โหราทายทัก
ทำไมคนเราเชื่อเรื่องการดูหมอ
ธรรมชาติของมนุษย์มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ห่อหุ้มใจอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เรื่องนี้เป็นมาแต่โบราณ พอเห็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า หรือพายุมาก็กลัว แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเริ่มหาที่พึ่ง จึงเกิดการสร้างให้มีเทพขึ้นมา เช่น เทพประจำภูเขา เทพเจ้าพายุ เทพเจ้าลม เทพเจ้าฝน เทพเจ้าไฟ เห็นต้นไม้ใหญ่ ๆ น่าจะมีเทพอยู่ก็ไหว้ต้นไม้ บางทีก็ไหว้จอมปลวก โดยหวังว่าถ้ากราบไหว้อ้อนวอนเทพเจ้าเหล่านี้แล้วจะปลอดภัย
เวลาเจอปัญหาส่วนตัว แต่เทพเจ้าคุยด้วยไม่ได้ ก็ต้องหาใครสักคนมาแนะนำ เลยมีหมอดู มีพวกเข้าทรงขึ้นมา ใครมีปัญหาแล้วรู้สึกว่าลำพังตัวเองไม่สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ หวังพึ่งอำนาจภายนอกที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่มั่นใจได้มากกว่า ก็เลยไปหาคนทรงบ้าง หมอดูบ้าง ซึ่งหมอดูเหล่านี้ทำนายตามหลักโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็บสถิติ
โดยสรุปเริ่มต้นจากความไม่รู้ที่หุ้มห่อใจมนุษย์ แล้วนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งใหญ่ ๆ ก็กลายเป็นเทพ ที่พึ่งย่อย ๆ เฉพาะตัวบุคคลก็กลายเป็นหมอดู
เคยไปดูหมอ หมอดูบอกว่า ถ้าจับไพ่ได้หมายเลขห้า ติดกันห้าใบ เขาบอกว่าเทพไม่ให้ดู อย่างนี้เป็นจริงไหม
พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า "ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนพาลผู้ไม่รู้สัจธรรม ผู้มัวรอแต่ฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้"
เวลาสร้างโบสถ์ สร้างอาคาร สร้างโรงพยาบาล จะมีการวางศิลาฤกษ์ วัตถุประสงค์เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าจะมีการก่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อสาธารณประโยชน์ จะได้มาช่วยกันสร้างให้สำเร็จ แต่ถ้าสร้างบ้านไม่ต้องวางศิลาฤกษ์ ถ้าเป็นของสาธารณะไม่มีใครจ่ายเงินโดยตรง ต้องมีการวางศิลาฤกษ์ แจ้งข่าว ให้ทุกคนมาช่วยกัน แล้วจะเลือกวันไหนดี ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ใน ๑๒ เดือนนี้มีเดือนรวยเดือนจน เช่น เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนจน เพราะโรงเรียนเปิดเรียน ต้องจ่ายค่าเทอม มกราคมก็เดือนจนเพราะเพิ่งแจกของขวัญและมีรายจ่ายอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ถ้าจะวางศิลาฤกษ์ต้องเลือกเดือนรวย และเลือกเดือนที่ฝนไม่ตก เพราะถ้าฝนตกคนมางานไม่สะดวก การก่อสร้างก็ไม่สะดวก ฉะนั้นเดือนที่เหมาะน่าจะเป็นเดือนธันวาคม พ้นฝนไปแล้ว และยังอยู่ในช่วงเดือนรวย อากาศก็เย็นสบาย ถัดมาดูว่าวันไหนสะดวกที่สุด ก็ต้องวันอาทิตย์ วันธรรมดาเขาทำงานกัน แล้วจะเลือกอาทิตย์ไหน ต้นเดือนหรือปลายเดือน ต้นเดือน เงินเดือนเพิ่งออกเป็นวันที่รวยที่สุด ดังนั้นสรุปว่าเอา เดือนธันวาคม วันอาทิตย์ต้นเดือน เสร็จแล้วจะเอาเวลากี่โมง ตี ๓ มีคนมาไหม เขาไม่มา จากกรุงเทพฯ มาถึงวัดใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เริ่มพิธีสัก ๙ โมงครึ่ง อย่างนี้สะดวก นี่คือฤกษ์พระพุทธเจ้า
มีโยมมาถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับผมจะลงเสาเอกสร้างบ้าน หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์ให้หน่อย หลวงพ่อท่านถามว่ามีที่หรือยัง เรียบร้อยแล้วครับ สถาปนิกออกแบบหรือยัง เสร็จแล้วครับ งบประมาณเตรียมไว้หรือยัง เตรียมแล้วครับ บริษัทรับเหมาติดต่อได้หรือยัง หาได้แล้วครับ ท่านบอกพรุ่งนี้เริ่มได้เลย ถ้าเงื่อนไขทุกอย่างพร้อม ประชุมสรุปกันแล้ว ก็เดินหน้าเลย นี่คือการดูฤกษ์แบบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ดูดวงดาว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความพร้อม
เวลาดวงตกหรือโชคไม่ค่อยดี เขาให้ไปแก้ดวง ไปเสริมดวง ทำแล้วได้ผลจริงหรือไม่
ถ้าเรามีอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิต แล้วอยากแก้ไขให้ผ่านพ้นไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องไปเสริมบุญ จะเสริมดวงต้องไปเสริมบุญ คือทำบุญทั้งตักบาตร ถวายสังฆทาน เสร็จแล้วก็รักษาศีล ศีล ๘ ยิ่งดี ในวันพระหรือวันเกิดก็ได้ แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ทำทาน รักษาศีล ทำภาวนาให้ครบ บุญก็จะหนุนส่งเรา แล้วเราจะเอาชนะอุปสรรคได้ เพราะวิบากกรรมในอดีตที่เคยทำไว้ชาติที่แล้วเยอะแยะ มันเป็นเหมือนระเบิดเวลารอจังหวะที่จะส่งผล หรือถ้าจะเปรียบชีวิตเราเหมือนเรือ อุปสรรคเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนหินโสโครกใต้น้ำ ที่เรือของเราพร้อมจะไปเกยโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่หินโสโครกที่น่ากลัวนั้น ถ้าน้ำขึ้นสูง เรือวิ่งฉิวผ่านสบายเลย เรามีผลของวิบากกรรมเป็นเหมือนระเบิดเวลาในชีวิตอยู่ ถ้าเราไปเติมบุญก็เหมือนกับน้ำขึ้น หนุนนาวาชีวิตเราขึ้นไป ผ่านอุปสรรคไปได้ฉิวเลย ไม่มีปัญหา นี่คือการเสริมดวงที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ทำบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ (ทาน ศีล ภาวนา) ให้ครบ แล้วจะผ่านอุปสรรคไปได้
ปัจจุบันมีหมอดูชื่อดัง ออกมาทำนายทายทัก ผ่านสื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อย่างนั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อเสียด้วย เราควรจะเชื่อหรือไม่
เอาเป็นว่าแต่ละหมอที่ลงหนังสือไปเปิดอ่านดูเถิด จะพบว่าผิดมากกว่าถูก แค่นี้ก็ตอบได้แล้วว่า ควรเชื่อหรือไม่ สังคมเราตอนนี้กำลังขาดปัญญา แล้วก็สับสนไม่รู้จะไปทางไหน ก็เลยหันมาหาโหราศาสตร์ เป็นที่พึ่ง
ในบ้านเมืองที่พัฒนากว่าเรา เวลาเกิดปัญหาเขาจะตัดสินใจแก้ไขบนพื้นฐานของข้อมูล ไม่มาเถียงกันจนประชาชนที่รับข่าวสารไม่รู้จะไปทางไหน เขาจะเอาคนที่เก่งเรื่องนั้นที่สุดมากลุ่มหนึ่ง แล้วตั้งคณะศึกษารวมข้อมูลทั้งโลกที่มีคนเคยทำมาหลาย ๆ รูปแบบ มาดูว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง แล้วนำเสนอกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ประชาชนพอรับข้อมูลอย่างนี้หูตาสว่างเลย รู้แล้วว่าควรจะวินิจฉัยอย่างไร มีหลักในการตัดสินใจอย่างไร เพราะเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั้งโลก ถ้าสื่อมวลชนนำเสนออย่างนี้ ประชาชน จะฉลาดขึ้น แล้วก็ไม่ต้องพึ่งหมอดูมาก สังคมก็จะมีภูมิต้านทาน ไม่อ่อนแอ ผู้คนไม่เป็นโรคตื่นข่าวลือ
การดูดวง หากไม่มีวิจารณญาณ หรือไม่มีการตั้งสติเลย จะส่งผลกับครอบครัวหรือสังคมอย่างไรบ้าง
เราทุกคนเป็นเหมือนนายท้ายเรือ หากเรานำเรือชีวิตของเราโดยอิงเหตุผลและข้อมูล ก็เหมือนไต้ก๋ง ที่จะเดินเรือไปไหนก็ตั้งเป้าหมาย เสร็จแล้วก็ดูทิศทางลม สำรวจภูมิประเทศ แนวหินโสโครกมีตรงไหน ร่องน้ำลึกที่จะเดินเรือได้ปลอดภัยอยู่ตรงไหน แล้วเดินเรือไปด้วยข้อมูลที่มีอยู่ ก็จะมีความปลอดภัยสูง แต่ถ้าพึ่งหมอดู ก็เหมือนกับแล่นนาวาชีวิตไปตามที่คนอื่นบอก เขาบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็เลี้ยว ถามว่าทำไมต้องเลี้ยว ไม่รู้ ไม่มีเหตุผล ก็คนนั้นเขาบอกให้เลี้ยว ลองคิดดูว่า ถ้าเราจะต้องขึ้นเรือโดยสาร ๒ ลำนี้ เราจะเอาไต้ก๋งแบบไหน ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ต้องเป็นหลักให้สมาชิกในครอบครัวได้ ขืนเดินตามหมอดูชีวิตนี้คงไม่สดใสแน่ แล้วถ้าเป็นผู้นำองค์กร ผู้นำประเทศ ยิ่งต้องตัดสินโดยอิงข้อมูล ความเป็นไปที่แท้จริง จึงจะนำนาวาขององค์กร ของประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
มีหลักและวิธีการตั้งสติรับมือกับข่าวต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง
ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อโดยเหตุ ๑๐ อย่าง คืออย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา, อย่าเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบ ๆ กันมา, อย่าเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ, อย่าเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา, อย่าเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง, อย่าเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา, อย่าเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ, อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าตรงกับความเห็นของตน, อย่าเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ และอย่าเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
ทั้ง ๑๐ ประการนี้ ไม่ให้เชื่อโดยอิงเหตุภายนอก ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ดูว่าเรื่องนั้นมีเหตุผลอย่างไร ดีไม่ดีอย่างไร ดูความเชื่อมโยงสัมพันธ์โดยองค์รวมกับข้อมูลเดิมที่เรามีอยู่ว่าเข้ากันไหม ไตร่ตรองดีแล้วจึงสรุปตัดสินใจ ถ้าประยุกต์มาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเชื่อเลย เพราะที่จริงแล้วคอลัมน์ต่าง ๆ นั้น เป็นความเห็นของคน ๆ เดียว เราต้องแยกให้ได้ว่าอะไรเป็นความเห็น อะไรคือความจริง และต้องเก็บข้อมูลที่เป็นความจริงไว้ในใจเราจำนวนหนึ่ง ถึงคราวไปเจอที่ใครเขาว่ามา เราก็เทียบดูว่าสอดคล้องไหม ขัดแย้งกันไหม แล้วไตร่ตรองโดยภาพรวมให้ออก ค่อย ๆ ฝึกอย่างนี้ พอมองความสัมพันธ์เชื่อมโยงข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ออก เราจะวินิจฉัยข่าวสารที่ได้รับแต่ละชิ้นได้ว่า ข่าวสารเหล่านี้เราควรเชื่อไหม ไม่ใช่เจอนักวาทศิลป์พูดแล้วดูมีเหตุมีผลก็เชื่อเลย
เชื่อไหมว่าในบางแง่มุม คนมีความรู้หลอกง่ายกว่าคนที่มีความรู้น้อย เพราะคนมีความรู้ชอบคิดอะไรโดยตรรกะ พอเหตุผลสอดคล้องกับตรรกะก็เชื่อเลย ทีนี้ถ้าไปเจอนักให้เหตุผลที่ให้เหตุผลแบบนักโต้วาที คือให้บางส่วน คนฟังไม่มีเวลาคิดละเอียด เขายกนั่นยกนี่มาพูด ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ก็โดนหลอกไปเลย แต่ คนมีความรู้น้อยคิดเรื่องตรรกะไม่ค่อยเป็น ถ้าจะถามว่ารัฐบาลบริหารประเทศดีหรือไม่ดี เขาจะล้วงกระเป๋าดูว่ามีสตางค์ไหม เศรษฐกิจในครอบครัวเขาดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้น เขาก็บอกว่ารัฐบาลทำดี เขาตัดสินด้วยความจริง ฉะนั้นหลอกยาก แต่คนมีความรู้บางทีติดกับดักความรู้ของตัวเอง ให้พึงสังวรไว้ อย่ารีบด่วนเชื่อแล้วรีบสรุป ตรึกตรองให้ละเอียดรอบคอบแล้วเราจะไม่พลาด
ผู้หญิงคนหนึ่งไปดูดวงมาว่า จะคบกับคนนี้ได้หรือเปล่า หมอดูฟังธงว่าคบไม่ได้ เขาก็เชื่อหมอดู อย่างนี้ถูกไหม
ไม่ถูก ชีวิตตัวเองตัดสินโดยหมอดู เชื่อหมอดู มากกว่าเชื่อคนที่รู้จักกันมาตั้งนานก็ผิดหลักอยู่แล้ว เรื่องความเชื่อมั่นนี่แปลก เคยมีทหารไทยไปรบในสงครามเกาหลี ระหว่างรบระเบิดลงตูมกระเด็นไปที่ริมหนองน้ำ พระหลุดจากคอ ตกใจรีบคว้าใส่ปาก แล้วลุยต่อไป คราวนี้พระเต้นได้ เต้นตุบ ๆ อยู่ในปาก เจ้าตัวฮึกเหิมมาก พระแสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว ลุยสะบั้นหั่นแหลก รบเสร็จแล้วเอาพระมาดู ปรากฏ ว่าเป็นลูกกบ ถ้ารู้แต่ต้นว่าเป็นลูกกบสงสัยไม่กล้า นี่คือเรื่องของกำลังใจ ความเข้าใจผิดอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าเอาตรงนี้เป็นสาระ ให้ตัดสินใจด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อมูล ด้วยการไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่เชื่อคนง่าย ไม่หลงไปกับกระแสข่าวลือ ถ้าสังคมไหนมีคนอย่างนี้เยอะ ๆ สังคมนั้นจะเป็นสังคมที่อุดมด้วยปัญญาและจะมีความเจริญ แต่จะได้อย่างนี้ต้องตั้งสติดี ๆ แล้วก็นั่งสมาธิด้วย พอใจสงบ เราจะมองเห็นอะไรกระจ่างขึ้น มิฉะนั้นจะแยกแยะอะไรไม่ออก ภาพมันจะพร่า ถ้าใจนิ่ง ภาพจะชัด สามารถวินิจฉัยได้ว่าอะไรเป็นอะไร ให้เราพึ่งตนเอง เชื่อมั่นในเรื่องกรรม ไม่ใช่พรหมลิขิต ให้ทำความดี แล้วทุกอย่างจะดีเอง
มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องของฮวงจุ้ย ที่ภาษาจีนกลางเรียกว่าฟงสุย ฟง แปลว่า ลม จุ้ย หรือ สุย แปลว่า น้ำ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นศาสตร์ว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และที่เขาบอกว่าบ้านที่ตั้งอยู่ที่ทางสามแพร่งไม่ดี ก็มีส่วนจริง เพราะรถบนถนนที่ตั้งฉากกับบ้านจะวิ่งเข้าวิ่งออก คนเดินไปเดินมา มองพุ่งมาที่บ้านตลอด คนอยู่บ้านนี้สุขภาพจิตจะไม่ค่อยดี รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว คอยผวาอยู่เรื่อย
ที่ทำเนียบขาวสมัยบิล คลินตัน ยังเอาซินแส ฮวงจุ้ยไปจัดออฟฟิศเลย ทำเนียบประธานาธิบดีของ สหรัฐอเมริกาผู้นำโลกต้องให้ซินแสไปจัดฮวงจุ้ยให้ คือจัดสิ่งแวดล้อม ตกแต่งสวน ตกแต่งโต๊ะ เก้าอี้ สีสัน ฯลฯ ให้สอดคล้องกับอารมณ์ของคน ให้ดูแล้วสบายใจ ให้ผสมกลมกลืนพอดี ๆ นี้คือศาสตร์ของฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของหมอดู ถ้าฮวงจุ้ยไหนไปเอาแนวคิดของหมอดูมาใช้ก็ผิดหลัก แต่ถ้าจัดเพื่อให้สบายใจก็ทำได้ เช่น เอากระจกมาติดไว้ที่ตึกที่ทางสามแพร่งเหมือนให้กระแสที่พุ่งเข้ามาสะท้อนออกไปอะไรทำนองนี้ เพื่อให้คนที่อยู่รู้สึกสบายใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่เหตุผลและข้อมูล อยู่ด้วยปัญญา ต้องไม่อยู่กับเรื่องที่ตรึกตรองไม่ได้2111เหนือเหตุ เหนือผล อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
ธรรมชาติของมนุษย์มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ห่อหุ้มใจอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เรื่องนี้เป็นมาแต่โบราณ พอเห็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า หรือพายุมาก็กลัว แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเริ่มหาที่พึ่ง จึงเกิดการสร้างให้มีเทพขึ้นมา เช่น เทพประจำภูเขา เทพเจ้าพายุ เทพเจ้าลม เทพเจ้าฝน เทพเจ้าไฟ เห็นต้นไม้ใหญ่ ๆ น่าจะมีเทพอยู่ก็ไหว้ต้นไม้ บางทีก็ไหว้จอมปลวก โดยหวังว่าถ้ากราบไหว้อ้อนวอนเทพเจ้าเหล่านี้แล้วจะปลอดภัย
เวลาเจอปัญหาส่วนตัว แต่เทพเจ้าคุยด้วยไม่ได้ ก็ต้องหาใครสักคนมาแนะนำ เลยมีหมอดู มีพวกเข้าทรงขึ้นมา ใครมีปัญหาแล้วรู้สึกว่าลำพังตัวเองไม่สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ หวังพึ่งอำนาจภายนอกที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่มั่นใจได้มากกว่า ก็เลยไปหาคนทรงบ้าง หมอดูบ้าง ซึ่งหมอดูเหล่านี้ทำนายตามหลักโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็บสถิติ
โดยสรุปเริ่มต้นจากความไม่รู้ที่หุ้มห่อใจมนุษย์ แล้วนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งใหญ่ ๆ ก็กลายเป็นเทพ ที่พึ่งย่อย ๆ เฉพาะตัวบุคคลก็กลายเป็นหมอดู
เคยไปดูหมอ หมอดูบอกว่า ถ้าจับไพ่ได้หมายเลขห้า ติดกันห้าใบ เขาบอกว่าเทพไม่ให้ดู อย่างนี้เป็นจริงไหม
พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า "ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนพาลผู้ไม่รู้สัจธรรม ผู้มัวรอแต่ฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้"
เวลาสร้างโบสถ์ สร้างอาคาร สร้างโรงพยาบาล จะมีการวางศิลาฤกษ์ วัตถุประสงค์เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าจะมีการก่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อสาธารณประโยชน์ จะได้มาช่วยกันสร้างให้สำเร็จ แต่ถ้าสร้างบ้านไม่ต้องวางศิลาฤกษ์ ถ้าเป็นของสาธารณะไม่มีใครจ่ายเงินโดยตรง ต้องมีการวางศิลาฤกษ์ แจ้งข่าว ให้ทุกคนมาช่วยกัน แล้วจะเลือกวันไหนดี ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ใน ๑๒ เดือนนี้มีเดือนรวยเดือนจน เช่น เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนจน เพราะโรงเรียนเปิดเรียน ต้องจ่ายค่าเทอม มกราคมก็เดือนจนเพราะเพิ่งแจกของขวัญและมีรายจ่ายอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ถ้าจะวางศิลาฤกษ์ต้องเลือกเดือนรวย และเลือกเดือนที่ฝนไม่ตก เพราะถ้าฝนตกคนมางานไม่สะดวก การก่อสร้างก็ไม่สะดวก ฉะนั้นเดือนที่เหมาะน่าจะเป็นเดือนธันวาคม พ้นฝนไปแล้ว และยังอยู่ในช่วงเดือนรวย อากาศก็เย็นสบาย ถัดมาดูว่าวันไหนสะดวกที่สุด ก็ต้องวันอาทิตย์ วันธรรมดาเขาทำงานกัน แล้วจะเลือกอาทิตย์ไหน ต้นเดือนหรือปลายเดือน ต้นเดือน เงินเดือนเพิ่งออกเป็นวันที่รวยที่สุด ดังนั้นสรุปว่าเอา เดือนธันวาคม วันอาทิตย์ต้นเดือน เสร็จแล้วจะเอาเวลากี่โมง ตี ๓ มีคนมาไหม เขาไม่มา จากกรุงเทพฯ มาถึงวัดใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เริ่มพิธีสัก ๙ โมงครึ่ง อย่างนี้สะดวก นี่คือฤกษ์พระพุทธเจ้า
มีโยมมาถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับผมจะลงเสาเอกสร้างบ้าน หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์ให้หน่อย หลวงพ่อท่านถามว่ามีที่หรือยัง เรียบร้อยแล้วครับ สถาปนิกออกแบบหรือยัง เสร็จแล้วครับ งบประมาณเตรียมไว้หรือยัง เตรียมแล้วครับ บริษัทรับเหมาติดต่อได้หรือยัง หาได้แล้วครับ ท่านบอกพรุ่งนี้เริ่มได้เลย ถ้าเงื่อนไขทุกอย่างพร้อม ประชุมสรุปกันแล้ว ก็เดินหน้าเลย นี่คือการดูฤกษ์แบบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ดูดวงดาว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความพร้อม
เวลาดวงตกหรือโชคไม่ค่อยดี เขาให้ไปแก้ดวง ไปเสริมดวง ทำแล้วได้ผลจริงหรือไม่
ถ้าเรามีอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิต แล้วอยากแก้ไขให้ผ่านพ้นไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องไปเสริมบุญ จะเสริมดวงต้องไปเสริมบุญ คือทำบุญทั้งตักบาตร ถวายสังฆทาน เสร็จแล้วก็รักษาศีล ศีล ๘ ยิ่งดี ในวันพระหรือวันเกิดก็ได้ แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ทำทาน รักษาศีล ทำภาวนาให้ครบ บุญก็จะหนุนส่งเรา แล้วเราจะเอาชนะอุปสรรคได้ เพราะวิบากกรรมในอดีตที่เคยทำไว้ชาติที่แล้วเยอะแยะ มันเป็นเหมือนระเบิดเวลารอจังหวะที่จะส่งผล หรือถ้าจะเปรียบชีวิตเราเหมือนเรือ อุปสรรคเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนหินโสโครกใต้น้ำ ที่เรือของเราพร้อมจะไปเกยโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่หินโสโครกที่น่ากลัวนั้น ถ้าน้ำขึ้นสูง เรือวิ่งฉิวผ่านสบายเลย เรามีผลของวิบากกรรมเป็นเหมือนระเบิดเวลาในชีวิตอยู่ ถ้าเราไปเติมบุญก็เหมือนกับน้ำขึ้น หนุนนาวาชีวิตเราขึ้นไป ผ่านอุปสรรคไปได้ฉิวเลย ไม่มีปัญหา นี่คือการเสริมดวงที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ทำบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ (ทาน ศีล ภาวนา) ให้ครบ แล้วจะผ่านอุปสรรคไปได้
ปัจจุบันมีหมอดูชื่อดัง ออกมาทำนายทายทัก ผ่านสื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อย่างนั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อเสียด้วย เราควรจะเชื่อหรือไม่
เอาเป็นว่าแต่ละหมอที่ลงหนังสือไปเปิดอ่านดูเถิด จะพบว่าผิดมากกว่าถูก แค่นี้ก็ตอบได้แล้วว่า ควรเชื่อหรือไม่ สังคมเราตอนนี้กำลังขาดปัญญา แล้วก็สับสนไม่รู้จะไปทางไหน ก็เลยหันมาหาโหราศาสตร์ เป็นที่พึ่ง
ในบ้านเมืองที่พัฒนากว่าเรา เวลาเกิดปัญหาเขาจะตัดสินใจแก้ไขบนพื้นฐานของข้อมูล ไม่มาเถียงกันจนประชาชนที่รับข่าวสารไม่รู้จะไปทางไหน เขาจะเอาคนที่เก่งเรื่องนั้นที่สุดมากลุ่มหนึ่ง แล้วตั้งคณะศึกษารวมข้อมูลทั้งโลกที่มีคนเคยทำมาหลาย ๆ รูปแบบ มาดูว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง แล้วนำเสนอกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ประชาชนพอรับข้อมูลอย่างนี้หูตาสว่างเลย รู้แล้วว่าควรจะวินิจฉัยอย่างไร มีหลักในการตัดสินใจอย่างไร เพราะเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั้งโลก ถ้าสื่อมวลชนนำเสนออย่างนี้ ประชาชน จะฉลาดขึ้น แล้วก็ไม่ต้องพึ่งหมอดูมาก สังคมก็จะมีภูมิต้านทาน ไม่อ่อนแอ ผู้คนไม่เป็นโรคตื่นข่าวลือ
การดูดวง หากไม่มีวิจารณญาณ หรือไม่มีการตั้งสติเลย จะส่งผลกับครอบครัวหรือสังคมอย่างไรบ้าง
เราทุกคนเป็นเหมือนนายท้ายเรือ หากเรานำเรือชีวิตของเราโดยอิงเหตุผลและข้อมูล ก็เหมือนไต้ก๋ง ที่จะเดินเรือไปไหนก็ตั้งเป้าหมาย เสร็จแล้วก็ดูทิศทางลม สำรวจภูมิประเทศ แนวหินโสโครกมีตรงไหน ร่องน้ำลึกที่จะเดินเรือได้ปลอดภัยอยู่ตรงไหน แล้วเดินเรือไปด้วยข้อมูลที่มีอยู่ ก็จะมีความปลอดภัยสูง แต่ถ้าพึ่งหมอดู ก็เหมือนกับแล่นนาวาชีวิตไปตามที่คนอื่นบอก เขาบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็เลี้ยว ถามว่าทำไมต้องเลี้ยว ไม่รู้ ไม่มีเหตุผล ก็คนนั้นเขาบอกให้เลี้ยว ลองคิดดูว่า ถ้าเราจะต้องขึ้นเรือโดยสาร ๒ ลำนี้ เราจะเอาไต้ก๋งแบบไหน ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ต้องเป็นหลักให้สมาชิกในครอบครัวได้ ขืนเดินตามหมอดูชีวิตนี้คงไม่สดใสแน่ แล้วถ้าเป็นผู้นำองค์กร ผู้นำประเทศ ยิ่งต้องตัดสินโดยอิงข้อมูล ความเป็นไปที่แท้จริง จึงจะนำนาวาขององค์กร ของประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
มีหลักและวิธีการตั้งสติรับมือกับข่าวต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง
ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อโดยเหตุ ๑๐ อย่าง คืออย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา, อย่าเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบ ๆ กันมา, อย่าเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ, อย่าเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา, อย่าเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง, อย่าเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา, อย่าเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ, อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าตรงกับความเห็นของตน, อย่าเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ และอย่าเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
ทั้ง ๑๐ ประการนี้ ไม่ให้เชื่อโดยอิงเหตุภายนอก ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ดูว่าเรื่องนั้นมีเหตุผลอย่างไร ดีไม่ดีอย่างไร ดูความเชื่อมโยงสัมพันธ์โดยองค์รวมกับข้อมูลเดิมที่เรามีอยู่ว่าเข้ากันไหม ไตร่ตรองดีแล้วจึงสรุปตัดสินใจ ถ้าประยุกต์มาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเชื่อเลย เพราะที่จริงแล้วคอลัมน์ต่าง ๆ นั้น เป็นความเห็นของคน ๆ เดียว เราต้องแยกให้ได้ว่าอะไรเป็นความเห็น อะไรคือความจริง และต้องเก็บข้อมูลที่เป็นความจริงไว้ในใจเราจำนวนหนึ่ง ถึงคราวไปเจอที่ใครเขาว่ามา เราก็เทียบดูว่าสอดคล้องไหม ขัดแย้งกันไหม แล้วไตร่ตรองโดยภาพรวมให้ออก ค่อย ๆ ฝึกอย่างนี้ พอมองความสัมพันธ์เชื่อมโยงข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ออก เราจะวินิจฉัยข่าวสารที่ได้รับแต่ละชิ้นได้ว่า ข่าวสารเหล่านี้เราควรเชื่อไหม ไม่ใช่เจอนักวาทศิลป์พูดแล้วดูมีเหตุมีผลก็เชื่อเลย
เชื่อไหมว่าในบางแง่มุม คนมีความรู้หลอกง่ายกว่าคนที่มีความรู้น้อย เพราะคนมีความรู้ชอบคิดอะไรโดยตรรกะ พอเหตุผลสอดคล้องกับตรรกะก็เชื่อเลย ทีนี้ถ้าไปเจอนักให้เหตุผลที่ให้เหตุผลแบบนักโต้วาที คือให้บางส่วน คนฟังไม่มีเวลาคิดละเอียด เขายกนั่นยกนี่มาพูด ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ก็โดนหลอกไปเลย แต่ คนมีความรู้น้อยคิดเรื่องตรรกะไม่ค่อยเป็น ถ้าจะถามว่ารัฐบาลบริหารประเทศดีหรือไม่ดี เขาจะล้วงกระเป๋าดูว่ามีสตางค์ไหม เศรษฐกิจในครอบครัวเขาดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้น เขาก็บอกว่ารัฐบาลทำดี เขาตัดสินด้วยความจริง ฉะนั้นหลอกยาก แต่คนมีความรู้บางทีติดกับดักความรู้ของตัวเอง ให้พึงสังวรไว้ อย่ารีบด่วนเชื่อแล้วรีบสรุป ตรึกตรองให้ละเอียดรอบคอบแล้วเราจะไม่พลาด
ผู้หญิงคนหนึ่งไปดูดวงมาว่า จะคบกับคนนี้ได้หรือเปล่า หมอดูฟังธงว่าคบไม่ได้ เขาก็เชื่อหมอดู อย่างนี้ถูกไหม
ไม่ถูก ชีวิตตัวเองตัดสินโดยหมอดู เชื่อหมอดู มากกว่าเชื่อคนที่รู้จักกันมาตั้งนานก็ผิดหลักอยู่แล้ว เรื่องความเชื่อมั่นนี่แปลก เคยมีทหารไทยไปรบในสงครามเกาหลี ระหว่างรบระเบิดลงตูมกระเด็นไปที่ริมหนองน้ำ พระหลุดจากคอ ตกใจรีบคว้าใส่ปาก แล้วลุยต่อไป คราวนี้พระเต้นได้ เต้นตุบ ๆ อยู่ในปาก เจ้าตัวฮึกเหิมมาก พระแสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว ลุยสะบั้นหั่นแหลก รบเสร็จแล้วเอาพระมาดู ปรากฏ ว่าเป็นลูกกบ ถ้ารู้แต่ต้นว่าเป็นลูกกบสงสัยไม่กล้า นี่คือเรื่องของกำลังใจ ความเข้าใจผิดอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าเอาตรงนี้เป็นสาระ ให้ตัดสินใจด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อมูล ด้วยการไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่เชื่อคนง่าย ไม่หลงไปกับกระแสข่าวลือ ถ้าสังคมไหนมีคนอย่างนี้เยอะ ๆ สังคมนั้นจะเป็นสังคมที่อุดมด้วยปัญญาและจะมีความเจริญ แต่จะได้อย่างนี้ต้องตั้งสติดี ๆ แล้วก็นั่งสมาธิด้วย พอใจสงบ เราจะมองเห็นอะไรกระจ่างขึ้น มิฉะนั้นจะแยกแยะอะไรไม่ออก ภาพมันจะพร่า ถ้าใจนิ่ง ภาพจะชัด สามารถวินิจฉัยได้ว่าอะไรเป็นอะไร ให้เราพึ่งตนเอง เชื่อมั่นในเรื่องกรรม ไม่ใช่พรหมลิขิต ให้ทำความดี แล้วทุกอย่างจะดีเอง
มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องของฮวงจุ้ย ที่ภาษาจีนกลางเรียกว่าฟงสุย ฟง แปลว่า ลม จุ้ย หรือ สุย แปลว่า น้ำ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นศาสตร์ว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และที่เขาบอกว่าบ้านที่ตั้งอยู่ที่ทางสามแพร่งไม่ดี ก็มีส่วนจริง เพราะรถบนถนนที่ตั้งฉากกับบ้านจะวิ่งเข้าวิ่งออก คนเดินไปเดินมา มองพุ่งมาที่บ้านตลอด คนอยู่บ้านนี้สุขภาพจิตจะไม่ค่อยดี รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว คอยผวาอยู่เรื่อย
ที่ทำเนียบขาวสมัยบิล คลินตัน ยังเอาซินแส ฮวงจุ้ยไปจัดออฟฟิศเลย ทำเนียบประธานาธิบดีของ สหรัฐอเมริกาผู้นำโลกต้องให้ซินแสไปจัดฮวงจุ้ยให้ คือจัดสิ่งแวดล้อม ตกแต่งสวน ตกแต่งโต๊ะ เก้าอี้ สีสัน ฯลฯ ให้สอดคล้องกับอารมณ์ของคน ให้ดูแล้วสบายใจ ให้ผสมกลมกลืนพอดี ๆ นี้คือศาสตร์ของฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของหมอดู ถ้าฮวงจุ้ยไหนไปเอาแนวคิดของหมอดูมาใช้ก็ผิดหลัก แต่ถ้าจัดเพื่อให้สบายใจก็ทำได้ เช่น เอากระจกมาติดไว้ที่ตึกที่ทางสามแพร่งเหมือนให้กระแสที่พุ่งเข้ามาสะท้อนออกไปอะไรทำนองนี้ เพื่อให้คนที่อยู่รู้สึกสบายใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่เหตุผลและข้อมูล อยู่ด้วยปัญญา ต้องไม่อยู่กับเรื่องที่ตรึกตรองไม่ได้2111เหนือเหตุ เหนือผล อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๒๓ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
โหราทายทัก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:02
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: