เวลาที่เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน คนโบราณมักชอบพูดว่า หญ้าปากคอก คำสอนนี้หมายความว่าอย่างไร ?
สิ่งใดก็ตามที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
แล้วเราไม่ได้มอง ไม่ได้พิจารณาให้ดี หรือคุ้นจนมองข้ามความสำคัญไป
จะมีอาการที่โบราณเรียกว่า หญ้าปากคอก
หญ้าปากคอกเป็นอย่างไร
เป็นการมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จนกลายเป็นละทิ้ง หรือละเลย จนไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็น
หญ้าปากคอกที่ขึ้นอยู่ตรงปากทาง
เข้า-ออก ของคอกวัวคอกควาย ถ้าเราไม่เกี่ยวเอามา วัวก็ไม่ได้กิน
หญ้าจะแก่ตายอยู่ตรงนั้น แล้วรกปากคอกด้วย เพราะถูกทิ้งให้เป็นหญ้าแห้ง หญ้าเหี่ยว
แล้วพอมีวัชพืชขึ้นมากเข้า ๆ ปากคอกก็จะกลายเป็นบริเวณที่รกที่สุดของคอก
หญ้าปากคอกที่น่ากิน น่าเกิดประโยชน์
นอกจากไม่ได้เกิดประโยชน์แล้ว ยังต้องเสียเวลามาเกี่ยว มาดูให้วัวด้วย
คือสิ่งเตือนใจเราว่า อะไรที่ใกล้ตัว ถ้าไม่มอง ไม่พิจารณาให้ดี
นอกจากเสียประโยชน์แล้ว ยังเกิดโทษอีกมาก
ลองถามตัวเองดูว่า เวลาจะคบคน
จะดูที่ไหน จะดูว่าคนนั้นคนนี้ได้ดอกเตอร์หรือเปล่า จบปริญญาตรี โท เอกหรือเปล่า
หรือจะดูว่านิสัยของเขาเป็นอย่างไร
ก็ต้องดูที่นิสัย
จบดอกเตอร์หรือไม่จบจะเป็นไรเล่า นิสัยดีต่างหากที่ต้องการ
แม้แต่ในการเลือกรับคนเข้าทำงาน ตอนแรกก็คัดจากวุฒิการศึกษา
แต่เวลาจะใช้ทำงานสำคัญๆ สิ่งที่ต้องการก็คือคนที่นิสัยดี ๆ
นิสัยเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้
หากพบว่ามีนิสัยอะไรที่ส่อแววว่าจะเสียหาย ต้องรีบแก้
ซึ่งกว่าจะแก้นิสัยแต่ละอย่างได้นั้นไม่ง่าย ต้องทำซ้ำ ๆ ต้องใช้กำลังใจมหาศาล
ต้องใช้เวลานานมาก เพื่อล้าง นิสัยเดิมให้หมดสิ้น
เรารู้กันว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" แล้วอะไรเป็นนายของใจเรา?
เราควานหามานาน ในที่สุดก็เริ่มมาพบว่า
นิสัยคือเจ้านายของใจเรา
มันบังคับเราให้คิด ให้พูด ให้ทำสารพัด
ถ้าปล่อยปละละเลย นิสัยแย่ ๆ จะเกิดมากขึ้น แล้วเราจะได้ เจ้านายแย่ ๆ
เจ้านายที่เขาแต่งตั้งมาเป็นผู้บังคับบัญชาเราในที่ทำงาน
อย่างมากก็เจอกันในที่ทำงาน แต่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเรา มันครอบงำใจเรา ๒๔ ชั่วโมง
มองให้ดีเถิด ไม่คิดไม่แปลก ยิ่งคิดยิ่งแปลก
ตื่นเช้าขึ้นมา มีงานต่าง ๆ
ที่เราทำโดยอัตโนมัติ ตามความเคยชิน ไม่ต้องมีใครสั่ง ชีวิตอยู่ไปตามความเคยชิน
ทั้งที่มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่สามารถคิดได้ จะคิดปรับปรุงอย่างไรก็ทำได้
แต่เมื่อไม่ยอมคิด เท่ากับปล่อยให้ความโง่เริ่มครอบงำเราแล้ว
ความเคยชินเหล่านี้เริ่มมาตั้งแต่เมื่อใด
เริ่มมาตั้งแต่ท่าทางในการพับผ้าห่ม ปูที่นอน เก็บมุ้งเก็บหมอน
ท่าทางเหล่านี้เคยใช้เมื่อหัวเท่ากำปั้น โตขึ้นมาจนแก่ชราก็ยังใช้ท่าเดิม
อย่างอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำจนเป็นอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้
คือนิสัย นิสัยก็เลยกลายเป็นนายของใจ
แต่นิสัยเกิดจากอะไร
นิสัยเกิดจากการคิด พูด ทำ ซ้ำ ๆ แล้วในที่สุดก็ติด พอติดก็คุ้น หนักเข้าก็เคย
แล้วก็ชิน ถ้าชินในทางดี ก็ส่งผลให้กระชุ่มกระชวย กระฉับกระเฉง
แล้วก็ติดที่จะทำอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นนิสัย ตรงกันข้ามถ้าในทางไม่ดี พอทำบ่อย
ๆ จนชินแล้ว มันก็ชา จากชาก็ด้าน แล้วก็ได้นิสัยกระแทกกระทั้น กระแทกส้นเท้า
กระแทกมือ กระแทกเท้า วาจาก็กระโชกโฮกฮาก กลายเป็นโปรแกรมติดตัวไป
ถามต่อไปว่า อะไรหนอที่บังคับเราให้คิด
พูด ทำซ้ำ ๆ ตลอดชีวิต?
ลองสำรวจหาความจริงจากชีวิตของเราเองว่า ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ตั้งแต่ตื่นในห้องนอนตอนเช้า จนกลับเข้ามาห้องนอนอีกในตอนเย็น
ก็จะพบว่าชีวิตแต่ละวัน เราทำอะไรซ้ำ ๆ แบบเป็นวงจรเดิม
เริ่มจากห้องนอนอันเป็นที่อยู่
เข้าไปสู่ห้องน้ำ ดูแลสุขภาพ แปรงฟัน อาบน้ำชำระร่างกาย ขับถ่าย จัดเข้าพวกเภสัช
พอเข้าห้องครัวก็เป็นเรื่องของอาหาร มาสู่ห้องแต่งตัวก็เป็นเรื่องของเสื้อผ้า
จากนั้นจึงมาสู่ที่ทำงาน กลับจากทำงาน มาสู่ห้องแต่งตัว หิวแล้วไปเข้าห้องครัว
แล้วเข้าห้องอาบน้ำ ก่อนเข้าสู่ห้องนอน ชีวิตดำเนินเป็นวงจรทำนองนี้
สิ่งที่เป็นตัวเพาะนิสัยเรา
ที่บังคับให้เราคิด พูด ทำซ้ำ ๆ ก็คือ ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อาหาร เสื้อผ้า
เครื่องนุ่งห่ม เรียกรวมว่า ปัจจัย ๔ แล้วก็งานที่ทำในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น นิสัยเกิดจากอะไร? เกิดจากการใช้ปัจจัย
๔ และงานที่ทำ ส่วนสถานที่เกิดนิสัยก็คือ ๕ ห้องนี่เอง โดยมีงานที่เกี่ยวกับห้องต่าง
ๆ นี้ ที่บังคับโดยปริยายให้คิด พูด ทำ ซ้ำ
ประเภทของงานมีส่วนสำคัญที่ทำให้นิสัยดีและนิสัยไม่ดี
ประเภทของงานไม่ว่างานหยาบหรืองานละเอียด
ก่อเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการเกิดนิสัยของคน ๆ นั้น ยังมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นวัตถุ
และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นประจำ และวัฒนธรรม ขนบประเพณี หรือวิธีการทำงานในเขตนั้น
ๆ บวกกับวิธีการใช้ปัจจัย ๔ ล้วนเป็นตัวหลอมให้กลายเป็นนิสัยไป
จะเห็นได้ว่าการทำงานก่อให้เกิดนิสัยขึ้นมา ถ้าอยู่เฉย ๆ แล้ว โดยทั่วไปนิสัยดี ๆ
ไม่เกิด เกิดแต่นิสัยขี้เกียจ
ใคร ๆ จึงไม่ควรจะมองข้ามเรื่องนิสัยในชีวิตประจำวัน
ทั้งนิสัยที่เกิดจากการใช้ปัจจัย ๔ นิสัยจากการทำงานอาชีพ
นิสัยจากการใช้ห้าห้องชีวิต ได้แก่ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องอาหาร
ห้องทำงาน เพราะถ้าเรามองข้ามจนปล่อยปละละเลยให้ตัวเองคุ้นกับนิสัยไม่ดีไปแล้ว
จะกลายเป็นความเสียหายต่อชีวิตของเราเข้าทำนองมองข้ามหญ้าปากคอกที่ปู่ย่าตายายเคยเตือนเอาไว้
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๒๖ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖
เวลาที่เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน คนโบราณมักชอบพูดว่า หญ้าปากคอก คำสอนนี้หมายความว่าอย่างไร ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:25
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: