ศิลปะกับศาสนา
พระพุทธศาสนากับศิลปะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไร
?
บ่อเกิดของศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือศาสนา
เพราะเมื่อคนเรามีความศรัทธาในศาสนา ก็จะทุ่มเทอุทิศตนเพื่อให้สิ่งดี ๆ
บังเกิดขึ้นแก่ศาสนาที่ตนนับถือ ฉะนั้นศาสนสถานแต่ละแห่งจึงเกิดขึ้นจากพลังศรัทธาของคนในชุมชนรวมกัน
หาช่างที่ฝีมือดีที่สุด ทำอย่างตั้งใจที่สุด ช่างที่เราจ้างมาสร้างบ้าน เขามาทำด้วยค่าจ้าง แต่ถ้าทำเพื่อศาสนา
คนทำมีแรงจูงใจหลักไม่ใช่ค่าจ้าง แต่เป็นความศรัทธา จึงต้องทำให้สุดฝีมือของตัวเอง
ศาสนาจึงเป็นสิ่งที่ยกระดับศิลปะของชุมชนขึ้นมา เมื่อมีความพร้อมทั้งทุนและฝีมือ
ก็มีการยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ศิลปะทั้งหลายมีการพัฒนา
ไม่เฉพาะสิ่งปลูกสร้างอย่างเดียว แต่รวมถึงศิลปะที่เนื่องด้วยศาสนาทั้งหมด
ขนาดจารึกคำสอนคัมภีร์ใบลานยังต้องมีการพัฒนา สมัยก่อนยังไม่มีกระดาษ
ก็แสวงหาว่าอะไรใช้จารึกคำสอนได้ดีที่สุด ช่วงแรก ๆ ก็เอาไหบ้าง หลังเต่าบ้าง มาจารึก แต่จะหาหลังเต่าเยอะ ๆ
มาจากไหน ไหก็เขียนได้ไม่กี่ตัว
สุดท้ายก็เจอว่าเขียนบนใบลานดีกว่า
เพราะใบลานที่ผ่านกรรมวิธีแล้วมีความทนทานหลายร้อยปี
และต้องหาวิธีจารอีกว่าทำอย่างไรจึงจะมีตัวหนังสือที่ชัดและอยู่ได้นานที่สุด
และยังหาวิธีเข้าเล่มอีก แค่ตัวคัมภีร์อย่างเดียวก็ผ่านศิลปะตั้งมากมาย
แล้วเรียนรู้กันจากท้องถิ่นสู่ท้องถิ่น จากรุ่นสู่รุ่น
ศาสนาสอนให้คนสมถะ
แต่เวลาสร้างศาสนสถาน ศาสนวัตถุ บางทีใช้ทองแท้ ใช้เพชรนิลจินดา ตรงนี้มีความขัดแย้งกันหรือไม่
?
เรื่องส่วนตัวเราเรียบง่าย
แต่ถ้าเรื่องส่วนรวมที่แสดงออกถึงความเคารพบูชาแล้ว
จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่ตนมีอยู่ไปบูชาสิ่งที่เนื่องด้วยพระรัตนตรัย
นี้เป็นธรรมเนียมตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
อย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐีจะสร้างวัดถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องไปเลือกทำเลที่เหมาะที่สุด
มาเจอสวนเจ้าเชต ทำเลเหมาะสม บรรยากาศดี
แต่เจ้าของไม่ขายต้องเอาเงินมาปูให้เต็มที่ดินถึงจะยอมขายให้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่ต่อสักคำ
ขนเงินมาปูเรียงเคียงกันจนเต็มผืนแผ่นดินนั้นเลย ศรัทธาขนาดนี้
ถามว่าทำเกินไปหรือเปล่า เปล่าเลย ทำไมไม่ไปหาที่ไกล ๆ จะได้ราคาถูก ๆ ท่านไม่หา
เพราะต้องการที่ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวท่านเองอยู่ง่าย
ๆ แต่ถ้าทำเพื่อพระพุทธศาสนา
เพื่อส่วนรวม ก็จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้
แล้วดูสิว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง เชตวันมหาวิหารกลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล พระภิกษุจากทั่วทุกสารทิศจาริกมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่
ชาวเมืองสาวัตถีเองก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นี่
ถ้าอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปหาที่ดินสร้างวัดนอกเมือง
เวลาพระมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละครั้งเป็นพันเป็นหมื่นรูป
ถามว่าใครจะมาใส่บาตร ไม่สะดวก แต่พอยอมตัดใจซื้อที่แพงที่มีทำเลเหมาะเท่านั้น
ประโยชน์เกิดขึ้นมหาศาล ที่พระพุทธศาสนาเป็นปึกแผ่นถึงปัจจุบันนี้ได้
ทำเลที่ตั้งของเชตวันมหาวิหารมีส่วนอย่างยิ่งเลย เป็นศูนย์กลางในการประมวลคำสอน
ประมวลพระวินัยในพระพุทธศาสนา ตกทอดมาถึงเราในยุคปัจจุบัน
เมื่อเอาสิ่งที่เยี่ยมที่สุดบูชาพระรัตนตรัยแล้วเกิดอะไรขึ้น
เราต้องเข้าใจธรรมชาติมนุษย์อย่างหนึ่งว่า
คนทุกคนไม่ได้พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมในทันทีทันใด มีทั้งคนพร้อมและไม่พร้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบคนเหมือนบัว ๔ เหล่าใช่ไหม
กลุ่มคนส่วนใหญ่คือคนที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ศรัทธาก็มีพอประมาณ
คนเหล่านี้นี่แหละที่เราต้องทอดบันไดลงไปรับเขาขึ้นมา อย่าไปทิ้งเขา
คนกลุ่มนี้พอมาถึงวัด เห็นอารามสะอาดสะอ้านวิจิตรงดงาม สิ่งต่าง ๆ ล้วนเนื่องด้วยพระรัตนตรัย
จะดูอะไรก็เจริญหูเจริญตาเจริญใจไปหมด
รู้สึกว่าสร้างดีอย่างนี้แสดงว่าต้องมีดีจริง มิฉะนั้นทำไมจะต้องสร้างดีขนาดนี้
ใจเขาจะเริ่มเกิดความเลื่อมใสศรัทธา พอใจเริ่มเปิด
พระเทศน์สอนหน่อยก็เข้าใจได้ง่าย นี้เป็นเครื่องช่วยเขา
ดังนั้นสิ่งที่เนื่องด้วยพระรัตนตรัยทำให้ดีและประณีตเถิด เป็นบุญเป็นกุศลต่อตัวผู้ทำเองด้วย
แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อมหาชนด้วย แต่ตัวเราให้อยู่อย่างเรียบง่าย กินใช้อย่างพอดี ๆ ตามอัตภาพของเรา
ในแต่ละประเทศและแต่ละยุคมีศิลปะที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาต่างกันไป
เรื่องนี้มีเหตุผลและที่มาที่ไปอย่างไร ?
สังเกตไหมว่า วัดจีน วัดญี่ปุ่น วัดไทย หรือแม้แต่วัดพม่าก็ตาม
ลักษณะพระพุทธรูปมีเอกลักษณ์บางอย่างต่างกันไป แต่เราดูออกว่าเป็นพระพุทธรูป
เพราะมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน เป็นลักษณะที่สอดคล้องกับลักษณะมหาบุรุษ เช่น
เส้นพระเกศาขดเป็นก้นหอย พระเนตรเรียวยาวโค้ง เป็นต้น แล้วทำไมถึงมีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกัน
เราต้องเข้าใจว่า ในครั้งพุทธกาลหรือหลังพุทธกาลใหม่ ๆ ยังไม่มีการปั้นพระพุทธรูป
เพราะว่าผู้คนต่างเคารพศรัทธาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดหัวใจ
แล้วลักษณะมหาบุรุษก็สมบูรณ์มาก จนกระทั่งไม่มีใครอาจหาญปั้น
เพราะเกรงว่าจะไม่เหมือน พลาดไปสักนิดก็รู้สึกว่าเป็นการลบหลู่
ดังนั้นพอมีอะไรเนื่องด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะทำเป็นรูปธรรมจักรบ้าง
วาดเป็นรูปต้นโพธิ์บ้าง อย่างมากก็ทำเป็นรูปคล้าย ๆ เห็นจากข้างหลังบ้าง
การปั้นพระพุทธรูปเริ่มมีตอนที่ชาวกรีกเข้ามาในอินเดีย
และในประเทศกรีซมีการปั้นรูปปั้นต่าง ๆ เยอะ
ก็เลยเอาศิลปะอย่างนั้นเข้ามาประยุกต์กับพุทธศิลป์ คือ เอาลักษณะมหาบุรุษ ๓๒
ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ
ที่มีการกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกออกมาเป็นลักษณะพระพุทธรูป
ต่อมามีการพัฒนาไปตามประเทศต่าง ๆ
เข้าประเทศไหนก็มีการปรับลักษณะพระพักตร์คล้ายคนของชาตินั้น แต่ก็มีลักษณะร่วมจากลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ
ทำให้เราดูออก
ความแตกต่างเหล่านี้เป็นเรื่องของพุทธศิลป์
แต่สาระสำคัญคือเป็นองค์แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อกราบแล้วให้ระลึกนึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ
แล้วตั้งใจฝึกตัวเองให้ทำความดีตามแบบอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อย่างนี้เป็นการบูชาที่ถูกหลัก ถือว่าเป็นการปฏิบัติบูชา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นการบูชาที่สูงสุด
พระพุทธรูปของวัดพระธรรมกาย เหตุใดถึงมีการปั้นเป็นลักษณะนี้ ?
หลวงพ่อธัมมชโยมีความตั้งใจว่า
สิ่งใดที่เนื่องด้วยพระรัตนตรัย ท่านอยากจะทำให้ดีที่สุด ประณีตที่สุด
ลักษณะพระพุทธรูปนั้น หลวงพ่อใช้เวลาพัฒนาแบบมาตั้งแต่บวชเลย รวมแล้ว ๔๐ กว่าปี ถ้านับแบบมีเป็นพัน
ๆ แบบ บางแบบต่างกันแค่มิลลิเมตรเดียวเท่านั้น อย่างภาพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในงานวีสตาร์ เมื่อปรับภาพแล้วมาให้หลวงพ่อดู
พอท่านดูแล้ว ท่านจะบอกว่าให้เพิ่มตรงนี้นิด ลดตรงนี้หน่อย
แค่มืออย่างเดียวปรับไปประมาณ ๓๐ ครั้ง ทุกอย่างจะต้องลงตัว และประณีตที่สุด เพื่อให้ตรงกับลักษณะมหาบุรุษมากที่สุด
พระประธานในโบสถ์โดยทั่วไปจะปั้นองค์ใหญ่และมีฐานสำหรับวาง
แค่ฐานก็สูงเลยหัวคนไปแล้ว ดังนั้นเวลาคนมากราบพระ ถ้าจะดูพระต้องเงยหน้าดู
สิ่งที่อยู่ใกล้ตามากที่สุดก็คือช่วงขา ถ้าจะให้ดูสมส่วนต้องทำให้ขาเล็ก ๆ
แล้วส่วนที่อยู่ไกล ๆ เช่น หน้าอก หรือเศียรต้องทำโต ๆ พอเงยดูแล้วจะพอดี ทั้งหมดนี้มาจากความฉลาดของคนโบราณที่มีการปรับสัดส่วนให้พระพุทธรูปงามพอดี
เมื่อดูจากตำแหน่งของผู้มากราบไหว้
แต่ของหลวงพ่อท่านต้องการให้เหมือนลักษณะมหาบุรุษ
ไม่ได้เอาผู้มากราบพระเป็นที่ตั้ง ท่านต้องการให้ทั้งองค์เหมือนองค์จริงมากที่สุด
ซึ่งจะพบว่าถ้าพระพุทธรูปลุกขึ้นยืนจะสมส่วน ทุกอย่างได้สัดส่วนพอดิบพอดี
เป็นสัดส่วนกายวิภาคของมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งในการปั้นต้องใช้ศิลปะอย่างมาก
การปั้นพระพุทธรูปไม่ใช่อยู่ ๆ ปั้นเป็นท่านั่งเลย ต้องมีท่ายืนก่อน แล้วกางแขน
แล้วก็เอาแบบตรงนั้นมาปรับจนกระทั่งเป็นลักษณะขัดสมาธิและเมื่อสำเร็จเป็นองค์เล็ก
ๆ แล้ว จะขยายเป็นองค์ใหญ่ ๕ เมตร ๑๐ เมตร ง่ายมาก ขอให้องค์ต้นแบบสำเร็จก่อน
ทุกขั้นตอนมีเทคนิคมากมายที่ผ่านการพัฒนามาตลอด
๔๐ กว่าปี วัตถุประสงค์หลักก็คือ
ต้องการให้เหมือนกายมหาบุรุษของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากที่สุด
จึงเป็นลักษณะอย่างที่เราเห็น แต่สาระสำคัญของการบูชาก็เหมือนกัน คือ
บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
แล้วตั้งใจปฏิบัติตามปฏิปทาของพระองค์
ไม่เฉพาะพระพุทธรูป สิ่งที่เนื่องด้วยพระธรรมคำสอนก็ตาม
เนื่องด้วยพระสงฆ์ก็ตาม หลวงพ่อท่านทุ่มเต็มที่ อย่างพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) หลวงพ่อท่านถึงขนาดหล่อด้วยทองคำเลย เพราะว่าทุกอย่างที่เนื่องด้วยพระรัตนตรัย ท่านเต็มที่
เพื่อเป็นเครื่องยอยกพระรัตนตรัยให้สูงเด่น
เป็นเครื่องเจริญศรัทธาของมหาชนทั้งหลาย
มีข้อคิดเกี่ยวกับงานด้านพุทธศิลป์อย่างไร
ทั้งในแง่ของผู้สร้างสรรค์ และผู้รักษา ?
ขอฝากข้อคิดไว้ ๒ ทาง คือ ๑.
ทางด้านของผู้สร้างสรรค์งานพุทธศิลป์ ขอฝากไว้ว่า อย่าทำด้วยความสนุก คึกคะนอง
หรือแบบลวก ๆ ผ่าน ๆ แต่ให้ทำตามแบบอย่างดั้งเดิม
คือทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจากหัวใจอย่างแท้จริง แล้วทำให้สุดฝีมือ ให้ดีที่สุด
และประณีตที่สุด โบราณท่านถือ คนที่จะปั้นพระ
จะมาสร้างโบสถ์ เขาจะไม่ดื่มเหล้า ต้องรักษาศีล ต้องตั้งใจสวดมนต์ทำภาวนา
เมื่อใจละเอียดอยู่ในบุญ มีศีลมีธรรมแล้ว ผลงานที่ออกมาจึงจะดี ถ้าดื่มเหล้าไปด้วยปั้นไปด้วย
ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะหย่อนด้วยศรัทธา ๒.
ทางด้านของประชาชนทั่วไปที่มาสักการบูชา เมื่อกราบพระแล้วให้เน้นการปฏิบัติบูชา
ไม่ใช่ไปกราบเพื่อขอหวย
แต่กราบเพื่อตั้งใจปฏิบัติตามสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้เรา
ขณะเดียวกันให้มองไปถึงใจผู้สร้างพุทธศิลป์นั้นว่าเขาทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ให้เรามองในเชิงสร้างสรรค์
มองด้วยความกตัญญูรู้คุณของผู้สร้างสรรค์งานพุทธศิลป์นั้นขึ้นมา จะเป็นพระไทย
พระพม่า พระจีน พระเกาหลี พระญี่ปุ่นก็แล้วแต่ เราไปถึงที่ไหนก็กราบได้
ไม่ใช่ไปเห็นไม่เหมือนพระพุทธรูปของไทยก็ไปวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมพระจีนเป็นอย่างนี้
พระญี่ปุ่นเป็นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะเสียสิริมงคล
เพราะที่เรากราบนั้นคือองค์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้เรามองพุทธศิลป์ทุกอย่างว่าคือภาพสะท้อน เป็นองค์แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้มองไปที่แก่นของการเคารพบชูา คือ ปฏิบัติบูชา ถ้าใครเห็นพุทธศิลป์แล้วไม่ตรงกับความชอบ
ไม่ตรงกับความคุ้นเคยของตัวแล้ววิพากษ์วิจารณ์ ต้องบอกว่าน่าเป็นห่วงจริง ๆ
ว่าผู้วิจารณ์นั้นจะแบกบาปไปมหาศาลโดยไม่รู้ตัว อันนี้ขอฝากเป็นข้อคิดเอาไว้
แล้วจากนี้ไปให้เรามองศิลปะที่เนื่องด้วยพุทธศิลป์ในเชิงสร้างสรรค์
แล้วรังสรรค์สิ่งที่ดีงามให้บังเกิดขึ้นมาเยอะ ๆ เถิด เพื่อยังใจของสาธุชนทั้งหลายให้สูงขึ้น แล้วก็น้อมมาสู่พระรัตนตรัย
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) จากรายการข้อคิดรอบตัว
ออกอากาศทางช่อง DMC
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๓ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงกัปไขลง (ปีก่อนหน้า)
ชาตินี้ ชาติหน้า
แนะแนวบัณฑิตใหม่
จับดีเขา จับผิดเรา
ธรรมะกับเสียงเพลง
|
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงกัปไขลง (ปีก่อนหน้า)
ชาตินี้ ชาติหน้า
แนะแนวบัณฑิตใหม่
จับดีเขา จับผิดเรา
ธรรมะกับเสียงเพลง
ศิลปะกับศาสนา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:55
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: