หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๙)
ช่วงกาลทานมหากฐิน ๑
เดือนนับจากหลังวันออกพรรษาถึงวันลอยกระทง
ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สําคัญสําหรับพุทธศาสนิกชนก็เป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อย
เป็นที่ปลื้มปีติของชาวพุทธ ผู้รักการแสวงบุญสร้างบารมีทุกคนในวาระอายุวัฒนมงคลได้ ๗๒ ปีของหลวงพ่อธัมมชโย มีโครงการทอดกฐินทั่วไทย
โดยคณะศิษยานุศิษย์เป็นผู้แทนไปทอดตามวัดต่าง ๆ ทําให้เห็นคุณค่าของคําสอนอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่หล่อเลี้ยงจิตใจสาธุชน จนเนื่องไปถึงเศรษฐกิจของประเทศที่ทําให้เกิดภาวะฟื้นฟู
ซึ่งเกิดจากความศรัทธาบริจาคสิ่งของอันควรแก่สมณบริโภค
และถวายปัจจัยทําบุญให้แก่วัด พระสงฆ์
ซึ่งทางวัดก็จะได้มีกองทุนนําไปใช้ก่อสร้างหรือซ่อมแซมศาสนสมบัติที่ยังคงค้างอยู่
ในการนี้ทีมงานนักวิจัยของสถาบันฯ DIRI นอกจากจะได้ไปทอดกฐินในวัดสําคัญ ๆ หลายแห่ง และที่จังหวัดมหาสารคามก็มีโอกาสได้ไปเก็บข้อมูล
และสานต่อการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานอักษรธรรมอีสานที่พิพิธภัณฑ์วัดมหาชัย (พระอารามหลวง) และวัดหนองหล่ม
ทําให้ได้ทั้งงานบุญและงานวิชาการไปพร้อม ๆ กัน
สําหรับในฉบับที่แล้วนั้น ผู้เขียนได้พาท่านผู้อ่านให้ย้อนกลับไปรู้จักกับประวัติศาสตร์ของ
“พระธรรมจักรศิลา” และความเชื่อมโยงกันของการที่พระพุทธศาสนาได้เริ่มเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หรือประมาณ ๑,๔๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้ว
ซึ่งควรกล่าวได้ว่า “พระธรรมจักรศิลา” นี้มีความสําคัญมาก เพราะศิลาหลักนี้ได้จารึกหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไว้ให้เราศึกษาอย่างครบถ้วน
นับตั้งแต่อริยสัจ
(ความจริง ๔ ประการ)
กระบวนการดําเนินไปของอริยมรรค ซึ่งนับว่าเป็น “ศิลาจารึก” ที่มีความเก่าแก่กว่าหลักฐานชิ้นใดที่บรรจุข้อความในลักษณะเดียวกันนี้
ในคืนวันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา
ผู้เขียนได้นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราช
ผ่านโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
ซึ่งทั้งตัวผู้เขียนเองและคณะนักวิชาการของสถาบันฯ DIRI ต่างก็มีมติเห็นร่วมกันว่า
ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราชที่ยังไม่ได้นํามาขยายความอีกหลายประเด็น
โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในจารึก
ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชน ทําให้มีกําลังใจในการสร้างบารมีสั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป
และเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงเป็นตัวอย่างของพระธรรมราชาธิราชที่จรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้พระองค์หนึ่ง
ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น หลังจากทรงทําสงครามเอาชนะแคว้นกลิงคะได้แล้ว
พระองค์มิได้ทรงยินดีที่จะดําเนินนโยบายโดยใช้ความรุนแรงอีกต่อไป การณ์กลับเป็นว่าพระองค์ทรงหันมาทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่
เนื่องด้วยมีพระราชศรัทธาในสามเณรนิโครธ และทรงตระหนักว่า
การทําสงครามมิใช่หนทางที่นําไปสู่ชัยชนะที่แท้จริง
เรียกว่าทรงเปลี่ยนจากพระราชาผู้กําชัยด้วยสงคราม (สายกวิชัย) มาสู่ความเป็น “ธรรมวิชัย” หรือ “ชนะโดยธรรม” ในที่สุด ซึ่งสิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้ชัดถึงความจริงในข้อนี้ได้ดีที่สุดก็คือ
การศึกษาพิจารณาจากหลักฐานที่มีอยู่ในสมัยนั้นเป็นสําคัญ ทั้งนี้
ข้อถกเถียงในเรื่องเกี่ยวกับความแท้จริงของหลักฐานศิลาจารึกพระเจ้าอโศกนั้น
มีข้อยุติมาเนิ่นนานแล้วว่าทั้งหมดเป็นของจริง และข้อความในจารึกล้วนเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาจริง
จากศิลาจารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราช
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นนั้น1 พบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับการสร้างความผาสุกแก่ราษฎร
การปรับปรุงแก้ไขพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ในราชอาณาจักรให้เอื้ออํานวยต่อการดํารงชีวิตและการประกอบสัมมาอาชีพของราษฎร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการทรงพยายามโน้มนําให้ราษฎรของพระองค์ก้าวมาสู่หนทางของพระพุทธศาสนา
ซึ่งการที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้ค่อนข้างชี้ชัดว่าทรงมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม
ที่ให้ความสําคัญแก่การปฏิบัติธรรมและความมั่นคงของพระพุทธศาสนามากเพียงใด
1
โดยทั่วไปแล้ว นักวิชาการทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาต่างยอมรับกันว่า
จารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น มีหลงเหลือมาถึงปัจจุบันใน ๖ รูปแบบ
รวม ๓๓ รายการด้วยกัน คือ ๑) พระราชโองการที่จารึกบนก้อนศิลาจํานวน ๑๖ จารึก ๒) พระราชโองการที่จารึกบนแผ่นศิลาเล็ก
๓ จารึก ๓) พระราชโองการที่จารึกบนเสาศิลา ๘ จารึก ๔)
พระราชโองการที่จารึกบนเสาศิลาน้อย ๓ จารึก ๕)
จารึกบนหลักศิลาที่ไม่ใช่พระราชโองการ ๒ จารึก และจารึกบนผนังถ้ำ ๑ จารึก
จากการศึกษาร่วมกับคณะนักวิจัยและนักศึกษาของสถาบันฯ DIRI ที่ส่งไปศึกษาเกี่ยวกับจารึกโบราณของพระเจ้าอโศกมหาราช พบว่า
ทรงมีเป้าหมายในการเป็นกษัตริย์แห่งธรรมจริงดังที่นักวิชาการหลายแขนงได้วิเคราะห์
ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพระเจ้าอโศกมหาราช “พระปิยทัสสี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ” นั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในยุคของพระองค์ดังที่ไม่เคยมีราชาแคว้นใดทรงทํามาก่อน
แต่ประเด็นที่เราเห็นนอกเหนือไปจากนั้นก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น มิได้ทรงมีจุดมุ่งหมายเพียงแต่การเป็น “กษัตริย์ผู้เป็นที่รักของทวยเทพ” และของประชาชนเท่านั้น
หากแต่ยังทรงมุ่งหวังที่จะเป็น “พุทธบริษัทที่ดี” ที่บรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการหลุดพ้นเช่นเดียวกับมหาราชาองค์อื่น
ๆ ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากพระบรมราชโองการฉบับหนึ่งของพระองค์ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า...
ศิลาจารึกฉบับน้อย ตอนที่ ๑
จารึกฉบับเหนือ
พระผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพได้ตรัสไว้ดังนี้
“นับเป็นเวลาเกินกว่าสองปีครึ่งแล้ว ที่ข้าฯ ได้เป็นอุบาสก แต่ตลอดเวลา ๑ ปี ข้าฯ มิได้ทําความพากเพียรใด ๆ อย่างจริงจังเลย และนับเป็นเวลา ๑ ปีเศษแล้วที่ข้าฯ ได้เข้าหาสงฆ์ ข้าฯ จึงได้ลงมือทำความพากเพียรอย่างจริงจัง...”2
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่า พระเจ้าอโศกมหาราชนั้นอาจจะทรงเริ่มศึกษาหลักธรรมและการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา หรือทรงได้รับคําแนะนําให้ปฏิบัติธรรมมากขึ้นแล้ว แต่อาจยังไม่ก้าวหน้านัก จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะกลับมาทําให้สําเร็จอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นแล้ว เราอาจจะอนุมานได้ว่า คําจารึกนี้น่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากการทําสงครามพิชิตแคว้นกลิงคะไม่นานนัก และเป็นช่วงที่กําลังทรงเริ่มศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนาในระยะแรก ๆ อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อความในจารึกส่วนนี้แล้ว เมื่อได้พิจารณาข้อความใน “จารึกหลักศิลา” อื่น ๆ เพิ่มเติม ก็ทําให้เราสามารถกล่าวได้ชัดเจนขึ้นว่า พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ทรงมีวิริยอุตสาหะ และทรงให้ความสําคัญกับธรรมปฏิบัติเพียงใด ดังข้อความตอนหนึ่งว่า ...
จารึกหลักศิลา ฉบับที่ ๑
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้ตรัสไว้ดังนี้
“ธรรมโองการนี้ ข้าฯ ได้ให้จารึกขึ้นไว้เมื่ออภิเษกแล้วได้ ๒๖ พรรษา ประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้าย่อมเป็นสิ่งที่จะพึงปฏิบัติให้สําเร็จโดยยาก หากปราศจากความเป็นผู้ใคร่ธรรมอย่างยิ่งยวด การใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างยิ่งยวด การตั้งใจฟังคําสั่งสอนอย่างยิ่งยวด ความเกรงกลัวต่อบาปอย่างยิ่งยวด และความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ...
“บัดนี้ ด้วยอาศัยคําสั่งสอนของข้าฯ ความมุ่งหวังในทางธรรม ความฝักใฝ่ใคร่ธรรม ได้เจริญงอกงามขึ้นแล้วทุก ๆ วัน และจักเจริญงอกงามยิ่งขึ้นเรื่อยไปฯ...”3
2From: A. Cunningham (1876), Inscriptions of Asoka Vol.1: Corpus Inscriptionum Indicarum, Delhi Pillar Photolithographed, plate XVIII. อ้างถึงใน L. Suthisa (2016), Asokan Edicts : An Assemblage of Sociological Assertions and Moral Guidelines, p.115-116.
3From: A. Cunningham (1876), Inscriptions of Asoka Vol.1: Corpus Inscriptionum Indicarum, Delhi Pillar Photolithographed, plate XVIII. อ้างถึงใน L. Suthisa (2016), Asokan Edicts : An Assemblage of Sociological Assertions and Moral Guidelines, p.105-107.
จากข้อความที่ยกมานี้ แม้เป็นข้อความในช่วงต้นของจารึก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า มีพระราชหฤทัยมุ่งหวังในธรรมปฏิบัติเพียงใด (โดยเฉพาะเมื่อทรงก้าวเข้าสู่ปีที่ ๒๖ หลังจากราชาภิเษกแล้ว) ในด้านหนึ่ง ด้วยฐานะของความเป็นมหาราช สิ่งที่ทรงมุ่งหวังก็คือ การทําให้ประชาชนของพระองค์ แว่นแคว้นของพระองค์ผาสุก และในอีกด้านหนึ่ง เราย่อมจะเห็นได้ว่าทรงไตร่ตรอง (ธรรม) และทรงคํานึงถึงองค์ประกอบที่ทําให้เกิดความสําเร็จในการประพฤติธรรมอยู่มากพอสมควร ทั้งนี้หากพิจารณาถึงข้อความบางตอนในศิลาจารึกหลักอื่น ๆ ก็จะยิ่งเห็นความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ในศิลาจารึกแห่งไพรัต (Minor Rock Edict III : Calcutta-Bairat) มีการกล่าวถึงความเชื่อในพระพุทธศาสนาและชีวิตสมณะ ซึ่งคาดว่าเป็นจารึกช่วงท้ายของรัชกาล มีเนื้อความที่แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นอุบาสกผู้นับถือและปกป้องพระพุทธศาสนา
เนื้อหาศิลาจารึกแห่งไพรัต
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี ราชาแห่งมคธ ได้ทรงอภิวาทพระภิกษุสงฆ์แล้วตรัสปราศรัยกับพระภิกษุสงฆ์ด้วยความปรารถนาดี ขอให้ท่านจงมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ท่านได้กล่าวว่า : ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายย่อมทราบว่า ข้าพเจ้ามีความเคารพ เลื่อมใส และศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มากเพียงใด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ สิ่งใดก็ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสุภาษิต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ก็ข้อที่โยมพิจารณาด้วยดีนั้น คือข้อที่ว่า “ทําอย่างไรจึงจะดํารงรักษาพระธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ให้ได้ตลอดกาลนาน” ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ธรรมเหล่านี้คือ :
๑. วินยสมุกฺกํส - หลักธรรมดีเด่นในพระวินัย
ศิลาจารึกฉบับน้อย ตอนที่ ๑
จารึกฉบับเหนือ
พระผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพได้ตรัสไว้ดังนี้
“นับเป็นเวลาเกินกว่าสองปีครึ่งแล้ว ที่ข้าฯ ได้เป็นอุบาสก แต่ตลอดเวลา ๑ ปี ข้าฯ มิได้ทําความพากเพียรใด ๆ อย่างจริงจังเลย และนับเป็นเวลา ๑ ปีเศษแล้วที่ข้าฯ ได้เข้าหาสงฆ์ ข้าฯ จึงได้ลงมือทำความพากเพียรอย่างจริงจัง...”2
จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่า พระเจ้าอโศกมหาราชนั้นอาจจะทรงเริ่มศึกษาหลักธรรมและการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา หรือทรงได้รับคําแนะนําให้ปฏิบัติธรรมมากขึ้นแล้ว แต่อาจยังไม่ก้าวหน้านัก จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะกลับมาทําให้สําเร็จอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นแล้ว เราอาจจะอนุมานได้ว่า คําจารึกนี้น่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากการทําสงครามพิชิตแคว้นกลิงคะไม่นานนัก และเป็นช่วงที่กําลังทรงเริ่มศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนาในระยะแรก ๆ อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อความในจารึกส่วนนี้แล้ว เมื่อได้พิจารณาข้อความใน “จารึกหลักศิลา” อื่น ๆ เพิ่มเติม ก็ทําให้เราสามารถกล่าวได้ชัดเจนขึ้นว่า พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ทรงมีวิริยอุตสาหะ และทรงให้ความสําคัญกับธรรมปฏิบัติเพียงใด ดังข้อความตอนหนึ่งว่า ...
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้ตรัสไว้ดังนี้
“ธรรมโองการนี้ ข้าฯ ได้ให้จารึกขึ้นไว้เมื่ออภิเษกแล้วได้ ๒๖ พรรษา ประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้าย่อมเป็นสิ่งที่จะพึงปฏิบัติให้สําเร็จโดยยาก หากปราศจากความเป็นผู้ใคร่ธรรมอย่างยิ่งยวด การใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างยิ่งยวด การตั้งใจฟังคําสั่งสอนอย่างยิ่งยวด ความเกรงกลัวต่อบาปอย่างยิ่งยวด และความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ...
“บัดนี้ ด้วยอาศัยคําสั่งสอนของข้าฯ ความมุ่งหวังในทางธรรม ความฝักใฝ่ใคร่ธรรม ได้เจริญงอกงามขึ้นแล้วทุก ๆ วัน และจักเจริญงอกงามยิ่งขึ้นเรื่อยไปฯ...”3
2From: A. Cunningham (1876), Inscriptions of Asoka Vol.1: Corpus Inscriptionum Indicarum, Delhi Pillar Photolithographed, plate XVIII. อ้างถึงใน L. Suthisa (2016), Asokan Edicts : An Assemblage of Sociological Assertions and Moral Guidelines, p.115-116.
3From: A. Cunningham (1876), Inscriptions of Asoka Vol.1: Corpus Inscriptionum Indicarum, Delhi Pillar Photolithographed, plate XVIII. อ้างถึงใน L. Suthisa (2016), Asokan Edicts : An Assemblage of Sociological Assertions and Moral Guidelines, p.105-107.
จากข้อความที่ยกมานี้ แม้เป็นข้อความในช่วงต้นของจารึก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า มีพระราชหฤทัยมุ่งหวังในธรรมปฏิบัติเพียงใด (โดยเฉพาะเมื่อทรงก้าวเข้าสู่ปีที่ ๒๖ หลังจากราชาภิเษกแล้ว) ในด้านหนึ่ง ด้วยฐานะของความเป็นมหาราช สิ่งที่ทรงมุ่งหวังก็คือ การทําให้ประชาชนของพระองค์ แว่นแคว้นของพระองค์ผาสุก และในอีกด้านหนึ่ง เราย่อมจะเห็นได้ว่าทรงไตร่ตรอง (ธรรม) และทรงคํานึงถึงองค์ประกอบที่ทําให้เกิดความสําเร็จในการประพฤติธรรมอยู่มากพอสมควร ทั้งนี้หากพิจารณาถึงข้อความบางตอนในศิลาจารึกหลักอื่น ๆ ก็จะยิ่งเห็นความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ในศิลาจารึกแห่งไพรัต (Minor Rock Edict III : Calcutta-Bairat) มีการกล่าวถึงความเชื่อในพระพุทธศาสนาและชีวิตสมณะ ซึ่งคาดว่าเป็นจารึกช่วงท้ายของรัชกาล มีเนื้อความที่แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นอุบาสกผู้นับถือและปกป้องพระพุทธศาสนา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี ราชาแห่งมคธ ได้ทรงอภิวาทพระภิกษุสงฆ์แล้วตรัสปราศรัยกับพระภิกษุสงฆ์ด้วยความปรารถนาดี ขอให้ท่านจงมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ท่านได้กล่าวว่า : ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายย่อมทราบว่า ข้าพเจ้ามีความเคารพ เลื่อมใส และศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มากเพียงใด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ สิ่งใดก็ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสุภาษิต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ก็ข้อที่โยมพิจารณาด้วยดีนั้น คือข้อที่ว่า “ทําอย่างไรจึงจะดํารงรักษาพระธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ให้ได้ตลอดกาลนาน” ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ธรรมเหล่านี้คือ :
๑. วินยสมุกฺกํส - หลักธรรมดีเด่นในพระวินัย
๒. อริยวาส - ความเป็นอยู่อย่างพระอริยะ
๓. อนาคตภย - ภัยอันจะมีในอนาคต
๔. มุนิคาถา - คาถาของพระจอมมุนี
๕. โมเนยฺยสุตฺต - พระสูตรว่าด้วยโมไนยปฏิปทา
๖. อุปติสฺสปญฺหา - ปัญหาของอุปติสสะ และ
๗.
ข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในราหุโลวาท อันว่าด้วยเรื่องมุสาวาท
“ข้าแต่พระภิกษุผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในส่วนที่เกี่ยวกับธรรมบรรยายเหล่านี้ว่า ขอพระภิกษุและพระภิกษุณีทุกท่านที่ได้รับฟังพึงพิจารณาใคร่ครวญโดยสม่ำเสมอ และจดจําไว้แม้แต่อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลายก็ควรประพฤติเช่นเดียวกัน ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย จารึกนี้ได้ถูกเขียนขึ้นไว้ก็เพื่อให้ชนทั้งหลายได้เข้าใจความมุ่งหมายนี้”
เมื่อพิจารณาโดยพื้นฐานเราอาจแลเห็นว่า การที่ทรงจารึกหลักธรรมเหล่านี้ไว้ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะมีพระราชประสงค์จะให้ความรู้แก่ประชาชนหรือสั่งสอนประชาชนให้อยู่ในธรรม เพื่อประโยชน์แห่งการปกครองรัฐให้สงบสุข แต่จากเนื้อความหลัก ๆ เราจะพบว่าในอีกด้านหนึ่งมีพระราชปรารภอย่างลึกซึ้งถึงการขัดเกลาจิตใจ (ทั้งของประชาชนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพระองค์เองด้วย) ไปพร้อม ๆ กันเสมือนหนึ่งจะทรงรําลึกถึงบุญและกุศลต่าง ๆ ที่ทรงปฏิบัติให้ชัดเจนขึ้น และเพื่อให้พระราชหฤทัยของพระองค์นั้นชุ่มชื่น เพื่อให้การปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้นก้าวหน้าขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในโลกเบื้องหน้าที่ทรงคํานึงถึง
และหากเราพิจารณากันโดยทิศทางดังกล่าวนี้ก็ควรกล่าวได้ว่า แม้การทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา การทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ บําเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรอย่างกว้างขวาง การทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ การส่งสมณทูต ตลอดจนพระเถรานุเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ (รวมตลอดถึงการปรับปรุงการปกครองให้มุ่งเน้นที่ประโยชน์สุขของประชาชนตลอดรัชสมัยเรื่อยมา) นั้น สาระสําคัญก็คือ “การปูพื้นฐานทางกุศลกรรม” ของพระองค์เองให้ถึงพร้อมตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวดด้วยนั่นเอง เพื่อให้พระราชหฤทัยของพระองค์ยิ่งสามารถโน้มเข้าไปสู่ “ธรรม” ได้ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น
อย่างไรก็ดีการศึกษาพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอโศกมหาราชโดยผ่านหลักฐาน คือ ศิลาจารึกในข้างต้นนี้ แม้เป็นเพียงตัวอย่างในส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ในมิติที่สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ไม่เคยละทิ้งก็คือ การเข้าไปสืบค้นประเด็นที่อาจตกหล่นหรือมีข้อแท้จริงบางประการที่ยังไม่ได้นําเสนอออกมาสู่โลกและสาธารณะให้มากที่สุด ซึ่งในกรณีของศิลาจารึกพระเจ้าอโศกนี้ ควรถือว่ามีประเด็นและเรื่องราวที่น่าสนใจศึกษาอีกไม่น้อย โปรดติดตามเรื่องราวที่จะนํามาเสนอตามโอกาสอันควร
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต).จารึกอโศก รัฐศาสตร์แห่งธรรมาธิปไตย. สมุทรปราการ.สํานักพิมพ์ผลิธัมม์,๒๕๕๒.
“ข้าแต่พระภิกษุผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในส่วนที่เกี่ยวกับธรรมบรรยายเหล่านี้ว่า ขอพระภิกษุและพระภิกษุณีทุกท่านที่ได้รับฟังพึงพิจารณาใคร่ครวญโดยสม่ำเสมอ และจดจําไว้แม้แต่อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลายก็ควรประพฤติเช่นเดียวกัน ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย จารึกนี้ได้ถูกเขียนขึ้นไว้ก็เพื่อให้ชนทั้งหลายได้เข้าใจความมุ่งหมายนี้”
เมื่อพิจารณาโดยพื้นฐานเราอาจแลเห็นว่า การที่ทรงจารึกหลักธรรมเหล่านี้ไว้ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะมีพระราชประสงค์จะให้ความรู้แก่ประชาชนหรือสั่งสอนประชาชนให้อยู่ในธรรม เพื่อประโยชน์แห่งการปกครองรัฐให้สงบสุข แต่จากเนื้อความหลัก ๆ เราจะพบว่าในอีกด้านหนึ่งมีพระราชปรารภอย่างลึกซึ้งถึงการขัดเกลาจิตใจ (ทั้งของประชาชนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพระองค์เองด้วย) ไปพร้อม ๆ กันเสมือนหนึ่งจะทรงรําลึกถึงบุญและกุศลต่าง ๆ ที่ทรงปฏิบัติให้ชัดเจนขึ้น และเพื่อให้พระราชหฤทัยของพระองค์นั้นชุ่มชื่น เพื่อให้การปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้นก้าวหน้าขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในโลกเบื้องหน้าที่ทรงคํานึงถึง
และหากเราพิจารณากันโดยทิศทางดังกล่าวนี้ก็ควรกล่าวได้ว่า แม้การทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา การทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ บําเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรอย่างกว้างขวาง การทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ การส่งสมณทูต ตลอดจนพระเถรานุเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ (รวมตลอดถึงการปรับปรุงการปกครองให้มุ่งเน้นที่ประโยชน์สุขของประชาชนตลอดรัชสมัยเรื่อยมา) นั้น สาระสําคัญก็คือ “การปูพื้นฐานทางกุศลกรรม” ของพระองค์เองให้ถึงพร้อมตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวดด้วยนั่นเอง เพื่อให้พระราชหฤทัยของพระองค์ยิ่งสามารถโน้มเข้าไปสู่ “ธรรม” ได้ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น
อย่างไรก็ดีการศึกษาพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอโศกมหาราชโดยผ่านหลักฐาน คือ ศิลาจารึกในข้างต้นนี้ แม้เป็นเพียงตัวอย่างในส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ในมิติที่สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ไม่เคยละทิ้งก็คือ การเข้าไปสืบค้นประเด็นที่อาจตกหล่นหรือมีข้อแท้จริงบางประการที่ยังไม่ได้นําเสนอออกมาสู่โลกและสาธารณะให้มากที่สุด ซึ่งในกรณีของศิลาจารึกพระเจ้าอโศกนี้ ควรถือว่ามีประเด็นและเรื่องราวที่น่าสนใจศึกษาอีกไม่น้อย โปรดติดตามเรื่องราวที่จะนํามาเสนอตามโอกาสอันควร
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต).จารึกอโศก รัฐศาสตร์แห่งธรรมาธิปไตย. สมุทรปราการ.สํานักพิมพ์ผลิธัมม์,๒๕๕๒.
L. Suthisa (2016),Asokan Edicts :AnAssemblage of
Sociological Assertions and Moral Guidelines.
School of Buddhist Study and Civilization, Gautam
Buddha University.
Romila Thapar,Aśoka and the Decline of the Mauryas,
second edition, 1973, Chapter V, p.179-180.
Cr.พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม)
และคณะนักวิจัย DIRI
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
คลิกอ่านหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามบทความด้านล่างนี้
Cr.พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม)
และคณะนักวิจัย DIRI
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
![]() |
วัดหนองหล่ม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม |
![]() |
วัดโพธิ์ศรี อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม |
![]() |
พิพิธภัณฑ์วัดมหาชัย (พระอารามหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม |
![]() |
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๘) |
คลิกอ่านหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามบทความด้านล่างนี้
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๙)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
10:30
Rating:

ไม่มีความคิดเห็น: