จับดีเขา จับผิดเรา
การจับผิดผู้อื่นเกิดจากความรู้สึกอิจฉาใช่หรือไม่ ?
คนเราทุกคนต้องการความภูมิใจในตัวเอง
ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความดีเด่นพิเศษกว่าคนอื่นก็จะรู้สึกพอใจ แต่ว่าจะเด่นได้มี ๒
แบบแบบแรกก็คือ ตั้งใจฝึกตนเอง ทุ่มเททำงานจนกระทั่งมีความรู้ ความสามารถ
มีผลงานที่โดดเด่นกว่าคนอื่น นี้คือวิธีที่สร้างสรรค์ อีกวิธีคือไม่ต้องทำอะไร
คอยจับผิดคนอื่นแล้วเหยียบเขาลงไป สุดท้ายเหลือตัวเองคนเดียวเด่นกว่าเขา
นี้คือวิธีทำลาย
วิธีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม คือ วิธีที่สร้างสรรค์
ถ้าทุกคนพยายามพัฒนาตัวเองเหมือนแข่งกันทำความดี
สังคมก็เจริญก้าวหน้า แต่ถ้าหากสังคมใดผู้คนแสวงหาความโดดเด่นด้วยการเหยียบย่ำคนอื่นให้ต่ำลง
นั้นคือสังคมที่จะแย่ลง แต่มีคนไม่น้อยเลือกวิธีจับผิดคนอื่น จับดีเขา
จับผิดเรา ติฉินนินทา วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ซึ่งที่จริงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรแก่ตัวเองเลย นั่งดูแต่ข้อเสียของคนอื่น
ตัวเราก็จะกลายเป็นที่รวมข้อเสียนั่งคิดแต่ข้อบกพร่องของคนอื่น
ตัวเราก็เหมือนกองขยะกองใหญ่ แต่คนที่ดูข้อดีของคนอื่นแล้วมุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเอง
จะเหมือนทะเลซึ่งเป็นที่รวมของน้ำ
คนที่ชอบจับผิดผู้อื่นมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ?
สภาพจิตใจแย่เลย เหมือนที่รวมขยะ ใครมีขยะตรงไหนพยายามหาจนเจอ
แล้วเก็บเอามาไว้ที่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่รวมขยะทั้งหมด
เพราะฉะนั้นเราอย่าเป็นอย่างนั้น ให้ดูว่าคนนั้นคนนี้เขามีดีอะไร
ถ้าศึกษาเรียนรู้เห็นข้อดีของเขาแล้ว จะได้มีแนวทางสำหรับพัฒนาตัวเอง
ถ้าหากเราปรารถนาดีอยากเตือนใครจะพูดอย่างไรให้เขารับฟัง
?
ต้องใช้ศิลปะอย่างสูงทีเดียว เพราะทุกคนต้องการความภูมิใจในตัวเอง
พอมีใครมาบอกว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน ใหม่ ๆ จะเหมือนมีกำแพงกั้นไว้ก่อน
เพราะมันกระทบกระเทือนอีโก้ตัวเอง
เพราะฉะนั้นถ้าหากจะแนะนำใครก็พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้กระทบกระเทือนใจเขา
คนเราเวลามีใครมาเตือนก็เท่ากับเขาอยู่บนทาง ๒ แพร่งแล้ว
คือจะน้อมรับคำแนะนำหรือจะเกิดปฏิกิริยาปกป้องตัวเองแล้วสวนกลับ
พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงวัดเราเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว
ตอนนั้นอาตมายังเรียนอยู่
และมารับบุญเป็นฝ่ายต้อนรับที่วัดในวันอาทิตย์ เจอญาติโยมสูบบุหรี่
เขามาวัดครั้งแรก ไม่รู้ว่ามีระเบียบห้ามสูบบุหรี่ในวัด ถ้าเราพรวดพราดไปบอกว่า “คุณ
ที่วัดห้ามสูบบุหรี่ ไม่รู้ระเบียบหรือไง” เขาอาจจะโกรธแล้วไม่มาวัดอีกเลยตลอดชีวิตก็เป็นได้
แต่หลวงพ่อสอนให้เดินเข้าไปยกมือไหว้ก่อน เข้าไปด้วยความอ่อนน้อมแล้วบอกเขาดี ๆ
ว่า “ขอโทษนะครับ พอดีที่วัดมีระเบียบไม่ให้สูบบุหรี่ในวัด
เดี๋ยวผมขอเอาไปทิ้งให้นะครับ” อย่างนี้เขาจะสบายใจ ไม่เสียความรู้สึก
เพราะฉะนั้นจะไปแนะนำคนอื่น เราอย่าไปกระทบกระเทือนอีโก้ใคร
ให้แนะนำด้วยความอ่อนน้อม ไม่สั่งสอนแบบผู้ใหญ่สอนเด็ก
ในมุมกลับกัน ถ้าเราเป็นผู้น้อย ผู้ใหญ่เตือนยังพอรับได้ แต่ผู้ใหญ่ที่มีผู้น้อยมาเตือนรับยากนะ
คนไทยเรามีคำว่า “ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้” เวลาผู้ใหญ่เดินไปไหน
พอเห็นนกแล้วชี้บอกว่าไม้ บริวารรับว่า ใช่ครับนาย พอชี้ไปที่ต้นไม้บอกว่านก
ลูกขุนพลอยพยักว่านกเป็นแถว พอผู้ใหญ่เจออย่างนบ่อยๆ ก็ชิน พอเจอใครขัดคอเข้าก็หงุดหงิด เพราะไม่คุ้น
ถ้าไปดูในประวัติศาสตร์ประเทศจีน
จะพบว่าฮ่องเต้ที่สร้างผลงานเป็นที่เล่าขานมาเป็นพันๆ ปี
ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่น้อมรับคำเตือนของคนอื่น เช่น พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้
ผู้สถาปนาราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แผ่นดินจีนรุ่งเรืองมาก
ขยายอาณาเขตกว้างไกล ราชวงศ์อยู่มายาวนานหลายร้อยปี
ทำให้คนจีนมีความภูมิใจถึงขนาดเรียกตัวเองว่า ถังเหวิน แปลว่า คนราชวงศ์ถัง
ตอนพระเจ้าถังไท่จงขึ้นเป็นฮ่องเต้ใหม่ๆ ท่านศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า
ที่ราชวงศ์เก่าๆ ล่มสลายไป เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ฟังใคร ขุนนางก็ไม่ขัดคอ
เลยพากันลงเหวหมด พระองค์เลยตั้งเว่ยเจิงซึ่งฉลาดมาก ๆ มาดำรงตำแหน่ง
ขุนนางคัดค้าน ทำหน้าที่คอยคัดค้านฮ่องเต้ เวลาฮ่องเต้เสนออะไรในที่ประชุม
ถ้าความคิดเข้าท่าก็แล้วไป ถ้าไม่เข้าท่า ขุนนางคัดค้านยกมือเลย
บอกว่าไอเดียพระองค์ไม่สมควร พระเจ้าถังไท่จงแม้บางทีก็หงุดหงิดเหมือนกันแต่พระองค์กล้ำกลืนฝืนทน
จนถึงบั้นปลายชีวิต พระองค์บอกว่า ในชีวิตของพระองค์นั้นมีกระจกอยู่ ๒ บาน
หนึ่งคือกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า
อีกบานคือเว่ยเจิงนี้แหละที่ส่องให้เห็นสิ่งที่พระองค์ไม่เห็น
ทำให้พระเจ้าถังไท่จงสร้างราชวงศ์ถังให้เจริญรุ่งเรืองขนาดที่คนจีนภูมิใจเป็นพันๆ
ปีได้
อีกคนคือจักรพรรดิเฉียนหลงในสมัยราชวงศ์ชิง
พระองค์มีอัครมหาเสนาบดีท่านหนึ่งเป็นคนฉลาดและขยันมาก
ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี เวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขุนนางคนอื่นก็สบาย ๆ
ฮ่องเต้ว่าอย่างไรก็ดีพ่ะย่ะค่ะ แต่อัครมหาเสนาบดีคนนี้มีเรื่องมากราบทูลทุกวัน มณฑลนั้นเกิดอุทกภัยชาวบ้านกำลังเดือดร้อน ที่นี่มีโรคระบาดลง
ที่นั่นก็มีปัญหา ทุกวันมีแต่ปัญหามาตลอด แล้วก็เสนอนั่น เสนอนี่
ต้องไปแก้ปัญหานั่น ปัญหานี่ แล้วบางทีจักรพรรดิเสนอไอเดีย ก็คอยคัดค้าน
จนจักรพรรดิสั่งถอดยศจากอัครมหาเสนาบดีค่อย ๆ เลื่อนลงไปจนกระทั่งไปเป็นพลทหารซึ่งเป็นยศต่ำสุด
ถูกขุนนางดูหมิ่นดูแคลน ต้องไปเจอทุกคนที่เคยเป็นลูกน้องอยู่เหนือตัวเองหมดเลย
ทำใจยากเหมือนกัน แต่เสนาบดีท่านนี้ทนได้ ทนไปไม่กี่เดือน
วันหนึ่งฮ่องเต้รำพึงขึ้นมาว่า
เจ้านี่ไม่อยู่ทำไมรู้สึกบ้านเมืองสงบราบเรียบไปทุกอย่าง ทุกคนบอกไม่มีปัญหา
ราบรื่นทุกวัน ฮ่องเต้เป็นคนฉลาด นึกแล้วก็หวาดเสียว เพราะรู้สึกว่าราบรื่นเกินไป
ก็เลยมีพระบรมราชโองการให้ไปตามพลทหารคนนี้กลับมารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี
มาคอยคัดค้าน มาคอยเสนอปัญหาเหมือนเดิม
เพราะอย่างนี้จึงทำให้สมัยเฉียนหลงสามารถขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน
ทั้งที่มหาอำนาจทางตะวันตกเริ่มผงาดขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น
ถ้าผู้ใหญ่เปิดใจให้กว้างแล้วรับฟังคำท้วงติงของผู้น้อยบ้างจะเจริญ
แล้วตัวเรายังไม่ได้มีศักดิ์ศรีขนาดฮ่องเต้เลย จะไปถือทิฐิมานะอะไร
เปิดใจรับฟังคำแนะนำของทุกคนเถิด แล้วเราจะมีแต่ความสุขความเจริญต่อไป
หากมีคนมาเตือนในเรื่องที่เราไม่ได้ทำผิด เราควรทำอย่างไร ?
จะให้คนเตือนเตือนถูกหมดก็ยาก แค่เขาหวังดีมาเตือนเรา เราก็ควรน้อมรับ
พระพุทธเจ้าบอกว่าบัณฑิตคือบุคคลผู้ฉลาด เห็นผู้ที่ชี้โทษดุจผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้
เขาชี้โทษให้เรา ๑๐ เรื่อง ชี้ถูกไป ๗ เรื่อง เท่ากับเราปิดจุดอ่อนไปตั้ง ๗ เรื่อง
เผื่อเขาชี้แล้วไม่จริงตามนั้น ก็ไม่ต้องไปสวนเขา
แต่คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าอยากอธิบายให้เขารู้ เขาจะได้ไม่เข้าใจเราผิด
แต่ถ้าไม่ระวังให้ดีจะกลายเป็นการเบรกเขา ทีหลังเขาเลยไม่กล้าเตือนอีก ให้เรารับฟังก่อน
หากจะบอกให้เขารู้ความจริงก็หาวิธีที่นุ่มนวลที่สุด
คนเรายิ่งเป็นใหญ่มากเท่าไร ยิ่งหาคนเตือนยากเท่านั้น โบราณมีคำว่า
ยิ่งสูงยิ่งหนาวมีคนแวดล้อมเต็มเลย แต่ไม่มีใครพูดความจริงจะสรรหาแต่เรื่องดี ๆ
มาให้ฟังทั้งนั้น เพราะเขาถือคติว่า “ชมจนเอียนดีกว่าติเตียนจนถูกอัด” เพราะฉะนั้น
ฮ่องเต้ถังไท่จงจึงต้องตั้งขุนนางคัดค้านเพื่อป้องกันจุดอ่อนตรงนี้
เราเองนับวันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ก็จะพบเหมือนกันว่า คนที่เตือนเรามีน้อยลง ๆ
ดังนั้นหากมีใครใจเด็ดกล้ามาเตือนเรา รีบขอบคุณเขาเลย พินิจพิจารณาให้ดี
บางทีเราคิดว่าเราไม่ผิด แต่เราเข้าใจผิดก็มี เพราะมองจากมุมตัวเอง
ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปปกป้องตัวเอง ให้รับฟังแล้วนำมาไตร่ตรองพิจารณาให้ดี
แล้วเราจะเป็นคนที่พัฒนาตัวเองได้ตลอดไม่รู้จบ
และอุดช่องโหว่ในชีวิตเราได้อย่างดีเยี่ยม
การจับผิดตัวเอง ควรเริ่มต้นอย่างไร ?
ต้องมีมาตรฐานตรวจสอบ เวลาเราเขียนวงกลม เราอาจรู้สึกว่ากลมดีแล้ว
แต่ถ้าเอาวงเวียนมาทาบ จะพบว่ามันไม่กลมจริง เวลาเราดูตัวเอง
เราก็ว่าเป็นคนดีใช้ได้ เพราะบางทีเราเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามีบุคคลมาตรฐาน
เช่นพระพุทธเจ้ามาเทียบ เราจะรู้ทันทีว่าจะต้องฝึกอะไรเพิ่มเติม บารมี ๑๐ ทัศ
เราครบถ้วนบริบูรณ์หรือยัง ถ้าเราดีจริงคงหมดกิเลสไปแล้ว
ในเมื่อยังไม่หมดกิเลสแสดงว่ายังดีไม่จริง มีบุคคลมาตรฐานเทียบเมื่อไรจึงจะมองเห็น
จึงต้องหมั่นคบบัณฑิต และบูชาผู้ที่ควรบูชา
เพื่อให้ท่านเป็นมาตรฐานในการประพฤติปฏิบัติแก่ตัวเรา
มีมาตรฐานในการพิจารณาอย่างไรว่า
สิ่งที่เขาแนะนำมานั้นถูกหรือผิด ?
การศึกษาธรรมะในพระศาสนาให้ประโยชน์มาก เวลาใครแนะนำเรามา
บางทีเรายังไม่มั่นใจว่าถูกหรือผิด
ก็ลองไปตรวจสอบกับหลักธรรมดูก่อนว่าสอดคล้องกันหรือเปล่า ถ้าสอดคล้องแสดงว่าใช้ได้
แต่ถ้าขัดหลักธรรมก็ไม่ใช่แล้ว เช่น ต้องเอาเหล้าไปให้เขา เขาจะได้ชอบเรา
ต้องไปเที่ยวกลางคืน จะได้สนิทกันถ้าอย่างนี้เป็นการแนะนำที่ผิด เป็นต้น
ถ้าใครศึกษาธรรมะให้เข้าใจจนสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
คนนั้นเรียกว่าผู้หลักผู้ใหญ่ คือ เป็นผู้ใหญ่ที่มีหลักในการดำเนินชีวิต
หลักนั้นได้มาจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเราศึกษาหลักธรรม แล้วตีความไม่แตก
เราก็ไปหาครูบาอาจารย์ ไปหาผู้รู้ ขอคำแนะนำ
ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือและครูบาอาจารย์ของเราจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้
มีคำแนะนำในการจับดีและจับผิดผู้อื่นอย่างไรบ้าง ?
อยากให้มองทุกแง่ ถ้าในแง่เป็นผู้รับคำแนะนำได้กล่าวไปแล้วว่า
ให้มองคนที่เตือนเราว่าเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ น้อมรับเถิด
แม้ว่าคำเตือนนั้นจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็ไม่เป็นไร รับฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งสวน แย้ง
หรือขัดคอ แต่ถ้าเราเป็นผู้ไปเตือนเขา เราต้องเตือนด้วยความสุขุมรอบคอบ ระมัดระวัง
อย่าให้ไปกระทบอีโก้ของเขา
มีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ประธานบริษัทเหล็กกล้าใหญ่ในอเมริกา
มีชื่อเสียงมากในยุคหนึ่ง เขาสามารถทำผลงานโดดเด่น เพราะเขารวมทีมได้เข้มแข็งมาก
พนักงานรักและเชื่อฟังเขาหมดทุกคน มาดูตัวอย่างว่าเขาทำอย่างไร
วันหนึ่ง
ขณะที่เขาเดินไปตรวจโรงงานเจอคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ป้าย
ที่เขียนว่า “ห้ามสูบบุหรี่ในโรงงาน” เขาเดินเข้าไปพูดคุยซักถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ซักไซ้เรื่องการงานต่าง ๆ แต่ไม่พูดถึงบุหรี่เลย
แล้วล้วงบุหรี่ชั้นดีจากกระเป๋าส่งให้ และบอกว่าผมจะขอบคุณมากเลย
ถ้าคุณช่วยเอาบุหรี่นี้ออกไปสูบข้างนอก
พนักงานก็มีความรู้สึกว่าเจ้านายไม่ได้ดุเราที่สูบบุหรี่ใต้ป้ายห้าม
กลับอุตส่าห์ให้บุหรี่มาอีกซองหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่า
ควรจะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้านาย เห็นไหมว่าเป็นการเตือนที่เบาที่สุด
แล้วไม่กระทบอีโก้ด้วย เตือนอย่างนี้โอกาสที่เขาจะฮึดฮัดขึ้นมาไม่มีเลย
เรื่องคนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ศิลปะ เราต้องเข้าใจตัวเราเอง
แล้วจะเข้าใจคนอื่น ถ้าเราอยู่ในสถานะเป็นผู้รับคำเตือน
ก็ต้องปรับสภาพใจตัวเองให้ได้
ถ้าอยู่ในสถานะเป็นผู้เตือนคนอื่นยิ่งต้องคิดหาวิธีการเตือนที่นุ่มนวลที่สุด
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ
ถ้าทุกคนทำสถานะตัวเองให้เป็นผู้รับคำเตือนและผู้ให้คำเตือนที่เหมาะสมอย่างนี้
สังคมโดยรวมจะเจริญขึ้น แล้วจะอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงกัปไขลง (ปีก่อนหน้า)
ชาตินี้ ชาติหน้า
ศิลปะกับศาสนา
แนะแนวบัณฑิตใหม่
ธรรมะกับเสียงเพลง
ธรรมะกับเสียงเพลง |
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงกัปไขลง (ปีก่อนหน้า)
ชาตินี้ ชาติหน้า
ศิลปะกับศาสนา
แนะแนวบัณฑิตใหม่
ธรรมะกับเสียงเพลง
จับดีเขา จับผิดเรา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
10:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: