ตอนที่ ๑๐ วิชาครูของพระสารีบุตร : การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
สร้างปัญญาเป็นทีม
ตามแบบฉบับของพระสารีบุตร
พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
ตอนที่ ๑๐ วิชาครูของพระสารีบุตร :
การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
--------------------------------------
๓) กตัญญูกตเวทีต่อมารดาในชาติปัจจุบันมารดาของพระสารีบุตรมีบุตรทั้งหมด
๗ คน เป็นชาย ๔ คน หญิง ๓ คน บุตรคนโตคือพระสารีบุตร ส่วนคนที่ ๒-๔ เป็นผู้หญิง
ได้แก่ นางจาลา นางอุปจาลา และนางสีสุปจาลา ส่วนคนที่ ๕-๗ เป็นผู้ชาย ชื่อว่า
จุนทะ อุปเสนะ และเรวตะ
เนื่องจากการออกบวชของพระสารีบุตรเป็นแรงบันดาลใจให้พี่น้องที่เหลืออีก
๖ คน พากันออกบวชตามท่านจนหมด ทำให้มารดาโกรธท่านเป็นอันมาก
ตำหนิว่าท่านเป็นต้นเหตุให้ตระกูลด้วน คือไร้ทายาทสืบทอดทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ
ทำให้มารดาของท่านไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และไม่รู้ว่าการเป็นพระอรหันต์ของท่านมีคุณประโยชน์ต่อสรรพสัตว์อย่างมหาศาลเพียงใด
ท่านจึงไม่มีโอกาสแสดงธรรมโปรดมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
กาลเวลาล่วงเลยไปจนถึงยุคที่พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปทั่วชมพูทวีป
พระสารีบุตรช่วยเหลืองานเผยแผ่ของพระบรมศาสดาอย่างเต็มที่ ท่านไม่เคยเหยียดหลังนอนเลย
๓๐ ปีเต็ม จนบัดนี้ท่านรู้แล้วว่าอายุสังขารเหลือเวลาอยู่อีก ๗ วัน
ท่านจึงตัดสินใจจะเดินทางกลับบ้าน ไปตอบแทนพระคุณมารดา
และปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิด1
เมื่อท่านตกลงใจเช่นนั้นแล้ว
ก็ลงมือเก็บกวาดเสนาสนะ ทำความสะอาดที่พักกลางวันเป็นครั้งสุดท้ายจนแล้วเสร็จ
เมื่อท่านมั่นใจว่าไม่มีกิจใดคั่งค้างเป็นภาระของส่วนรวมแล้ว
ก็ยืนมองดูที่พักอยู่ตรงประตูและคิดว่า “บัดนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
ไม่มีการกลับมาอีก” จากนั้น
ท่านก็ไปกราบทูลลาปรินิพพานกับพระบรมศาสดา
พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ท่านจะไปปรินิพพานที่ใด
เมื่อทราบว่าท่านจะไปปรินิพพานที่บ้านเกิด พระบรมศาสดาก็มีรับสั่งว่า “การไปคราวนี้
พี่น้องของเธอจะไม่เห็นเธออีก เธอจงแสดงธรรมแก่พี่น้องเหล่านั้นเถิด” ท่านจึงเหาะขึ้นไปสูงชั่ว
๗ ลำตาล และแสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง แล้วแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมทั้งกราบทูลลาเป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดเวลา ๗ วัน
ในระหว่างที่เดินทางกลับไปที่บ้านเกิดนั้น ท่านก็อนุเคราะห์ผู้คนไปตลอดทาง
เมื่อไปถึงบ้าน ก็บอกให้หลานชายไปบอกมารดาของท่านให้จัดที่พักในห้องนอนที่ท่านเกิด
และให้จัดที่พักให้ภิกษุ ๕๐๐ รูปที่ติดตามมาด้วย
มารดาของท่านคิดว่าท่านบวชตั้งแต่หนุ่มกลับมาบ้านคราวนี้คงคิดจะสึกตอนแก่
จึงให้คนจัดที่พักตามคำขอของท่าน
เมื่อพระสารีบุตรและภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป
ขึ้นไปบนปราสาทแล้ว ท่านก็สั่งให้พระภิกษุแยกย้ายกันไปยังห้องพัก
ส่วนท่านเข้าไปในห้องนอนที่ท่านเกิด แล้วอาการอาพาธด้วยโรคลงโลหิต2
ก็กำเริบขึ้น พระจุนทะ (น้องชายของท่าน) ต้องคอยเปลี่ยนภาชนะรองโลหิตเป็นระยะ ๆ
มารดาของท่านไม่รู้ว่าพระสารีบุตรกลับมาบ้านเพื่อจะปรินิพพาน
ตกค่ำวันนั้นก็ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน เฝ้ามองมายังห้องนอนของพระเถระ
ขณะนั้น ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ทิศ
พอทราบว่าพระสารีบุตรใกล้ถึงวาระปรินิพพานแล้วก็รีบเข้าไปในห้องนอนของพระเถระพร้อมกับรัศมีสว่างไสวเปล่งออกมารอบกาย
ไหว้แล้วยืนอยู่ เมื่อพระเถระทราบว่า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ มาคอยอุปัฏฐาก
จึงตอบว่ามีพระจุนทะคอยให้การอุปัฏฐากอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่านกลับไปเถิด
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ลากลับไป
ต่อจากนั้น ท้าวสักกะ ท้าวสุยามา
เป็นต้น ตลอดจนท้าวมหาพรหม
ก็ทยอยกันเข้าไปในห้องของพระเถระด้วยจุดประสงค์เดียวกันพระเถระก็ส่งมหาเทพและมหาพรหมเหล่านั้นกลับไปด้วยคำปฏิเสธเดียวกัน
ขณะนั้น มารดาของท่านเห็นการไปการมาของเทวดาเหล่านั้นแล้วก็ไม่ทราบว่าเป็นใครจึงเข้าไปในห้องนอนของพระเถระเพื่อสอบถาม พระจุนทะจึงแจ้งให้มารดาทราบถึงความอาพาธของพระเถระ
และแจ้งให้พระเถระทราบถึงการมาของมารดา
พระเถระจึงถามว่าเหตุใดมารดาถึงมาผิดเวลา (เพราะมืดค่ำแล้ว)
มารดาก็ตอบว่าเพราะต้องการมาเยี่ยมลูก และสอบถามว่าพวกที่มาก่อนหน้านี้เป็นใคร
พระสารีบุตรตอบคำถามและชี้แจงไปตามลำดับว่าเทวดาและพรหมทั้งหมดได้แก่
๑) ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔
เป็นเหมือนเด็กวัดที่คอยถือพระขรรค์อารักขาพระบรมศาสดาในคราวปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา
๒)
ท้าวสักกะเปรียบเหมือนสามเณรคอยถือบาตรและจีวรเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาเสด็จลงมาจากดาวดึงสเทวโลก
๓) ท้าวมหาพรหมชั้นสุทธาวาส (ที่มารดาท่านนับถือ)
เป็นผู้ใช้ตาข่ายทองมารองรับพระบรมศาสดาในคราวประสูติออกจากครรภ์พระมารดา
เมื่อมารดาทราบความจริงแล้วก็ตกตะลึงว่า
บุตรชายยังมีอานุภาพยิ่งกว่ามหาพรหมที่ตนนับถือถึงขนาดนี้
แล้วพระบรมศาสดาจะมีอานุภาพมากมายถึงเพียงใด
พระสารีบุตรทราบว่ามารดากำลังปลื้มปีติเป็นเวลาที่เหมาะสมจะแสดงธรรมแล้ว
ท่านจึงกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณให้มารดาฟังว่า
“สมัยพระศาสดาของเราประสูติ
ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักรหมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว
ขึ้นชื่อว่าผู้เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสนะกับพระองค์ไม่มี”3
จากนั้น
ท่านก็แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระคุณของพระบรมศาสดาโดยขยายความให้พิสดาร
หลังจบพระธรรมเทศนา มารดาของท่านบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ซึ่งเท่ากับท่านได้ทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณของมารดาจนหมดสิ้นแล้ว
หลังจากท่านส่งมารดากลับออกไปแล้วก็เป็นเวลาจวนรุ่งสาง
ท่านจึงเรียกประชุมสงฆ์กล่าวขอขมาแก่ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป และรับขมาจากสงฆ์ จากนั้นท่านดึงจีวรมาปิดหน้า
นอนตะแคงขวา เข้าสมาบัติ ๙ โดยอนุโลมปฏิโลมตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน
เมื่อออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
มหาปฐพีถึงกับสั่นสะเทือนเลือนลั่น
๔) กตัญญูกตเวทีต่อข้าวใส่บาตรแม้เพียง
๑ ทัพพี นอกจากกตัญญูกตเวทีต่อมารดาในปัจจุบัน มารดาในอดีต และอาจารย์เก่าแล้ว
ท่านยังมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่เคยใส่บาตรกับท่านแม้เพียง ๑ ทัพพีอีกด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า
พราหมณ์แก่คนหนึ่งชื่อว่า ราธะ4
ถูกลูกเมียทอดทิ้งจึงไปขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่ไม่มีภิกษุรูปใดยอมเป็นอุปัชฌาย์บวชให้
เพราะการรับใครเข้ามาบวชสักคนหนึ่งพระอุปัชฌาย์ต้องดูแลพระบวชใหม่จนกว่าจะศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้อย่างถูกต้อง
และจนกว่าจะปรับตัวเข้ากับธรรมเนียมปฏิบัติในหมู่สงฆ์ได้
พราหมณ์เฒ่าจึงต้องเลี้ยงชีวิตด้วยการรับใช้ภิกษุทั้งหลายโดยการดายหญ้ากวาดวัด
ถวายน้ำฉัน เพื่อแลกกับข้าวก้นบาตรและอาศัยอยู่ในบริเวณวัด
เย็นวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผลของเขา
จึงเสด็จไปหาราธพราหมณ์ทรงสอบถามเรื่องวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ที่รับใช้พระภิกษุ
แล้วทรงเรียกประชุมสงฆ์ เพื่อสอบถามว่ามีใครระลึกถึงคุณของราธพราหมณ์ได้บ้างไหม
พระสารีบุตรจำได้ว่า
ราธพราหมณ์เคยใส่บาตรให้ ๑ ทัพพี
จึงระลึกถึงคุณของเขาได้ก็กราบทูลรับเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชให้ราธพราหมณ์แล้ว
ก็มิได้บวชให้เฉย ๆ ท่านยังคอยพร่ำสอนพระธรรมวินัยให้แก่พระราธะและยังต้องบิณฑบาตหาปัจจัย
๔ เลี้ยงดูพระใหม่อีกด้วย
เมื่อพระราธะบวชแล้วก็ตั้งใจฝึกตนอยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์
เมื่อได้รับความสะดวกสบายในเรื่องปัจจัย ๔ แล้ว การเรียนกรรมฐานก็มีความก้าวหน้า
ปฏิบัติตามคำสอนของพระสารีบุตรอยู่ ๒-๓ วัน ก็บรรลุอรหัตผล
๒.๒
เคารพพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์อย่างมาก
นับจากวันที่พระสารีบุตรได้พบกับพระอัสสชิและได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาจากพระอัสสชิเป็นครั้งแรกจนบรรลุโสดาบันนั้นท่านก็ตรึกระลึกนึกถึงพระคุณของพระอัสสชิในฐานะอาจารย์อยู่ทุกวันว่า
“เราเป็นผู้ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน
เพราะได้เห็นพระอัสสชิก่อน ท่านพระสาวกนามว่าอัสสชินั้นเป็นอาจารย์ของเรา
เป็นนักปราชญ์ เราเป็นสาวกของท่าน”5
ทั้งนี้เพราะท่านตระหนักว่า
หากท่านไม่ได้พบพระอัสสชิในวันนั้น ท่านก็คงหลงผิดไปในลัทธิอื่นต่อไป
ไม่มีโอกาสได้ฟังคำสอนของพระบรมศาสดาเป็นครั้งแรก ไม่ได้พบกับโมกขธรรมที่ตามหามานานหลายหมื่นกัป
(แต่ไม่พบ)ไม่ได้มาพบกับพระบรมศาสดาและไม่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจนบรรลุอรหัตผล ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ไม่ได้รู้ถึงความปรารถนาในการสร้างบารมีของตนเองตั้งแต่อดีต6
และไม่มีโอกาสได้เป็นธรรมเสนาบดีในวันนี้
ท่านจึงเคารพพระอัสสชิในฐานะของอาจารย์ผู้ให้แสงสว่างแรกแก่ชีวิต
ผู้เป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ทั้งหมดในชีวิตสมณะของท่าน เมื่อถึงเวลาก่อนนอน
ท่านจะตรวจดูด้วยญาณทัสนะว่า พระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์ของท่านพักอยู่ในทิศใด
แล้วท่านก็นอนหันศีรษะไปยังทิศนั้นเป็นการยกย่องบูชาอาจารย์ไว้เหนือศีรษะของท่าน
ดังมีหลักฐานที่ท่านกล่าวไว้ใน สารีปุตตเถราปทาน7
ว่า “วันนี้เราเป็นธรรมเสนาบดีถึงที่สุดในที่ทุกแห่ง
เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ท่านพระสาวกนามว่าอัสสชิผู้เป็นอาจารย์ของเราอยู่ในทิศใด
เราย่อมทำท่านไว้เหนือศีรษะในทิศนั้น”
๒.๓ รักการแสวงหาความรู้
แม้ว่าพระสารีบุตรเป็นผู้ดำรงตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญามากแล้ว
แต่ท่านก็ยังขวนขวายในกิจที่เพิ่มพูนปัญญาอยู่สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะเวลาที่ท่านพบปัญหาจากการเผยแผ่บ้าง การฝึกอบรมคนบ้าง การบริหารปกครองบ้าง
ท่านจะนำปัญหานั้น ๆ กลับมากราบทูลถามพระบรมศาสดาอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรแนะนำอสุภกรรมฐานแก่พระหนุ่มบวชใหม่
ผู้เป็นบุตรชายของช่างทองซึ่งเป็นตระกูลอุปัฏฐากของท่าน
เพราะเห็นว่าการพิจารณาความไม่งามของร่างกายและซากศพเหมาะแก่คนหนุ่ม
อันจะทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านในราคะ แต่แม้ภิกษุหนุ่มรูปนั้นจะพยายามใส่ใจในอสุภกรรมฐานอย่างเคร่งครัด
จนเวลาผ่านไป ๔ เดือน
ก็ยังไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษใด ๆ ได้ ซึ่งผิดแผกไปจากภิกษุหนุ่มรูปอื่น ๆ
ที่เคยสอนมา
เมื่อท่านพบกับปัญหาการฝึกอบรมคนเช่นนี้แล้ว ก็รู้ด้วยปัญญาว่า
ภิกษุหนุ่มรูปนี้คงจะเป็นพุทธเวไนยอย่างแน่นอน มีแต่พระบรมศาสดาเท่านั้นที่จะให้กรรมฐานตรงจริตของเขาได้
ท่านจึงพาภิกษุหนุ่มรูปนี้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “สารีบุตรการรู้กรรมฐานที่สบายแก่ภิกษุรูปนี้
ไม่ใช่วิสัยของเธอ ภิกษุนี้มีแต่ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพึงแนะนำได้”8
พระองค์ทรงทราบว่า ในอดีตชาติ
ภิกษุหนุ่มรูปนี้เคยเกิดเป็นบุตรของนายช่างทองมา ๕๐๐ ชาติ
การให้นิมิตสีแดงด้วยโลหิตกรรมฐาน (กสิณสีแดง)
จึงจะเหมาะแก่อัธยาศัยของภิกษุรูปนี้ พระองค์จึงทรงใช้ฤทธิ์เนรมิตดอกบัวสีประภัสสร
(สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก)
ประทานให้ภิกษุรูปนั้นนำไปปักไว้บนเนินทรายที่อยู่ใต้ร่มเงาไม้หลังวิหาร
ให้นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาดอกบัวนั้น ให้ระลึกภาวนาในใจว่า “โลหิตัง”
(แดง ๆ ๆ)
ภิกษุรูปนั้นทำตามคำแนะนำของพระบรมศาสดาเพียงครู่เดียว ก็บรรลุฌาน ๔
จากนั้นพระองค์ทรงอธิษฐานให้ดอกบัวเหี่ยว
ภิกษุรูปนั้นออกจากฌานแล้วมองเห็นดอกบัวเป็นสีดำ ท่านจึงตระหนักถึงความจริงว่า
ร่างกายของเราไม่เที่ยง
ถูกความชราย่ำยีตลอดเวลา การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
จึงเกิดความรู้สึกเหมือนถูกไฟเผาร่างขึ้นมาทันที
ไม่ไกลจากที่ท่านนั่งสมาธินั้น มีเด็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังหักดอกบัวในน้ำนำมากองไว้บนบก
สักครู่หนึ่งดอกบัวที่กองไว้บนบกก็เริ่มเหี่ยวแห้งไป
ท่านเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วยิ่งเห็นความจริงว่า สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
ร่างกายของท่านจึงยิ่งรู้สึกเหมือนถูกไฟโหมแผดเผายิ่งขึ้นอีก
พระบรมศาสดาทรงทราบถึงวาระจิตที่เหมาะแก่การบรรลุธรรมของภิกษุรูปนั้นแล้วจึงทรงแผ่พระฉัพพรรณรังสีออกมาจากที่ประทับในพระคันธกุฎี
เพื่อชี้หนทางดับทุกข์ให้แก่ภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสแสดงธรรมว่า “ภิกษุใดตัดราคะได้ขาด
พร้อมทั้งอนุสัยไม่มีส่วนเหลือ
เหมือนบุคคลลงไปตัดดอกปทุมซึ่งงอกขึ้นในสระฉะนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น”9
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ภิกษุรูปนั้นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จากตัวอย่างที่ยกมาแสดงนี้ ในพระไตรปิฎกมีคำอธิบายว่า
สาเหตุที่พระสารีบุตรไม่สามารถเลือกกรรมฐานที่ตรงแก่จริตของภิกษุรูปนี้ได้ก็เพราะท่านไม่มีอาสยานุสยญาณ
คือ ปัญญารู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์
ซึ่งเป็นญาณทัสนะที่มีเฉพาะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
เพราะเหตุนี้
ท่านจึงหมั่นแสวงหาปัญญาด้วยการกราบทูลถามจากพระบรมศาสดาอยู่เสมอ
ทำให้ภิกษุสาวกรูปอื่น ๆ พลอยได้เปิดหูเปิดตาจากการถามของท่านไปด้วย
ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มพูนปัญญาจากการรับฟังคำตอบของพระบรมศาสดาไปด้วยเช่นกัน
1 ที.ม.อ.มหาปรินิพพานสูตร (ไทย)
๑๓/๓๘๑-๓๘๗
2 ขุ.มหานิ.อ. (ไทย) ๖๕/๑๓๓ บทว่า ปกฺขนฺทิกา
ได้แก่ โลหิตปกฺขนฺทิกา อติสาโร. แปลว่าโรคท้องร่วงเป็นโลหิต, โรคลงแดง,
ขุ.อป.อ. (ไทย) ๗๐/๒๓๕
การถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ชื่อว่า อติสาระโรคบิดหรือโรคท้องร่วงที่มีเลือดปนออกมา
เช่น
ในอนนุโสจิยชาดก (ขุ.ชา.อ. (ไทย)
๕๘/๕๗๒) ว่า เมื่อปริพาชิกาผู้สุขุมาลชาติบริโภคภัตอันเจือปนกันปราศจากโอชะ ก็เกิด
อาพาธลงโลหิต (ถ่ายเป็นเลือด)
3 สํ.มหา.อ.จุนทสูตร (ไทย) ๓๐/๔๓๔
4 องฺ.เอก.อ.ประวัติพระราธเถระ (ไทย)
๓๒/๔๙๕-๔๙๙, ขุ.ธ.อ.เรื่องพระราธเถระ (ไทย) ๔๑/๒๘๖-๒๙๐
5 ขุ.อป.สารีปุตตเถราปทาน (ไทย)
๓๒/๓๖๘-๓๖๙/๕๗
6 องฺ.เอก.อ.สูตรที่ ๒-๓ (ไทย) ๓๒/๒๖๕
พระสารีบุตรครั้งเมื่อเกิดเป็นสรทดาบส ท่านได้ตั้งความปรารถนาเป็นอัครสาวก
เบื้องขวาและได้รับพยากรณ์จากพระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อ ๑ อสงไขยแสนมหากัปที่ล่วงมาแล้ว
7 ขุ.อป.สารีปุตตเถราปทาน (ไทย)
๓๒/๓๖๙-๓๗๐/๕๗
8 ขุ.สุ.อ.อุรคสูตร (ไทย) ๔๖/๓๓
9 ขุ.สุ.อ.อุรคสูตร (ไทย) ๒๕/๒/๔๙๙
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๐ วิชาครูของพระสารีบุตร : การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:21
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: