หลงกลิ่นป่า
ข้างหลังบ้านพักหลังปัจจุบันของข้าพเจ้า
เป็นเรือนไม้สองชั้นอายุ ๒๘ ปี ค่อนข้างเก่า เคยใช้เป็นเรือนหอของข้าพเจ้าในอดีต
ต่อมาเมื่อได้สร้างบ้านหลังที่สองเสร็จ อยู่ติดถนนในซอยสามารถจอดรถเข้า ออกได้สะดวกกว่าหลังแรกซึ่งไม่มีถนนเข้าถึงบ้าน
ข้าพเจ้ากับครอบครัวจึงย้ายไปอยู่หลังที่สอง หลังแรกก็ให้คนเช่า กระทั่งปี ๒๕๒๙
เจ้าของสวนซึ่งติดกับบ้านหลังแรกได้ถมที่เปลี่ยนจากสวนเป็นสร้างบ้านหลังใหญ่ๆ ขาย
ทําให้บ้านหลังนั้นของข้าพเจ้ามีน้ำขังเฉอะแฉะเพราะพื้นที่ต่ำกว่า
เมื่อบ้านจัดสรร ๑๓ หลังนั้นเริ่มการก่อสร้าง ข้าพเจ้าเดินเข้าไปดูบ้านหลังเก่าแล้วรําพึงในใจ
“แหม... บ้านหลังที่สองเนี่ย
ตรงกับบ้านเรือนหอของเราพอดี ถ้าซื้อเป็นของเราได้
เราก็จะเจาะรั้วให้ทะลุต่อเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ทีนี้รถก็เข้าถึงที่ดินแปลงเก่าได้
ราคาที่ก็สูงขึ้นตามไปด้วย แต่ราคาบ้านมันก็สูงลิบลิ่ว
ขาดอยู่ไม่กี่หมื่นก็ถึงล้านบาท เราจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อ เงินที่ได้มาแต่ละเดือนก็ใช้บ้าง
ทําบุญบ้าง ไม่มีเหลือเก็บอยู่เลย เฮ้อ...เฮ้อ... อยากได้จัง...อยากได้จัง”
ข้าพเจ้าคิดอยากได้แล้วก็ถอนใจเสียยืดยาวหลายครั้ง
เดินจากที่นั่นไป และไม่ได้มาดูการก่อสร้างตรงนั้นอีกเลย ไม่ใช่ไม่อยากดู
แต่แท้ที่จริงแล้วบ้านทั้ง ๑๓ หลังนั้นปลูกน่าดูน่าอยู่มาก ใช้วัสดุอย่างดี
ราคาแพง แบบบ้านแต่ละหลังภูมิฐาน
บรรยากาศเงียบสงบเพราะเป็นซอยตัน รถเข้าออกไม่พลุกพล่าน ที่ไม่อยากดูเพราะกลัวใจคิดอยากได้
พออยากได้แล้วไม่มีหนทางได้มา กลับเห็นคนอื่นซื้อได้แล้วอยู่แทน ใจก็จะเป็นทุกข์เสียใจ
สู้ไม่เห็น ไม่ดู ไม่รู้เสียเลยดีกว่า หมดเรื่องหมดราวไป นี่เป็นอุบายแก้ทุกข์อย่างง่ายๆ
วิธีหนึ่งของข้าพเจ้า รู้ว่าถ้าต้องเห็นต้องพบอะไรแล้วไม่สบายใจก็หนีไปให้ห่างๆ
เอาไว้ก่อน
ผู้คนมาดูบ้านสวยๆ ทั้ง ๑๓ หลังนั้นวันละหลายๆ ราย แล้วก็จองกันไป
ซื้อกันไป จนสํานักงานขายชั่วคราวหมดความจําเป็นถูกรื้อทิ้ง
เวลาผ่านไปหลังจากการก่อสร้างเสร็จไปปีเศษๆ แล้ว วันหนึ่งข้าพเจ้ามีความจําเป็นจะต้องติดต่อธุระบางเรื่องกับคนเช่าบ้าน ครั้นจะเดินอ้อมไปอีกซอยหนึ่งเพื่อเข้าทางหน้าบ้านก็เป็นระยะทางไกลถึง
๖-๗ ร้อยเมตร แต่ถ้าเข้าไปทางบ้านจัดสรร ระยะทางใกล้แค่ ๖-๗ สิบเมตรเท่านั้นเอง ประกอบกับบ้านเหล่านั้น
แม้ถูกจองถูกซื้อไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่เจ้าของยังไม่มีใครมาอยู่
ข้าพเจ้าจึงใช้เก้าอี้หนุนเท้าพูดข้ามกําแพงรั้วตรงบ้านหลังที่สองซึ่งตรงกับบ้านของข้าพเจ้า
เมื่อพูดธุระเสร็จเรียบร้อย เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกจ้างของอีกบ้านหนึ่งอยู่ติดกัน
เดินมาพูดกับข้าพเจ้า
“บ้านไม้หลังเก่าๆ นั้นเป็นของคุณป้าเหรอคะ”
เมื่อข้าพเจ้ารับคํา เธอก็พูดต่อไปว่า
“คุณป้าซื้อบ้านหลังนี้เลยซีคะมันตรงกันดีออก จะได้เจาะรั้วทะลุถึงกันเลย
บ้านหลังนี้ (หลังที่สอง) แปลกจริงๆ ค่ะ ใครๆ มาจองซื้อ ขนาดนัดวางเงินกันแล้ว
ยังมีเหตุให้ต้องล้มเลิกกันไปทุกรายๆ เลยค่ะ คนจองก็บ่นเสียดายกันทุกคนเลย แต่พวกเค้าก็มีอะไรต่ออะไรขัดข้องกันทั้ง
๔-๕ รายเลยค่ะ สงสัยว่าเค้าคงไม่ใช่เจ้าของนะคะ เลยซื้อไม่สำเร็จ”
“โฮ้ย ป้าไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนซื้อหรอกจ้ะ เหยียบล้านยังงี้” ข้าพเจ้าตอบตามจริง
“ป้าก็กู้ธนาคารซีคะ ทางบริษัทเค้าจัดการให้เสร็จ แล้วป้าก็เอาบ้านที่อยู่โน่นให้คนเช่า
เอาค่าเช่าผ่อนส่งแบงค์” เธอแนะนําเสียเสร็จดูราวกับว่าต้องการให้ข้าพเจ้ามาอยู่ใกล้บ้านเธอเต็มที่
ความจริงข้าพเจ้าชอบอาศัยอยู่ในบ้านตึกหลังที่สองซึ่งพำนักอยู่ในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะปลูกออกแบบไว้ในลักษณะห้องแถว ๓ คูหาสองชั้น แต่ก็กว้าง โดยเฉพาะหลังบ้านมีต้นไม้ร่มรื่น
มีทั้งต้นมะพร้าว ชมพู่ มะม่วง ขนุน และไม้ประดับอีกเป็นดง ส่วนใหญ่เป็นไม้หอม เช่น
ชมนาด มะลิ ต้นแก้ว กระทั่งว่านกอใหญ่ๆ ดอกสีขาวกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายน้ำหอมฝรั่งบางชนิด
รวมทั้งกล้วยไม้แขวนไว้หลายสิบกระถาง ออกดอกเป็นช่อบ้าง เป็นพวงบ้าง กระทั่งเป็นดอกเดี่ยวๆ
เช่น แคทลียาก็มี
โดยเหตุที่ข้าพเจ้ามีพื้นเพเดิมเป็นคนบ้านนอก เรียกให้ไพเราะหน่อยก็เรียกว่าคนชนบท
เคยอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ภูเขา แม่น้ำ ต้นหมากรากไม้
พอมาอยู่ในเมืองก็ไม่สามารถลืมความเป็นอยู่อย่างเดิม ยังชอบอยู่ในสถานที่ใกล้ๆ
แม่น้ำลําคลอง มีต้นไม้แยะๆ ให้รกเป็นป่าเหมือนที่บ้านนอกก็ยิ่งชอบใจ เวลาไม้ผล ไม้ดอกออกช่อส่งกลิ่นตลบอบอวล
กลิ่นดอกมะลิ ดอกแก้ว กระทั่งกลิ่นช่อมะม่วง ดอกชมพู่ ข้าพเจ้าหอมชื่นใจทั้งนั้น
เหน็ดเหนื่อยจากไปทํางานนอกบ้านที่ไหนมา เข้าบ้านได้กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าก็หายอ่อนเพลีย
ท่านจะเรียกข้าพเจ้าติด “กลิ่น” ก็คงไม่ผิด
ติดกลิ่นไอของชนบท อุตส่าห์ไม่ติดกลิ่นน้ำหอมของชาวกรุง แต่ก็ยังติดกลิ่นเดิมๆ
ดังกล่าว
แต่ท่านคงไม่รู้ว่าข้าพเจ้าแทบเสียชีวิต เพราะความที่รักต้นไม้ ใครจะตัดจะถอนเป็นถูกข้าพเจ้าห้ามไปหมด
หลังบ้านก็เลยเหมือนป่า ตรงพื้นดินมีต้นชะพลูขึ้นแน่นเต็มเหยียบไม่ถึงดิน
ความรกทําให้มีทั้งตะขาบ และงูชนิดต่างๆ ปรากฏตัวอยู่เสมอ งูที่เห็นประจําบางทีเห็นพร้อมกันถึง
๓-๔ ตัว คืองูเขียว นอกจากนั้นก็มีงูเห่า งูแสงจันทร์ และที่อยู่ด้วยแต่ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยจนกระทั่งวันตายของเขา
คืองูเหลือมตัวใหญ่ขนาดท้องน่อง ยาวถึง ๓ เมตร ที่ใต้ถุนตึก
เช้าตรู่วันอาทิตย์ต้นเดือนราวๆ กลางปี ๒๕๒๘ เวลาประมาณเกือบตีห้า
ข้าพเจ้าตื่นขึ้นทํากับข้าวเตรียมไปทําบุญที่วัดเหมือนที่เคยทําทุกเดือน
อากาศค่อนข้างอบอ้าว เพราะเป็นเวลาก่อนฝนตก ข้าพเจ้าจึงยกเตาออกมาทํากับข้าวที่ลานปูนใกล้ต้นไม้รกๆ
วันนั้นต้มปีกไก่น้ำแดง ขณะกําลังเทปีกไก่ลงหม้อเพื่อเคี่ยวให้เปื่อย
มีเสียงก๊อกแก๊กอยู่ห่างจากข้าพเจ้านั่งประมาณ ๑ ศอก ข้าพเจ้ามิได้หันหน้าไปมองคิดว่าเป็นลูกชายคนเล็ก
เขาชอบทําอาหารไปทําบุญ คงจะตื่นขึ้นมาช่วยจึงพูดกับเขาว่า
“ตื่นแล้วเหรอลูก เดี๋ยวช่วยดูหม้อแกงหน่อยนะ แม่จะไปหลังบ้านหน่อย”
เมื่อเงียบไม่มีเสียงตอบแต่ก็ยังมีเสียงก๊อกแก๊กอยู่ระดับไหล่ของข้าพเจ้า
ก็คิดว่าลูกคงจะนั่งยองๆ เพื่อแทนที่ข้าพเจ้าคอยดูหม้อแกง แต่ทำไมไม่พูดอะไรตอบบ้างเลย
ข้าพเจ้าจึงหันไปอ้าปากจะถามว่าตื่นใหม่ๆ ยังไม่หายง่วงหรือ พลันก็ต้องตกใจสุดขีด
รู้สึกร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะเพราะข้างกายของข้าพเจ้าห่างไม่ถึงศอก มีงูสีคล้ำตัวใหญ่ขนาดข้อมือสองตัวชูหัวขึ้น
ทำลำตัวตั้งฉากกับพื้นปูนที่ข้าพเจ้านั่ง ลำตัวของงูทั้งคู่ตั้งขึ้นขนานกันไม่ห่างจากกันนัก สูงจากพื้นประมาณ ๕๐
เซ็นติเมตร ทำหัวส่ายโอนเอนสลับกันไปมา เหมือนทั้งคู่เป็นคนรักที่กําลังพูดคุยจีบกันอย่างสดชื่น
คุยอย่างลืมตัวว่าลําตัวของเขาทั้งสองแทบจะมาชนหัว ข้าพเจ้าอยู่แล้ว
พอหายตกตะลึง ข้าพเจ้าก็ตั้งสติให้มั่น รู้ทันทีว่างูคู่นั้นกําลังจะผสมพันธุ์กัน
เคยได้ฟังคนโบราณเล่าต่อๆ กันมาว่า เวลามันจะผสมพันธ์นั้น งูจะดุมาก
อย่าว่าแต่ไปขัดขวางมันเลย งูดุๆ บางชนิด เช่น งูจงอาง ถ้าใครไปเห็นมันกําลังเกี้ยวกันอยู่มันก็จะโกรธจนเลื้อยพุ่งตัวเข้าไปฉกทันที
“งูคู่นี้ งูอะไรก็ไม่รู้ มีพิษรึเปล่าก็ไม่รู้ จะว่างูเห่า
ตัวมันก็ไม่ดำนัก และบนหัวไม่มีลายดอกจัน แต่ยังไงก็ตาม จะเป็นงูดุหรือไม่ดุ
ถ้าเราเคลื่อนไหวเสียงดังให้มันตกใจ มันอาจจะพุ่งตัวเข้าฉกทําร้ายเอาก็ได้
คิดแล้วข้าพเจ้าก็ค่อยกระเถิบหนีทีละน้อยๆ พอห่างออกไปมากหน่อยจึงลุกขึ้นยืนพรวดพราดส่งเสียงเรียกลูกทั้งสองคนให้ตื่นมาช่วยไล่งู
เราสามคนแม่ลูกหาไม้มาตีที่พื้นบ้าง เคาะข้างฝาให้ดังโครมครามเพื่อให้งูตกใจกลัวหนีไปเสีย
เคาะจนกระทั่งปี๊บ กระป๋อง กะละมังเสียงดังสนั่นลั่นบ้านจนกระทั่งบ้านใกล้เรือนเคียงพากันตื่น
ทุกบ้านสงสัยว่า เกิดเหตุประหลาดอะไรขึ้น เขาจะนอนให้สายๆ กันหน่อยเพราะเป็นวันอาทิตย์
ก็นอนไม่ได้ เพื่อนบ้านก็มายืนดูอีกหลายคน
เอะอะกันถึงขนาดนั้น เจ้างูสองตัวมันทําเหมือนไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรๆ
เลย ในโลกนี้มีเขาอยู่กันตามลําพังสองชีวิตเท่านั้น ทั้งคู่เอาหัวเคล้าเคลียกันไปมาสักครู่แล้วเริ่มเอาตัวพันกันอย่างรวดเร็ว
พันเป็นเกลียวเหมือนเกลียวเชือก เป็นเกลียวยาวตรงตั้งแต่หัวจรดหางแล้วล้มลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งที่เป็นเกลียวเชือกเส้นตรงอย่างนั้นหลายตลบ
กลิ้งอยู่เป็นครู่ใหญ่เหมือนมันเป็นตัวเดียวกัน
เกิดมาข้าพเจ้าก็เพิ่งเคยเห็น พลอยให้นึกเข้าใจคําว่า “เกี้ยว” ไปด้วย
เหมือนจะกลายมาจากคําว่า “เกี่ยว” งูมันเอาตัวเกี่ยวกันไว้อย่างนี้ เกี่ยวเสียจนเป็นตัวเดียวกัน
ซึ่งเป็นเส้นตรงได้ยังไงก็ไม่รู้ เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจจนพูดไม่ถูก
เห็นงูเป็นตัวอย่างสัตว์อื่น หรือแม้คนก็ไม่ผิดแปลกกันเลย อํานาจกามราคะทําให้สัตว์ลืมกลัวตาย
มันไม่สนใจเลยว่าผู้คนจะมามุงดูกันกี่คน ใครจะเอาไม้หรืออาวุธมาตีมาฆ่ามันไม่สนใจทั้งสิ้น
ภาพของงูที่รัดกันเป็นเกลียวเชือกเส้นใหญ่ขนาดน่องที่กลิ้งไปมาอยู่ตรงหน้านั้น
ทําให้ข้าพเจ้าต้องนึกพูดกับมันว่า
“นี่ดีนะที่เป็นบ้านของชั้น ชั้นถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเป็นบ้านคนใจร้ายอื่นละก็
กลิ้งไม่รู้เรื่องยังงี้ เค้าเอาท่อนไม้หวดตรงหัวทีเดียวตายสองตัวเลยนะ
ไม่ทันได้หนีและไม่ทันได้สู้กันหรอก นี่เองที่เขาเรียกกันว่า ตัณหาหน้ามืด
ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าคน เรื่องอย่างนี้มักทําอะไรลืมตายกันได้ทั้งนั้น”
มันกลิ้งหลายตลบแล้วนอนนิ่งอยู่ไม่แยกออกจากกันสักที
หม้อแกงของข้าพเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ นั่นก็เดือดใกล้แห้ง เดี๋ยวจะไหม้ ไม่ต้องเอาไปทําบุญกัน
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจบอกลูกให้หิ้วกระป๋องใส่น้ำมาคนละกระป๋อง
“เทราดไปที่พื้นให้แรงๆ หน่อยนะลูก เดี๋ยวพอน้ำไปกระทบตัวมันจะได้รู้สึกว่ามีคนอยู่ที่นี่กันเยอะแยะ
จะได้กลัวเลื้อยหนีไป” ข้าพเจ้าสั่ง
ลูกทั้งสองทำตาม
งูทั้งคู่ตกใจคลายตัวออก ตัวหนึ่งเลื้อยปราดเข้าป่าดงชะพลูไป
อีกตัวเลื้อยถลันเข้าในบ้าน ผู้คนต้องกระโดดหนีกันจ้าละหวั่น ข้าพเจ้ารีบปราดไปยกหม้อแกงลงจากเตาไฟ
ต่อจากนั้นข้าพเจ้ากับลูกๆ ก็ช่วยใช้ไม้เคาะที่พื้นไล่ให้งูออกนอกบ้าน
น่าประหลาด งูในบ้านเลื้อยออกไปที่ลานปูนตรงที่เดิม ทันใดนั้นงูตัวที่เลื้อยเข้าดงชะพลูก็หวนเลี้ยวกลับเข้ามาหาอีกแล้วทั้งคู่ก็ทำอาการ
เสพสมกันเหมือนเมื่อสักครู่นั่นใหม่ มันช่างไม่รู้จักอายผู้คนที่ยืนรุมดูกันตั้งร่วม
๑๐ คน อํานาจกามราคะนี่ช่างร้ายแรงน่ากลัวเสียจริง ไม่กลัวตายเอาเสียเลย
นี่ขนาดเป็นเดรัจฉานนะ ส่วนที่เป็นกามราคะของคนนั้นเล่า ไม่กลัวตาย
ไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่กลัวบาปกรรมใดๆ ทั้งสิ้น แย่หนักขึ้นไปอีก
เสียงสามีของเพื่อนข้างบ้านพูดว่า
“ตรงนั้นมันมีไฟนีออนส่องอยู่บนลานปูนนี่ครับอาจารย์ งูสองตัวนี่เค้าเรียกว่างูแสงจันทร์
มันชอบเล่นไฟ เวลาเดือนหงายมันก็ชอบออกมาเลื้อยเล่น สมตามชื่อของมันน่ะครับ”
“อ้อ... มิน่า ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปที่อื่น ต้องมาอยู่ใต้หลอดไฟนีออน
ในรกในป่าก็ไม่รู้จักไป หน้าไม่อายเสียจริง”
ข้าพเจ้าบ่นส่งเดชไป แต่ก็ยังไม่หายจากความรู้สึกหวาดเสียวพวกงูแสงจันทร์
แสงอาทิตย์อะไรพวกนี้น่ะ ถูกกัดเข้าจะต้องตายด้วยหมดทั้งนั้นแหละ นี่โทษของการชอบต้นไม้รกๆ
ชอบกลิ่นป่า
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นโทษของการหลงรักกลิ่นต้นหมากรากไม้กับเรื่องงูเช่นกัน
ขอให้ตัวหนังสือที่เขียนไว้ตอนนี้ เป็นอนุสรณ์แก่เพื่อนผู้อยู่ใต้ถุนตึกนานถึง ๒๐
ปีของข้าพเจ้า เขาคืองูเหลือมตัวยาว ๓ เมตร ตัวนั้น
ข้าพเจ้าและลูกๆ ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านตึกซึ่งเป็นบ้านหลังที่สองที่กําลังเล่าถึงอยู่นี้
ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นบ้านตึกปลูกเต็มเนื้อที่ดินด้านหน้าติดถนนและเต็มด้านข้าง ใช้ฝากําแพงแทนรั้วบ้านไปในตัว มีที่ว่างด้านหลังตัวตึกมากกว่าเนื้อที่ตัวบ้าน
ที่ดินแปลงข้างบ้าน เจ้าของยังไม่ได้ถมยังคงสภาพเดิมเป็นร่องสวน
เวลาฝนตกมีน้ำฝนขังอยู่เต็มเปี่ยม น้ำนั้นก็ละลายเอาดินใต้ตัวตึกบ้านข้าพเจ้าพังออกทีละเล็กละน้อย
จนเป็นโพรงดินเข้าไปใต้ถุนตึก ในปีนั้นเอง ตอนดึกบ้าง ตอนเช้ามืดบ้าง ก็มีผู้คนเห็นงูเหลือมตัวใหญ่เลื้อยเข้าไปในโพรงดินนั้นอยู่เสมอ
งูตัวนี้อยู่ใต้ถุนบ้านข้าพเจ้ามานาน และมาตายเอาวันที่ ๑๒ สิงหาคม ปี ๒๕๓๐ ตลอดเวลา
๒๐ ปี ที่อยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นตัวเลย แต่ในวันตาย
เขามาตายอยู่บริเวณดงชะพลูหลังบ้านให้เห็นตัว เหมือนฝากฝังซากศพให้ช่วยจัดการ
งูตัวนี้เพื่อนบ้านเล่าว่า ครั้งหนึ่งเดือนหงายแจ่ม
เขาเห็นงูเหลือมกินแมวรุ่นๆ ในบ้านของเขารวดเดียว ๓ ตัว โดยที่แมววิ่งหนีไม่ทัน
โชคดีจริงๆ ที่เขาด่วนตายเสียก่อน
ถ้าขืนอยู่ด้วยกันต่อไปตัวคงโตมากขึ้นๆ เดี๋ยวคงได้มารัดเด็กเล็กๆ
กินกันเสียบ้างหรอก นี่แหละแอบกลิ่นป่า ทําบ้านให้เป็นป่า สัตว์ป่าก็เลยขออยู่ด้วยให้ใจหายใจคว่ำเล่น
รายนี้ข้าพเจ้ายังลอกหนังของเขาไว้เป็นที่ระลึกถึงเพื่อนที่อยู่ร่วมบ้านกัน
โดยไม่เคยเห็นกันถึง ๒๐ ปี สีสันที่แผ่นหนังหายไปหมดแล้ว เพราะเอาไปจ้างเขาฟอกสี
แต่ลวดลายสวยๆ บนเกล็ดยังมองเห็นได้ชัดเจน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๓ บทที่ ๒๔
หลงกลิ่นป่า
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:24
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: