ชาวพุทธควรจะมีแนวทาง ในการนำแม่บทวัฒนธรรมโลก ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร ?
ถาม : ชาวพุทธควรจะมีแนวทาง ในการนำแม่บทวัฒนธรรมโลก ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร ?
ตอบ : จากที่หลวงพ่อได้เคยกล่าวไว้ว่า พระบรมครูของเรา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสสอน เรื่องแม่บทวัฒนธรรมของโลกไว้ใน “โอวาทปาติโมกข์” อย่างตรงกันหมด โดยมีหลักการใหญ่อยู่ ๓ ประการ ได้แก่
ตอบ : จากที่หลวงพ่อได้เคยกล่าวไว้ว่า พระบรมครูของเรา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสสอน เรื่องแม่บทวัฒนธรรมของโลกไว้ใน “โอวาทปาติโมกข์” อย่างตรงกันหมด โดยมีหลักการใหญ่อยู่ ๓ ประการ ได้แก่
ประการแรก คือ
ไม่ทำบาปทั้งปวงอีกเด็ดขาด
ประการที่สอง คือ
บุญใหม่ต้องสร้างเพิ่มขึ้นอีกให้มาก ๆ
ประการที่สาม คือ
หมั่นทำใจให้ผ่องใสสะอาดอยู่เป็นประจำ
ผู้ที่ปฏิบัติได้ตามหลักการทั้ง ๓
ข้อนี้ คือผู้ที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม เรียกได้ว่าเป็น “นักสร้างบารมี”
คือเป็นผู้ที่ทำแต่ความดีฝ่ายเดียว ไม่ยอมทำบาปอีกต่อไป
สิ่งที่จะเพิ่มพูนขึ้นในตัวจึงมีแต่ฝ่ายบุญ ส่วนสิ่งที่จะลดลงคือฝ่ายบาป
การที่นักสร้างบารมีทั้งหลายจะนำหลักการทั้ง
๓ ข้อนี้ ไปประพฤติปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ…ข้อปฏิบัติสำหรับนักสร้างบารมี
๖ ประการ ได้แก่
ประการที่ ๑ ห้ามว่าร้าย คือ
ระวังปากให้ดี อย่าใช้ปากเพื่อหาบาป ไม่ต้องหาบาปใหม่ด้วยปาก
เพราะปากมนุษย์หาบาปได้ง่ายกว่าด้วยมือด้วยเท้าเสียอีก
การห้ามใจไม่ให้คิดเรื่องไม่ดี
บางครั้งเราอาจห้ามใจไม่อยู่ แต่เมื่อห้ามใจไม่อยู่ ก็ต้องห้ามปากให้อยู่
เพราะถ้าหลุดคำพูดไม่ดีออกจากปากเมื่อไร จะยุ่งเหมือนไฟลามไหม้โลก
หากว่าห้ามปากของเราไม่อยู่แล้ว สิ่งที่คิดไว้ว่าจะสร้างแต่บุญ จะไม่ข้องแวะบาป
ก็ยากจะรักษาความตั้งใจไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง
ประการที่ ๒ ห้ามทำร้าย คือ ระวังมือระวังเท้าให้ดี อย่าเอาไปสร้างบาป
เพราะสิบนิ้วมีเอาไว้ให้สร้างบุญ เช่น ใช้มือหยิบทัพพีตักบาตร
พนมมือสิบนิ้วราวดอกบัวกราบพระ ทำเช่นนี้ได้บุญ แต่ถ้าไปรวบนิ้วมือเข้ามาเป็นมะเหงกบ้าง เป็นกำปั้นบ้าง เดี๋ยวจะพลาดไปทุบ ไปตี
ไปทำร้ายใครเข้าได้ แล้วบาปใหม่จะเกิดขึ้นมาอีก บุญเก่าจะวอดหมดไปทันตา
สิ่งเหล่านี้ต้องระวังให้ดี
ประการที่ ๓
สำรวมศีลและมารยาทอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะยิ่งเป็นกันเองมากเท่าไร ยิ่งต้องระวังมารยาทให้ดี
สาเหตุที่พรรคพวกเพื่อนพ้องในหมู่คณะเดียวกัน เคยอยู่ร่วมกันมา มีอันต้องห่างออกไป
หรือแยกตัวออกจากกลุ่มคณะไป
ส่วนหนึ่งมีที่มาจากความน้อยใจในมารยาทอันไม่งามของพรรคพวกนี่แหละ เช่น
จะเตือนกันดี ๆ ก็ไม่ทำ ต้องทำหน้าหงิก ๆ ใส่กัน บางคนเกิดรำคาญมาก ๆ เข้า
ก็ตัดสินใจปลีกตัว หลีกห่าง หนีไปจากหมู่คณะ
ความตั้งใจอันดีที่จะประคับประคองกันสร้างบุญสร้างบารมีร่วมกัน
คอยเป็นกัลยาณมิตรให้กัน ก็มีอันต้องขาดตอนอย่างน่าเสียดาย
โอกาสและบรรยากาศที่ดีของหมู่คณะก็พลัน ลดน้อยลงไป
ประการที่ ๔ รู้จักประมาณในอาหาร
เรื่องนี้ต้องพิจารณาคำว่า You are what you eat. แปลว่า
‘กินอย่างไรได้ (สุขภาพ) อย่างนั้น’ ให้ดี
ๆ
วัตถุประสงค์ของการรับประทานอาหาร
คือเพื่อเติมกำลังให้พลังงานแก่ร่างกาย เพื่อแก้ไขความหิว ความกระหาย
ความอ่อนกำลังของร่างกาย เพื่อต่ออายุของเราให้ยืนยาว
การรับประทานอาหารจะเป็นคุณประโยชน์อย่างสูงสุด ก็เมื่อเราได้นำกำลังวังชาเรี่ยวแรงที่ดีนั้นมานั่งหลับตาทำสมาธิภาวนา เพื่อให้เข้าถึงที่พึ่งภายในตน
แต่เมื่อใดที่เราไม่ระมัดระวัง คือไม่ประมาณในอาหารที่รับเข้าไป เช่น
รับประทานอาหารมากเกินไป ก็จะเกิดอาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อน เมื่อมานั่งหลับตา
ทำสมาธิภาวนา ก็นั่งโงกเงกสัปหงก ปล่อยให้บุญหกบุญหล่นไป
สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้
ไม่น่าเชื่อว่า ทำให้คนบุญหกบุญหล่นไปเยอะแล้ว
การกินอย่างรู้ประมาณจึงสมเป็นนักสร้างบารมี แต่ถ้ากินไม่มีประมาณก็จะผลาญบุญบารมี
ประการที่ ๕ เลือกอยู่ในที่สงบ
คือไม่อยู่ในที่อึกทึก งานการอะไรก็ไม่ค่อยไปเสนอหน้ากับใครเขา ง่าย ๆ
เขาไม่เชิญจริง ๆ เป็นไม่ไป แม้เขาเชิญจริง ๆ ก็ไปด้วยความระมัดระวังตัว
เมื่อจะนั่ง จะนอน ก็เลือกอยู่ในที่สงบ
การฝึกตัวเป็นผู้รักที่จะเลือกอยู่ในที่สงบ
ๆ โอกาสที่ใจจะแวบไปคิดเรื่องไม่ดี เพราะไปเห็นสิ่งที่ไม่ดี ไปฟังสิ่งไม่ดี
ไปดมสิ่งไม่ดี ไปลิ้มรสสิ่งไม่ดี ไปจับต้องสิ่งไม่ดี จะมีโอกาสน้อย
โอกาสที่บาปใหม่จะเกิด ขึ้นยาก แต่มีโอกาสที่บุญใหม่จะเกิดได้
มีโอกาสที่ใจจะผ่องใสยิ่งขึ้น แต่ถ้าไปอยู่ในที่อึกทึกครึกโครมเมื่อใด
โอกาสคิดไม่ดีมีเยอะ ฉะนั้น ต้องเลือกที่นั่ง ที่นอน ที่อยู่ในที่สงบ
ประการที่ ๖
ฝึกสมาธิเป็นประจำในอิริยาบถต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง นอน
ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่มักจะเตือนให้นอนหลับในอู่ทะเลบุญ
และในอิริยาบถอื่น ๆ ท่านก็เตือนใจโดยบอกให้ตรึกอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
ซึ่งก็คือการอยู่ในอู่ทะเลบุญ
ถ้าไม่ทำอย่างนั้นใจก็ฟุ้งกระจายออกไปคิดในเรื่องราวต่างๆ
ซึ่งมีโอกาสมากที่บาปมันจะรั่วรดเข้าไปในใจได้ ฉะนั้น เราจะต้องฝึกสมาธิเป็นประจำ
ฝึกใจจนใจมาหยุดมานิ่งได้ที่ศูนย์กลางกาย จึงจะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
เมื่อ ‘บุญ’
ซึ่งเป็นพลังงานบริสุทธิ์
เป็นสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกตลอดเวลาเช่นนี้ ทำให้เราไม่รู้ว่าบุญในตัวของเราเหลืออยู่เท่าไร และจะหมดบุญในวันเวลาใดก็ไม่มีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วย
การดำเนินชีวิตที่ดีงามเหมาะสมคู่ควรแก่การเป็นนักสร้างบารมี
คือการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท บาปกรรมที่เคยทำให้เลิก
แล้วบาปใหม่ก็ไม่ทำอีก หมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ บุญมีกี่งบกี่ด้านสั่งสมเข้าไว้
ให้มาก และสำคัญที่สุดคือการฝึกใจให้ผ่องใสอยู่เป็นประจำ
จะเป็นอุปการคุณยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของเรา ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ตลอดชาติอย่างยิ่ง
จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม
ดังนั้น
นักสร้างบารมีจะเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมที่ดีงามให้กับโลกนี้ได้
ก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนทั้ง ๖ ข้อนี้ อย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน
แล้วในแต่ละวันก็จะมีแต่บุญกุศลเพิ่มขึ้น บาปก็ลดลง ใจก็ผ่องใส
เมื่อบุญกุศลเพิ่มขึ้น บุญย่อมไปดึงดูดสิ่งดี ๆ
ที่เป็นความสุขความเจริญเข้ามาในชีวิตโดยอัตโนมัติ
การเกิดเป็นมนุษย์ของเราในชาตินี้ก็จะสร้างบารมีได้อย่างคุ้มค่ากับเวลาชีวิตของเราทุกลมหายใจเข้า-ออกนั่นเอง
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖
ชาวพุทธควรจะมีแนวทาง ในการนำแม่บทวัฒนธรรมโลก ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:32
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: