บริบทของความเป็นเพื่อน


การมีเพื่อนสำคัญมากแค่ไหน ถ้าไม่มีเพื่อนจะเป็นไปได้ไหม ?

เพื่อนมีความสำคัญมาก เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้าไม่มีเพื่อนก็อยู่ได้ แต่ลำบากสมมุติว่าเรือเราอับปาง ต้องไปอยู่บนเกาะร้างคนเดียว เราก็ต้องอยู่ให้ได้ แต่คงลำบากและเหงา เพราะต้องอยู่คนเดียวและต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด เช่น ต้องทำเสื้อผ้าใส่เอง หาอาหารเอง ทำที่อยู่เอง ดูแลทุกอย่างเอง แล้วเวลาไม่สบายจะทำอย่างไร แต่ถ้าอยู่กันหลาย ๆ คนเราแบ่งหน้าที่กันได้ คนนี้เก่งเรื่องทำเสื้อผ้า ก็ทำเผื่อคนอื่นด้วย คนนี้หาอาหารเก่ง ก็หามาแบ่งปันกัน คือแบ่งหน้าที่ตามความชำนาญ แต่ถ้าอยู่คนเดียวต้องทำทุกอย่าง

ในอีกแง่หนึ่งก็อยู่ในสังคมมนุษย์นี้แหละแต่ไม่คบใครเลย ไปทำงานเสร็จก็กลับที่พักไม่พูด ไม่คุย ไม่อะไรกับใครทั้งสิ้น อย่างนี้ก็อยู่ได้ แต่คงว้าเหว่พอสมควร แต่ถ้าเป็นกรณีพระภิกษุที่ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ปลีกวิเวกอย่างนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เข้ากับใครไม่ได้ เป็นคนที่โดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชน อย่างนี้น่าเห็นใจมาก แล้วดูท่าทางน่าจะมีความทุกข์พอสมควร ควรปรับปรุงแก้ไข เพราะว่าการมีเพื่อนจะเกื้อกูลกันได้ เส้นทางชีวิตคนเรามีทั้งตอนรุ่งกับตอนร่วง ตอนกำลังรุ่งถ้ามีเพื่อนจะได้มาร่วมกันแสดงความยินดี ตอนเราร่วงจะได้มีคนประคองให้ลุกขึ้น เหมือนเราเดินลุยน้ำ ถ้าเดินคนเดียวมีสิทธิ์หกล้มถูกน้ำพัดไป แต่ถ้าจับมือกันเดินหลายคน พอคนหนึ่งเสียหลักคนอื่นก็ช่วยกันประคองให้ตั้งหลักได้ การมีเพื่อนฝูงจะเกื้อกูลกันอย่างนี้

มีสุภาษิตจีนบอกไว้ว่า อยู่บ้านพึ่งพ่อแม่ออกนอกบ้านพึ่งมิตรสหายดังนั้นคนจีนจะให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก ศัพท์จีนมีคำหนึ่งคือคำว่า กวานซี่แปลว่า ความสัมพันธ์ คนจีนถือว่าความสัมพันธ์มีคุณค่าอย่างยิ่งยวด จะนำมาซึ่งโอกาสอันยิ่งใหญ่ ๑ บวก ๑ ไม่ได้เป็น ๒ แต่กลายเป็น ๑๑ นี้คือความสำคัญของมิตรสหายและความสัมพันธ์ ใครที่อยู่โดดเดี่ยวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลย ถือว่าเป็นการตัดรอนโอกาสตัวเองอย่างน่าเสียดาย

ระหว่างเพื่อนกับคนรักสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ?

สำคัญทั้งคู่ และเราต้องทำหน้าที่ของเราต่อแต่ละฝ่ายให้สมบูรณ์ จะมาเทียบว่าใครสำคัญกว่าใครนั้น บางทีก็ไม่ค่อยเป็นสาระเท่าไร แต่ถ้าต้องเทียบจริง ๆ โดยทั่วไปคู่ชีวิตสำคัญกว่า เพราะคู่ชีวิตก็เป็นเพื่อนแบบหนึ่งคือ เพื่อนคู่ชีวิต ร่วมหัวจมท้ายอยู่ด้วยกันในครอบครัวเดียวกัน ผูกชะตาอยู่ด้วยกัน คนที่บอกว่าเพื่อนสำคัญกว่าคู่รัก อาจเป็นกรณีที่เขามีกิ๊กอยู่หลายคนแล้วเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่มีเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่แค่ ๑-๒ คน ถ้าอย่างนี้เขาอาจจะรู้สึกว่า เพื่อนมีความสำคัญกว่าคู่รัก หรือในสมัยก่อนคนที่มีภรรยาหลายคน ก็อาจจะรู้สึกว่าเพื่อนที่เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันในยามยาก และฝากชีวิตกันได้ ซึ่งมีอยู่แค่คนสองคน มีความสำคัญกว่าภรรยา

ในยุคปัจจุบัน มีหลักอะไรในการคบเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ?

ให้ดูง่าย ๆ ว่าคนนั้นเป็นคนที่คิดดี พูดดี และทำดีหรือเปล่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามงคลชีวิตที่ทำให้เราเจริญก้าวหน้า มงคลที่ ๑ ก็คือ ไม่คบคนพาล มงคลที่ ๒ คบบัณฑิต ถามว่าจะดูคนพาล ดูบัณฑิต ดูอย่างไร ง่ายที่สุดก็คือ ดูที่ความคิด คำพูด และการกระทำ ถ้าในโลกโซเชียลให้ดูสิ่งที่เขาพิมพ์มา นั้นแหละคือคำพูดของเขา ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีเป็นปกติ แสดงว่าคนนี้เป็นคนดี แต่ถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเป็นปกติ แสดงว่าเป็นคนไม่ดี บางคนโพสต์แต่ละอย่างถูกใจเรา อย่างนี้ถือว่าเขาดีไหม ไม่แน่ ต้องถือความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ถ้าสิ่งนั้นไม่ผิดศีลธรรม ก็แสดงว่าเป็นเรื่องดี ถ้าผิดศีลธรรมเมื่อไร ก็เป็นเรื่องไม่ดี

นึกง่าย ๆ ว่า ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดูอยู่กับเรา พระองค์จะสรรเสริญสิ่งที่เขาโพสต์ไหม ถ้าพระพุทธเจ้าทรงชื่นชมว่าถูกต้องแล้ว ดีแล้ว แสดงว่าดี อย่าเอาตัวเองเป็นตัววัดเพราะบางทีเราก็เอาความถูกใจมาตัดสิน บางทีเขาใช้คำหยาบคาย แต่เผอิญหยาบคายกับคนที่เราไม่ชอบ เราก็เลยถูกใจ อันนี้ไม่ได้ เพราะคำหยาบอย่างไรก็เป็นวจีทุจริต หรือไปยุแหย่ให้คนเขาเกลียดชังกัน โดยใช้ Hate Speech (ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง) แสดงว่าไม่ถูกต้องแล้ว คนดีเขาไม่ทำกัน คำเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ คือ วจีทุจริต ในโลกโซเชียลต้องดูเรื่องนี้มากที่สุด เพราะสื่อกันด้วยข้อความ ด้วยภาพ ถ้าเป็นภาพตัดต่อเมื่อไร รู้ทันทีว่าคนทำโกหกและวจีทุจริตแน่นอน อย่างนี้เราอย่าไปคบ ให้เลือกคบแต่เฉพาะคนที่คิดดี พูดดี และทำดี ให้ข้อมูลดี ๆ แก่เรา

เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นของกลาง ถ้าใช้ถูกก็เป็นคุณแก่ตัวเรา แต่ถ้าเราไปคบกับคนไม่ดี ใจจะตกต่ำ ยังไม่ต้องคุยอะไรกันหรอก แค่ดูที่เขาโพสต์เรื่องไม่ดี เป็นคำหยาบคายบ้าง เป็นเรื่องไม่จริงบ้าง ใจเราก็ตกต่ำลงไปแล้ว เสียคุณภาพของใจแล้ว อย่าไปคบ อย่าไปเสพเลย ให้เลือกเฉพาะสิ่งดี ๆ จากคนดี ๆ เท่านั้น

เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้ ในฐานะเพื่อนมีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่ควรพูด ?

ในสากลประเทศ ส่วนใหญ่เรื่องที่เขามักเลี่ยงไม่คุยกัน คือ ๑. เรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกผิด แต่เป็นเรื่องของความชอบ ที่เรื่องการเมืองดูแรง เพราะว่าทุกคนตระหนักว่าเป็นสิ่งที่จะนำทิศทางประเทศ ผสมกับความรู้สึกรักชาติและเป็นห่วงบ้านเมืองเข้าไป ทำให้ถ้าคุยกันแล้วคนละคอมีสิทธิ์จะทะเลาะกันง่าย ๆ

อีกเรื่องคือเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนนี้นับถือศาสนาหนึ่ง อีกคนนับถืออีกศาสนา ถ้าบอกว่าใครดีกว่ากันเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน นี้คือ ๒ เรื่องหลัก เรื่องอื่นยังไม่เท่าไร เรื่องดาราหรือเชียร์ฟุตบอลคนละทีมไม่ค่อยมีปัญหามาก แค่ขำ ๆ กันไป ไม่ได้เกี่ยวพันถึงวิถีชีวิต แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมือง หรือศาสนา มันส่งผลถึงวิถีชีวิต พอขัดกันแล้วจะแรงมาก อันนี้คือเรื่องหลัก

ส่วนเรื่องอื่น ๆ เช่น การหยิบยืมเงินทองก็ต้องดูให้ดี คนที่ดี ๆ กันอยู่ ยืมเงินแล้วไม่คืนจะขัดใจกัน หรือการเอ่ยปากขอของรักของเขาก็อย่าทำ ผู้ที่ขอของรัก ย่อมไม่เป็นที่รัก การพูดจาเป็นเชิงดูหมิ่นศักดิ์ศรี ก็อย่าทำเด็ดขาดทุกคนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ยิ่งในปัจจุบันนี้ความรู้สึกเท่าเทียมกันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเป็นสมัยก่อน ผู้ใหญ่แบบผู้ว่าราชการจังหวัดไปเจอชาวบ้าน ชาวบ้านพนมมือแต้ เกรงใจมาก แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเดินขบวนไล่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็มี เพราะเขาถือว่าแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเอง คุณเป็นข้าราชการทำหน้าที่ของคุณ แต่คุณกินภาษีของผม เขาไม่ได้ถือว่าข้าราชการเป็นเจ้านาย ตัวเองเป็นผู้ที่มาพินอบพิเทา เพื่อจะขอความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปข่มใคร ไปถึงไหนก็ให้เกียรติทุกคน แบบนี้เราจะเป็นที่รัก สังเกตสินักการเมืองคนไหนเป็นคนเก่ง ซื่อสัตย์ ขยัน ติดดิน ให้เกียรติประชาชน ชาวบ้านชอบ ถ้าเต๊ะ เบ่ง ชาวบ้านไม่ชอบ เพราะฉะนั้นให้เกียรติทุกคน แล้วเราจะอยู่สบาย จะเป็นที่รัก

ในโลกธุรกิจมีคำพูดว่า เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรวางใจอย่างไร ?

เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดคือ ถ้าผลประโยชน์มาถึงก็ชิงกันหรือผลประโยชน์ขัดกันก็บรรลัยใช่ไหม นี้แสดงว่าเพื่อนไม่จริงเท่าไร ถ้าเพื่อนจริงต้องแบ่งปันผลประโยชน์กันได้ ในกรณีที่เป็นเพื่อนกันจริง ๆ เกิดเขาสะดุดอะไรขึ้นมา แล้วมาขอยืมเงินเรา เราจะทำอย่างไร ในปัจจุบันอย่าไปคิดว่าคนจนเท่านั้นที่ต้องมายืมเงิน บางทีเศรษฐีก็มี รวยเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่เจอจังหวะสะดุดพอดี ถามว่าเราควรทำอย่างไร ให้ทำอย่างนี้นะ ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน แต่ต้องดูว่าเรามีกำลังพอช่วยได้หรือเปล่า ถ้าเรากำลังมีปัญหาเหมือนกัน ก็บอกกันตรง ๆ ไปเลย แล้วให้กำลังใจกัน แล้วดูว่ามีช่องทางไหนที่ช่วยได้บ้าง แต่ถ้าเราพอช่วยได้ ก็ต้องมาดูอีกว่า เพื่อนคนนั้นเป็นเพื่อนระดับไหน ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิท เพื่อนแท้ เพื่อนตาย ตอนเราลำบากเขาเคยช่วยเรา ถ้าอย่างนี้ถึงไหนถึงกัน กระเบียดกระเสียรบ้างก็ยอม เพื่อให้เพื่อนรอด ถัดมาคือเพื่อนที่รู้จักกันระดับหนึ่ง ก็ต้องดูว่าเครดิตเขาดีขนาดไหน ถ้าเขาเป็นคนรักษาคำพูด รับผิดชอบ อันนี้โอเค เราก็ช่วย แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่เครดิตไม่ค่อยดี ถ้าอย่างนี้ต้องมาดูเป็นกรณีว่าเราจะช่วยหรือเปล่า ถ้าช่วยแล้วงานเราสะเทือน อย่างนี้ก็อาจจะหาวิธีปฏิเสธไป หรือว่าถ้าอยากจะช่วยเขา ก็ต้องทำสัญญาให้เรียบร้อย มีการค้ำประกันอะไรต่าง ๆ ให้เรียบร้อย สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะสำหรับเขาแล้ว การที่มีคนช่วยยังดีกว่าไม่มีคนช่วย แต่เราเองก็ต้องการหลักประกันอะไรบางอย่างด้วย อันนี้จัดการให้ลงตัวแต่ต้นดีกว่าโดยแยกแยะวินิจฉัยว่า คนนี้เป็นเพื่อนระดับไหน เครดิตเป็นอย่างไร แล้วเราควรช่วยหรือไม่ควรช่วย ถ้าช่วยจะต้องทำอย่างไรถึงจะพอดี แล้วก็ต้องชัดเจนตั้งแต่ต้น อย่างนี้จะทำให้เราสบายใจด้วย แล้วมิตรภาพก็จะยั่งยืนกว่าเดิมด้วย

ถ้าอยากมีเพื่อนแท้ มีหลักการอย่างไรต้องเริ่มต้นอย่างไร ?

จริง ๆ ต้องดูก่อนว่า คนนั้นเป็นคนอย่างไร คิดดี พูดดี ทำดีหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงหาคนที่สมบูรณ์แบบไม่ได้หรอก อย่างน้อยเป็นคนที่ไม่เกเร ไม่เหลวไหล ถ้าอยู่ในเกณฑ์สอบผ่าน คือ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะดี ถ้าดูแล้วใช้ได้ เราก็จะได้ปฏิบัติกับเขาให้ดี ซึ่งหลักในการปฏิบัตินั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ ดังนี้

๑. เผื่อแผ่ แบ่งปันกัน ได้ลาภได้อะไรมาก็แบ่งปันกัน มีน้ำใจต่อกัน

๒. ให้คำพูดเสริมกำลังใจกัน ไม่พูดจาบั่นทอนกำลังใจ บางคนคบกันมาตั้ง ๕ ปี ๑๐ ปี ไปดูถูกเขาคำเดียว มิตรภาพแตกสลายเลยก็มี คำพูดนี้สำคัญมาก โบราณท่านจึงบอกว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท

๓. ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่น เขากำลังติดขัดตรงนี้ เราเสริมตรงนี้ได้ก็ช่วยกัน อย่างสมัยก่อน เขาลงแขกเกี่ยวข้าวกัน ช่วยกันไปช่วยกันมา ตะลุมบอนบ้านนี้เสร็จแล้ว อีกวันไปบ้านโน้น มันคึกคัก เกิดพลังหมู่ขึ้นมา

๔. ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เห็นเพื่อนกำลังกลุ้มใจ เราก็มีอารมณ์ร่วมนิดหน่อย ให้ความรู้สึกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ให้เขารู้สึกว่าเจอเราแล้วเขาโอเค มีอะไรพูดได้ทุกเรื่อง เพราะว่าเราจริงใจกับเขา พร้อมรับฟังเขา พร้อมจะให้คำแนะนำดี ๆ ทำให้เขามีพลังที่จะแก้ไขปัญหา การมีคนที่พูดคุยได้ทุกเรื่องมีคุณค่ามากนะ

๕. ซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน ไม่ใช่แบบเพื่อนเราเผาเรือน ฝากสมบัติไว้ก็ฮุบไป ฝากให้ดูแลครอบครัว กลับมาภรรยาเป็นอื่นไปเสียแล้ว หรือเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ไปเห็นโอกาสทำธุรกิจ ก็คว้าไปทำก่อน แบบนี้ไม่ใช่เพื่อนแท้

คำว่า กัลยาณมิตร หมายความว่าอย่างไร และต้องทำหน้าที่อย่างไรต่อกันบ้าง ?

กัลยาณมิตรแปลว่า มิตรที่ดีหรือเพื่อนที่ดีคือนอกจากซื่อสัตย์จริงใจต่อกันแล้วยังจูงกันไปสู่หนทางสวรรค์ด้วย บางคนไม่ทิ้งกันเลย ร่วมเป็นร่วมตาย ก็ถือว่าจริงใจ เป็นเพื่อนแท้ แต่ว่าปกติชอบกินเหล้า ชอบเล่นไพ่อย่างนี้ถือว่าเป็นเพื่อนแท้ แต่ก็ยังไม่ใช่กัลยาณมิตร ถ้าเป็นกัลยาณมิตรจะต้องเป็นคนดีด้วย แล้วพากันไปสู่หนทางสวรรค์ หนทางนิพพาน ชักนำให้เพื่อนทำในสิ่งดี ๆ ที่ถูกศีลถูกธรรม นำไปสู่การสร้างบุญกุศลทั้งชาตินี้ชาติหน้า และเข้าพระนิพพานในที่สุด

Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
บริบทของความเป็นเพื่อน บริบทของความเป็นเพื่อน Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:18 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.