ริติด-ริเลิก
ครั้งนั้นข้าพเจ้าพาบิดาไปกับหมู่คณะด้วย เพราะสงสารว่าท่านหงอยเหงา (มารดาเพิ่งถึงแก่กรรมไปได้ ๘ เดือน) ข้าพเจ้ามักจะชวนบิดาไปตามวัดสําคัญ ๆ ต่าง ๆ ให้ท่านได้ฟังธรรมจากพระเถระผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น ทําให้ท่านมีจิตใจเบิกบานแช่มชื่น ลืมการคิดถึงคู่ทุกข์คู่ยากของท่านที่เพิ่งจากไป
พวกครูและนักเรียนชายไปพักกันอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ภายในค่าย ส่วนนักเรียนหญิงและครูสตรีรวมทั้งข้าพเจ้าและบิดา พักกันที่อาคารเรียนของโรงเรียนประชาบาลของวัดนั้น
คืนวันที่ ๑๐ ตุลาดังกล่าว หลังจากพาหมู่คณะกลับจากฟังธรรมของหลวงพ่อท่านอาจารย์ประมาณ ๔ ทุ่มเศษ ต่างคนต่างก็พากันเข้านอน เราทุกคนนอนรวมกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ ข้าพเจ้าจัดให้บิดานอนบนโต๊ะตัวเตี้ย ๆ คนอื่นนอกนั้นนอนกันที่พื้นห้อง อากาศค่อนข้างเยือกเย็นจึงไม่มียุง
ข้าพเจ้านอนหลับไปตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้น แสงจันทร์สว่างมองเห็นอะไร ๆ ชัดเจนเหมือนเวลาตอนเช้า ๆ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่ง มองไปตรงที่บิดา เกรงว่าท่านจะลืมห่มผ้า จะได้ลุกไปห่มให้แต่กลับเห็นท่านนั่งพิงเสานิ่งเงียบอยู่
“พ่อคะ ดึกแล้วพ่อยังไม่นอนเหรอคะ” ถามออกไปด้วยความห่วงใย
“พ่อยังไม่ง่วงน่ะลูก หนูนอนเถอะ พ่อนั่งภาวนาเรื่อย ๆ ไปก็ได้ อากาศเย็นสบายดี”
เสียงท่านตอบอย่างแจ่มใส แสดงว่าท่านไม่ง่วงจริง ๆ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกังวลใจอะไรมาก เพราะรุ่งขึ้นพวกเรามีโปรแกรมกันทั้งวันกระทั่งกลางคืน ส่วนบิดาของข้าพเจ้าไม่มีธุระอะไร ถ้าง่วงท่านก็นอนตอนกลางวันได้ คิดดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็หลับผล็อยต่อไป ตื่นอีกครั้งตอนประมาณตี ๔ เสียงไก่ขันแว่วมาจากหมู่บ้าน
ลืมตาตื่น สิ่งแรกที่มองคือร่างของพ่อ เกรงท่านลืมห่มผ้าอีก แต่พ่อของข้าพเจ้าก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม
“พ่อคะ พ่อนั่งหลับรึเปล่านั่น”
“เปล่าลูก พ่อยังไม่ง่วงจ้ะ”
ฟังคําตอบแล้วข้าพเจ้าหายงัวเงีย ในใจนึกสงสัยเป็นกําลัง พ่อจะต้องมีอะไรคิดอยู่ในใจจนนอนไม่หลับเป็นแน่ ข้าพเจ้าทบทวนดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในตอนกลางวัน ก็ไม่มีอะไรที่พ่อจะต้องนำมาคิด ไม่มีใครทําให้สะเทือนใจอะไร ทั้งนักเรียนและครูผู้ใต้บังคับบัญของข้าพเจ้า ล้วนแต่เคารพรักเอาใจใส่ดูแลท่านเป็นอย่างดี ทุกคนเรียกท่านว่า “คุณตา”
นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าทําไมพ่อจึงไม่ยอมนอนทั้งคืน ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันและสวดมนต์ทําวัตรเช้าและเจริญภาวนาตามที่เคยกระทําเป็นประจํา เวลาผ่านไป เสียงไก่ขันกระชั้นใกล้สว่าง ข้าพเจ้าได้ยินพ่อลุกขึ้นเดิน จึงลืมตาขึ้นมองดู เห็นท่านเดินลงจากที่พักไปที่ลานดินข้างล่างของตัวอาคาร เอามือทั้งสองข้างไพล่กันไว้ข้างหลัง เดินกลับไปกลับมาอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นที่ขอบฟ้า พ่อก็เดินตรงไปที่เชิงภูเขา เบื้องล่างลึกลงไปเป็นทางชัน ใคร ๆ ก็ปืนขึ้นตรงนั้นไม่ได้
พ่อยืนนิ่งเงียบมองไปเบื้องหน้าอีกครู่ใหญ่ แล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ปาลงไปในที่รก ๆ เบื้องล่างอย่างสุดแรง ท่านยกมือสองข้างชูขึ้น เป็นอาการของคนที่ชนะอะไรสักอย่างหนึ่ง หันหน้าเดินกลับมาที่ข้าพเจ้านั่งดูท่านอยู่
“หนูเอ้ย พ่อชนะแล้วล่ะลูก” พ่อพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ ดวงตาของท่านเป็นประกายสดใส ทั้งที่ไม่ได้นอนเลยตลอดคืน
“ชนะอะไรคะพ่อ” ข้าพเจ้าถามเพราะไม่เข้าใจอะไรเลย
“ก็บุหรี่ไงลูก พ่อเป็นทาสมันอยู่ถึง ๔๐ กว่าปีทีเดียวลูก วันนี้พ่อตัดใจเลิกสูบแล้ว พ่อจึงว่าพ่อชนะมันเสียที เมื่อกี้พ่อไปที่หน้าผาตรงโน้น โยนมันทิ้งลงเหวไปเลย ทั้งบุหรี่ทั้งไฟแช็กหมดเลย”
“จริงหรือคะพ่อ หนูดีใจจริง ๆ โอ๊ยดีใจจริง ๆ ” ข้าพเจ้าร้องเสียงดัง พลอยให้ใคร ๆ ตื่นกันขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงบอกพวกเขาอย่างตื่นเต้น
“ใครดีใจกันมั้ย คุณตาเลิกสูบบุหรี่แล้ว เอามันไปโยนทิ้งเหวหมดแล้ว”
ข้าพเจ้าขอร้องให้เหล่าครูผู้เป็นลูกน้องมาช่วยกันแสดงความดีใจ แท้ที่จริงคือเพื่อให้พวกเขามาเป็นพยานให้พ่อ ให้ใจของท่านต้องมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะอายพวกเด็ก ๆ
“พ่อเลิกได้ยังไงคะ หนูอ้อนวอนพ่อมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ตั้ง ๑๐ ปีแล้ว พ่อไม่เคยยอมเลย จนหนูแพ้เลิกขอร้องไปนานแล้ว คราวนี้หนูไม่ได้ขอซักหน่อย พ่อทําได้ยังไงคะ” ข้าพเจ้าซัก
“เมื่อคืนนี้ไงลูก ตอนที่ท่านอาจารย์ท่านเทศน์นั่นน่ะ พ่อฟังแล้วชื่นใจมาก ท่านสอนด้วยถ้อยคําคมคาย พ่อเกิดศรัทธาเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรมาถวาย พอเลิก หนูกับใคร ๆ เดินลงกันมาแล้ว พ่อก็เอาบุหรี่ ๓ ซองที่พ่อมีติดตัวเข้าไปถวายท่าน ท่านไม่รับ ท่านพูดว่า”
“โยม โยมสูบบุหรี่ติดมานานเท่าไหร่แล้ว”
“สี่สิบสองปีแล้วครับท่าน” พ่อตอบอย่างภาคภูมิใจในจํานวนปีที่กราบเรียนให้ทราบ
“โยมติดบุหรี่นี่มาตั้งแต่เกิด หรือว่ามาริติดทีหลัง” พระเถระท่านถาม
“กระผมมาริสูบแล้วก็ติดตอนเป็นหนุ่มครับท่าน” พ่อตอบตามความจริง
“โยมริติดได้ ทําไมโยมจึงไม่ริเลิกมันให้ได้มั่ง” เสียงของท่านเน้นคำว่า ริเลิก ชัดเจน กล่าวถ้อยคําช้า ๆ หนักแน่น จ้องตาพ่อด้วยความปรานี เพราะอายุของท่านคราว ๆ กัน จึงพูดเหมือนเตือนเพื่อนให้ได้คิดแล้วท่านไม่พูดอะไรต่อไปอีก ใช้มือหยิบซองบุหรี่เหล่านั้นเลื่อนมาไว้ตรงหน้าพ่อ
พ่อเล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไปว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาพ่อนอนไม่หลับเพราะได้ยินแต่คําพูดที่ถูกถามว่า “ทําไมไม่ริเลิก ทําไมไม่ริเลิก ทำไมไม่ริเลิก” พ่อนั่งตัดสินใจอยู่จนตลอดคืนว่าจะเอาอย่างไรดี เสียดายก็เสียดาย ได้คิดก็ได้คิด บังเอิญเห็นลูกนอนหลับอยู่ใกล้ ๆ ตัว ใจก็เกิดจำได้ว่า ลูกเคยอ้อนวอนขอให้พ่อเลิก ขอจนเบื่อ มาบัดนี้พระภิกษุท่านก็พูดเหมือนขอร้องเข้าอีก พ่อจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด พ่อพูดต่อว่า
“พ่อยอมตาย เลิกสูบมันแล้ว มันจะผะอืดผะอมไม่สบายอย่างไร พ่อจะสู้กับมันให้ได้ เป็นอย่างไรเป็นกัน พ่อต้องชนะ จริงอย่างพระท่านว่ากิเลสแค่ติดบุหรี่ ยังแกะออกทิ้งไม่ได้ จะไปแกะกิเลสตัวใหญ่ ๆ อื่น ๆ ได้ยังไง”
ข้าพเจ้าดีใจจนพูดไม่ถูก ขณะเดียวกันก็มีกังวลเรื่องอาการของคนเลิกบุหรี่กะทันหัน จึงเตรียมยามาทุกชนิดไว้เต็มที่ ยาลม ยาหอม ยาหม่อง ฯลฯ แต่ก็แปลก ด้วยพลังใจอันเข้มแข็ง บิดาของข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย
จากความสําเร็จเรื่องอดบุหรี่ได้เพราะคําว่า ทําไมไม่ริเลิก ครั้งนั้น บิดาของข้าพเจ้าได้นําเรื่องราวของท่านไปเล่าในที่ประชุมของพระภิกษุหลายแห่งหลายครั้ง รวมแล้วมีพระภิกษุสามเณรฟังเรื่องนี้จากท่านนับเป็นจํานวนพันคนตลอดมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ นั้นจนกระทั่งปี ๒๕๒๕ ที่ถึงแก่กรรม มีพระภิกษุเลิกสูบบุหรี่ได้หลายสิบรูป
นี่เป็นเรื่องฟังคําสอนแล้วคิดเป็นของบิดาข้าพเจ้า ทําให้ท่านพ้นทุกข์จากการสูบบุหรี่ ไหนจะเสียเงินซื้อ ไหนจะเสียสุขภาพ (คนสูบบุหรี่มักเป็นโรคหลอดลมเสมอ) ไหนจะทําให้ผู้อื่นที่ไม่นิยมสูบรังเกียจเพราะมีกลิ่นเหม็น ไหนจะเป็นต้นเหตุของอัคคีภัย เช่น ทิ้งกันบุหรี่ลงในที่มีวัสดุเชื้อเพลิง นอนหลับทั้งที่ยังไม่ดับก้นบุหรี่
หลายปีมาแล้วข้าพเจ้าอ่านคําบอกเล่าของนายแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งสูบบุหรี่จัดมาก ท่านเล่าว่าท่านเลิกบุหรี่ได้เพราะฟังพระภิกษุนักปาฐกถารูปหนึ่งพูดสอนว่า
“เลิกสูบบุหรี่ ไม่เห็นจะยากเลย เพียงอ้าปาก บุหรี่ที่คาบไว้ก็จะหลุดออกทันที นี่มัวแต่งับมันเอาไว้ มันก็เลยเลิกสูบไม่ได้”
แพทย์ผู้นั้นฟังแล้วคิดได้ ตั้งใจเด็ดเดี่ยวเลิกได้ตั้งแต่วันได้ฟังคำสอน
เรื่องการคิดได้ คิดเป็น แล้วเลิกสูบบุหรี่ได้ ข้าพเจ้ามีเรื่องของเพื่อนรุ่นน้องผู้หนึ่งมาเล่าให้ฟัง ชื่ออาจารย์สุธรรม ปั้นประเสริฐ ตอนที่รู้จักกันดูเหมือนท่านเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนทางบางแค ติดบุหรี่เกินกว่าสิบปี วันหนึ่งข้าพเจ้าพบกับอาจารย์ท่านนี้ที่แผนกคลังของกรมฯ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็เป็นหัวหน้าสถานศึกษาเช่นกัน ข้าพเจ้าเห็นท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นคนดี และเราก็สนิทสนมกัน ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า “พี่”
“คุณสุธรรม คุณสูบบุหรี่มานานแล้วยังคะ” ถ้าจําไม่ผิดดูเหมือนจะได้รับคำตอบว่า
“สิบสี่ปีครับ”
“พี่อยากขอบิณฑบาต ไม่รู้คุณให้พี่ได้รึเปล่า พี่จะคอยคำตอบดูก่อนนะคะ”
ข้าพเจ้าพูดขอร้องไว้แล้วก็ลืมไปสนิท อีก ๑ เดือนต่อมาบังเอิญพบกันอีกครั้ง หลังจากพูดคุยทักทายกันแล้ว อาจารย์สุธรรม ก็พูดขึ้นว่า
“พี่หวินครับ เรื่องที่พี่ขอบิณฑบาตจากผม ตกลงผมยกให้แล้วนะครับ”
“พี่บิณฑบาตอะไรจากคุณ ขอโทษทีลืมไปแล้ว”
ข้าพเจ้าตอบอย่างนั้นเพราะลืมไปสนิทจริง ๆ มาร้องอ้อเอาเมื่ออีกฝ่ายพูดว่า
“ก็บุหรี่ไงครับ ผมไปนั่งคิดนอนคิด มันจริงของพี่ทุกอย่างเสียเงิน เสียสุขภาพ เป็นที่รังเกียจ แล้วเรามีอาชีพสอนเด็ก ยังงี้จะสอนนักเรียนได้ยังไง”
หลังจากอนุโมทนาสาธุการและพูดให้กําลังใจอีกพอควรแล้วเราก็จากกัน ในระยะต่อมาเพื่อนสนิทท่านหนึ่งของอาจารย์สุธรรมเป็นหัวหน้าสถานศึกษาอีกแห่งหนึ่ง เคยพบกันก็พูดคุยทักทายกับข้าพเจ้าเป็นอันดี หลังจากอาจารย์สุธรรมเลิกบุหรี่แล้ว อาจารย์ผู้เป็นเพื่อนก็แสดงอาการไม่เหมือนเดิมต่อข้าพเจ้า หมางเมินปนโกรธ ๆ พูดด้วยบางครั้งก็ทําเป็นไม่ได้ยิน เมื่อข้าพเจ้าปรารภเรื่องนี้กับอาจารย์สุธรรม ก็ได้รับคําตอบว่า
“พี่อย่าถือเขาเลยครับ เขาโกรธพี่ที่ชวนผมเลิกบุหรี่ เขาบอกว่าของคบกันมาเป็นสิบปี มาเลิกสูบได้ยังไง คุณมันบ้า ไปเชื่ออาจารย์ถวิลแกได้”
พอข้าพเจ้าทราบสาเหตุแล้ว ก็ไม่สนใจอาจารย์ท่านนั้นอีกเลย มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนพาล ล่วงไปอีกถึง ๑ ปี แล้ววันหนึ่งอาจารย์ผู้โกรธข้าพเจ้าก็ยืนพนมมือต่อหน้าข้าพเจ้า พูดว่า
“พี่ครับ ผมมาขอขมาพี่ ผมเคยโกรธพี่มากที่พี่ชวนไอ้ธรรมมันเลิกสูบบุหรี่ เวลาผมไปกะมัน ผมยื่นบุหรี่ให้ มันก็สั่นหัวปฏิเสธ บอกว่าพี่บิณฑบาตไว้ มันยกให้พี่ไปแล้ว ผมต้องสูบคนเดียวมันรู้สึกว้าเหว่ เลยพาลโกรธพี่ ตอนนี้ผมรู้สึกตัวแล้วครับ มาขอโทษพี่”
“ขอโทษยังไง ก็พี่ไม่ได้ขอร้องให้คุณเลิกนี่นะ เพราะรู้ว่าขอร้องไม่ได้ ยังอุตส่าห์โกรธอีก”
“ผมเลวจริง ๆ ต้องขอโทษพี่ให้ได้ ไม่งั้นไม่สบายใจ นี่ผมอดบุหรี่ได้แล้วจึงนึกถึงพี่”
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็แสร้งทําท่าดีใจ อนุโมทนากับเขาเต็มที่ พร้อมทั้งซักความจริงว่าทําไมจึงสามารถเลิกได้ ก็ได้รับคําบอกเล่าว่า
“วันหนึ่งผมเรียกครูผู้ชายใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งมาตักเตือน ไม่ให้เขาสูบบุหรี่ให้เด็กเห็น ให้สูบบุหรี่ในที่มิดชิด เขาย้อนเถียงผมว่า ก็ผมไม่มีห้องส่วนตัวเหมือนท่านนี่ครับ แล้วจะให้ผมสูบที่ไหน ผมฟังแล้ว ให้รู้สึกเสียใจ โกรธด้วย ตำหนิตนเองว่า เป็นเพราะผมเป็นตัวอย่างไม่ดี ติดบุหรี่นี่เองลูกน้องจึงไม่เกรงกลัว พูดย้อนเถียงเอาได้ ลองดูซิถ้าผมอดได้ แล้วผมจะให้ครูคนอื่นอดบ้าง ผมน่ะติดมาตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว ยังเลิกได้ คนอื่นจะทําตามได้มั่งมั้ย”
“คุณเลยอดบุหรี่ตั้งแต่วันนั้นเลยหรือคะ”
“ครับ อดได้เลย โรคไอ โรคหวัด โรคหายใจไม่ออกเลยหายไปหมดเลยครับ รู้ว่าดียังงี้ อดมาตั้งแต่เจ้าธรรมมันอดก็ดีไปแล้ว”
คําพูดของผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงประโยคเดียว ทําอาจารย์คนดังกล่าวถึงกับฮึดสู้เลิกสูบบุหรี่เด็ดขาดในวันนั้น ใจเด็ดยิ่งกว่าสุธรรมเสียอีก
รายนี้ยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า แต่เดิมเขาไม่ได้ติดบุหรี่อย่างเดียว ติดสุราด้วย วันหนึ่งเมามากมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็นอนอยู่ข้างถนนในวัดใกล้ ๆ โรงเรียน รู้สึกอายผู้คนที่พบเห็นมาก เพราะล้วนแต่รู้จักว่าตนเป็นใครความละอายและสลดใจทําให้ปฏิญาณตนเลิกดื่มตั้งแต่วันนั้นทีเดียว
เรื่องสิ่งเสพติด ถ้าคิดให้ลึกซึ้ง อะไรก็ตามที่เราต้องทำตามความอยากโดยห้ามตนเองไม่ได้ หรือบังคับใจตนไม่ได้ แล้วสิ่งนั้นนำโทษมาให้ เราจะถือว่าเป็นสิ่งเสพติดทั้งหมดก็น่าจะได้ ไม่จําเป็นต้องเป็นของให้โทษชัดเจน เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด แม้แต่ในเรื่องติดในรสอาหาร ติดกลิ่นหอม ๆ ติดการแต่งตัวเสริมสวยจนเกินความจําเป็น ติดเสียง ติดสัมผัส ก็สร้างความหลงใหลให้โทษแก่ผู้ติดได้มากทีเดียว
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
ริติด-ริเลิก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:56
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: