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
“แล้วไง เล่าเร็วหน่อยชี” ข้าพเจ้าเร่งใหญ่เพราะอยากรู้ต่อ
“ดิฉันก็เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน (พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยภิกขุ) อยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธินี่แหละลอยมา พอเห็นเท่านั้นแหละคุณนะ ชั้นวิ่งแจ้นไปหาทันที พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ลอยนําหน้า วิ่งตามมาสักครู่ก็เห็นบ้าน เลยเข้าบ้านไปที่ห้องนอนของตัวเองได้” ฟังแล้วโล่งอกไปที ฝ่ายนั้นยังเล่าเพิ่มเติมว่า
“ตั้งแต่วันนั้นเข็ดมาตลอดเลย ไม่กล้าถอดกายไปเที่ยวไหนอีก พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้เข้ากลางอย่างเดียว ก็เข้ากลางอย่างเดียว หายสงสัยเลยว่าทําไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งห้ามพวกเรานักว่า อย่าไปเที่ยวที่ไหนๆ เวลาไปต้องให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อคุมไป มันมีอันตรายยังงี้เอง อย่างชั้นนี่ไปแล้วเกือบกลับไม่ได้ เออนี่ถ้ากลับไม่ถูก มันจะเป็นยังไงเนี่ย”
“จะเป็นยังไง กายเนื้อที่เตียงมันก็เป็นเจ้าหญิงนิทราน่ะซี้ หลายวันเข้ามันก็ตายเน่าไปเลย”
ข้าพเจ้าขู่สําทับตามไป มีบางรายกําลังเดินเที่ยวเพลินโดยวิธีเดียวกันอย่างนี้แหละ เจ้าหน้าที่ทางยมโลกมาพบเข้า เขาพากันวิ่งไล่จับ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เรียกพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยลั่นไปอีกเหมือนกันจึงเข้าร่างได้
การถอดกาย ถ้าไม่ถอดระดับกายธรรม ถอดกันในระดับกายฝันแล้ว จะมีอันตรายเต็มไปหมดอย่างนี้ ถ้าจะถามว่ารายสุดท้ายนี่ ถ้าเจ้าหน้าที่ยมโลกจับตัวได้ เขาจะพาไปไหน ก็ต้องตอบว่า เขาก็พาไปที่ยมโลกไปเปิดบัญชีอายุของเราดู ยังไม่ถึงกําหนดก็จะส่งตัวกลับคืนร่างเดิม ทำให้เขาทํางานเพิ่มขึ้นยุ่งยากเปล่าๆ
ถอดกายเที่ยวแบบนี้ ให้ถอดไปบ่อยแค่ไหนก็ไม่ได้บุญเพิ่ม เพราะไม่ได้พิจารณาให้เกิดปัญญาแต่ประการใด ดีไม่ดีกิเลสเพิ่มหนักขึ้นไปอีก เพราะไปหลงใหลสิ่งที่ได้พบเห็น อยากได้เป็นของตนเองบ้าง อยากเอามาเมืองมนุษย์บ้าง อยากไปอยู่ที่โน่นเสียเลยบ้าง
เห็นจะมีดีอยู่หน่อยก็ตรงที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ภพภูมิเบื้องหน้านั้นมีอยู่จริงไม่ใช่ตายแล้วสูญ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ตราบนั้นเมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับกรรมที่ทําเอาไว้ยามมีชีวิตอยู่ทำบาปก็เกิดในที่ไม่ดี ทําบุญก็ได้เกิดในที่ดีขึ้นมาหน่อย
จะไปเที่ยวโลกไหนๆ ก็ไม่ดีเหมือนเที่ยวอยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต และในธรรมที่มีอยู่ในตนเอง เพราะเที่ยวพิจารณาของในตัวอย่างนี้ กิเลสมันจะลดลงๆ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๓ บทที่ ๕
แดนมหัศจรรย์
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:22
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: