การเดินธุดงค์ของประเทศไทยในอดีต มีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไร ?
ในประเทศไทยของเราก็มีการปรับวิธีเดินธุดงค์อย่างเหมาะสมสำหรับพระใหม่และพระผู้เฒ่าที่ต้องอบรมดูแลลูกศิษย์ลูกหารวมทั้งพระเถรานุเถระที่ตั้งใจอยู่ป่าถือธุดงค์กันตลอดชีวิต โดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับภูมิภาคในประเทศไทยตลอดระยะเวลาพันปีที่ผ่านมา
พระเดชพระคุณพระเทพสุวรรณโมลี (สอิ้ง สิรินันโท) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี (ปัจจุบัน คือ พระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี) เคยเล่าไว้ในหนังสือ "ก้าวไปในรอยบุญ" ซึ่งเป็นหนังสือที่พิมพ์เพื่อแสดงมุทิตาจิตในวาระอายุครบ ๘๐ ปีของท่าน ท่านเล่าถึงประเพณีเดินธุดงค์ในประเทศไทยเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ในสมัยที่ท่านบวชพรรษาแรก
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าว่า สมัยนั้นประเพณีบวชพระต้องบวชอย่างน้อย ๑ พรรษามิใช่แค่ ๗ วัน หรือ ๑๐ วัน เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว ถ้ายังไม่สึก พอสอบนักธรรมเสร็จก็นิยมธุดงค์ไปพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีหรือพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี
ครั้งนั้น เมื่อสอบนักธรรมแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับไปอยู่ที่วัดท่าไชย (ต.หัวโพธิ์ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี) ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน ตอนนั้นพระวัดท่าไชย ๒ รูป กำลังเตรียมตัวเดินธุดงค์ แต่ไม่รู้ว่าการเดินธุดงค์เป็นอย่างไร พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็อยากรู้จึงขอไปด้วย โดยไปสมทบกับพระและสามเณรวัดไผ่โรงวัวอีก ๒ รูป รวมเป็น ๕ รูป พระ ๓ รูป สามเณร ๒ รูป แล้วเริ่มเดินธุดงค์กัน
ก่อนอื่น ท่านลงเรือเมล์กันตอนเที่ยงคืนที่ตลาดบางสามซึ่งอยู่ในเขตสุพรรณบุรี ไปถึงตัวจังหวัดสุพรรณบุรีก็สว่างพอดี
การเดินทางไปมาติดต่อกันสมัยโบราณเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ตลอดจนย้อนหลังไปร้อยปีพันปี ในประเทศไทยเรานิยมไปมาโดยทางเรือ บ้านของประชาชนก็อยู่ ๒ ริมฝั่งน้ำนั้นเอง หรือถ้าเข้ามาในแผ่นดินใหญ่หน่อย ก็เดินไปตามทางเกวียน สมัยนั้นยังไม่มีถนนซูเปอร์ไฮเวย์
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าว่า ถึงตัวจังหวัดสุพรรณบุรีก็สว่างพอดี ฉันเช้าเสร็จไปสมาทานธุดงค์ที่วัดประตูสารกับหลวงพ่อก๋ำ พระครูวิธุรสุตาคม แล้วเดินผ่านวัดหอยโข่งอำเภอศรีประจันต์ ปักกลดแถววัดไก่เตี้ยอีก ๑ คืน ผ่านไปหลายวัดกว่าจะได้เดินธุดงค์เดินต่อไปผ่านอำเภอสามชุก ผ่านอำเภอเดิมบางนางบวช เข้าจังหวัดสิงห์บุรีแล้วผ่านไปที่จังหวัดลพบุรี
ขอให้ดูตรงนี้ด้วย การเดินธุดงค์นั้นเป็นเรื่องของบุญกุศลใหญ่ ต้องมีการขวนขวายทำกัน ไม่ใช่ใครอยากเดินก็เดิน
การเดินทางที่ว่าผ่าน ๆ นั้นคือผ่านป่า ไม่ได้ผ่านถนนทางเรียบแบบซูเปอร์ไฮเวย์ ผ่านป่าโดยอาศัยเดินตามทางเกวียน สมัยโบราณไม่มีแม้กระทั่งถนนลูกรัง ฉะนั้นบางช่วงจึงเป็นหลุมเป็นบ่อ
ทางเกวียนนี้แต่เดิมคือทางที่สัตว์เดินหากินมาก่อนจากแหล่งหนึ่งไปแหล่งหนึ่ง ส่วนมากคือจากป่าหนึ่งไปป่าหนึ่ง ที่ไหนอุดมสมบูรณ์สัตว์ก็เดินทางไปตามแนวนั้น สมัยโน้นก็อาศัยพึ่งสัตว์ที่เดินเป็นฝูง ๆ และเดินกันมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว มนุษย์ก็มาเดินตามทางซึ่งเป็นรอยเท้าสัตว์เก่านั่นเอง
จากสุพรรณบุรีลัดป่าไปตามทางเกวียนตามทางรอยเท้าสัตว์ ผ่านไปจนกระทั่งถึงเขตสระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ตั้งเป้าเดินขึ้นภาคเหนือของประเทศไทย ต่อแต่นี้เดินไปตามเส้นทางรถไฟขึ้นภาคเหนือ มุ่งหน้าจะไปไหว้พระบาท ๔ รอย ซึ่งมีตำนานว่าเป็นรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่ ๔ รอยด้วยกัน จึงมีชื่อว่าพระบาท ๔ รอย เป็นสถานที่โบราณในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสมัยนั้นไปยากมากเพราะอยู่ในป่าลึก ไม่มีบ้านคน ต้องไปปักกลดค้างแรม เมื่อถึงเชียงใหม่ต้องสอบถามชาวบ้านจนรู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วจึงดั้นด้นไปถึงจนได้
ในการเดินธุดงค์ เส้นทางที่เดินไปก็เพื่อไปไหว้ไปกราบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเพิ่มพูนศรัทธา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยโบราณมี ๑) รอยพระพุทธบาท ๒) สถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สำคัญที่ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านประจำเมือง เป้าหมายในการเดินทางก็คือไปกราบนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
การเดินทางไปไหว้พระบาท ๔ รอย สมัยนั้นต้องไปปักกลดที่วัดหนองก๋าย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นปากทางอีก ๑ คืน รุ่งขึ้นออกบิณฑบาต พอฉันเช้าเสร็จฝากกลดไว้ที่วัด แล้วก็เดินข้ามเขา ข้ามห้วยไปประมาณ ๕ ชั่วโมง ต้องเดินข้ามเขาไป ๒๑ ลูก และธารน้ำอีก ๑๙ แห่ง พอไปถึงกราบไหว้เสร็จแล้ว ก็จำเป็นต้องรีบเดินทางกลับเพราะในย่านนั้นไม่มีบ้านคนอยู่เลยสักหลังพักค้างแรมไม่ได้ จึงได้กลับมาพักแรมที่วัดหนองก๋ายอีก ๑ คืน วันรุ่งขึ้น ฉันเช้าเสร็จแบกกลดเดินทางย้อนกลับมาเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ แม้ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพก็เดินไปบนลูกรัง บางแห่งลูกรังก็ไม่มี แล้วลงมาวนเวียนไหว้พระศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเชียงใหม่จนทั่ว
พระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่เมืองสุพรรณเดินเท้าเปล่าไปถึงเชียงใหม่ แล้วก็เดินเท้าเปล่านั้นแหละขึ้นดอยสุเทพ เสร็จเรียบร้อยก็วนเวียนไหว้พระศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเชียงใหม่จนทั่วทุกแห่ง ไม่ว่าวัดเล็กหรือวัดน้อย ขอให้ทราบว่าเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ ท่านก็ไปกราบไปไหว้จนหมด
หลังจากนั้น เดินทางไปไหว้พระธาตุจอมทองในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นก็ไปข้ามน้ำที่ท่าลี่เข้าเขตจังหวัดลำพูนตรงไปไหว้พระบาทตากผ้า เดินธุดงค์เรื่อยมาจนถึงตัวเมืองลำพูนแล้วเข้าไปไหว้พระธาตุหริภุญชัย
ในภาคเหนือมีรอยพระพุทธบาทอยู่หลายแห่ง แสดงว่าภาคเหนือนั้นเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองมาแล้วเป็นพันๆ ปีในอดีต และจากจารึกโบราณก็ทราบว่า เนื่องจากทางภาคเหนืออากาศดีเหลือเกิน ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ประชาชนชาวเหนือตั้งแต่ยุคพันๆ ปีที่แล้วก็จิตใจงาม ภาคเหนือของประเทศไทยจึงเป็นแหล่งที่พระธุดงค์ที่รักการประพฤติปฏิบัติธรรมจากทุกภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานิยมไปปฏิบัติธรรมกัน
เวลาเดินทางกลับ ในระหว่างทางที่เดินธุดงค์ย้อนกลับมา พระเดชพระคุรหลวงพ่อแวะกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดระยะทางที่ธุดงค์ผ่านจังหวัดต่างๆ ขอให้ดูปฏิปทาของท่านให้ดี ท่านแวะไปตามลำดับๆ ขอให้รู้เถิดว่ามีวัดที่เป็นที่เคารพสักการะของชาวพุทธอยู่ที่จังหวัดไหน อยู่ย่านไหน ท่านต้องไปกราบไปไหว้จนทั่ว อย่าลืมว่าตลอดทางนี้ท่านเดินเท้าเปล่ากัน พอถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ ก็ไปไหว้วัดพระแท่นศิลาอาสน์ที่อำเภอลับแล เข้าเขตจังหวัดสุโขทัย ก็ไปไหว้พระตามวัดร้างในเมืองเก่าสุโขทัย
สุโขทัยเป็นราชธานีของประเทศเรามานาน เมื่อผ่านกาลเวลาไป ๘๐๐ ปี ๙๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ก็มีวัดร้างวัดเก่าอยู่เป็นธรรมดา เพราะว่าการก่อสร้างในสมัยโบราณไม่ได้มีคอนกรีต กุฏิก็เป็นไม้ โบสถ์ก็เป็นไม้ อิฐก็ไม่ได้ฉาบไม่ได้ยาอะไร หรืออย่างดีก็ฉาบด้วยปูนขาว
เดินธุดงค์มาเข้าเขตเมืองพิษณุโลกไปวัดพระพุทธชินราช แล้วไปไหว้หลวงพ่อเพชรที่จังหวัดพิจิตร แล้วก็เดินธุดงค์เรื่อยมาถึงพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินธุดงค์มาถึงสระบุรีในวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลไหว้พระพุทธบาทครั้งที่ ๒
งานเทศกาลไหว้พระพุทธบาทปกติจัดปีละ ๑ ครั้ง กลางเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา แต่ถ้าเป็นปีอธิกมาส เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วัน ปีนั้นก็จะจัด ๒ ครั้ง คือ กลางเดือน ๓ และกลางเดือน ๔
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินธุดงค์ ครั้งนั้นตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ ไปช่วงกลางเดือน ๔ พอดี ปีนั้นในหลวงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกฉัตรยอดมณฑปพระพุทธบาท พระธุดงค์ทั้งหมดปกติปักกลดอยู่กันเป็นคณะๆ ในบริเวณลานพิกุลด้านล่างมณฑป เมื่อถึงเวลา ๓ ทุ่ม ทางการจะปิดทางขึ้นมณฑปไม่ให้ประชาชนขึ้น จะเปิดให้เฉพาะพระธุดงค์ขึ้นไปกราบ
พระธุดงค์แต่ละรูป แต่ละคณะ เมื่อกราบไหว้พระพุทธบาทแล้ว ก็ออกมานั่งรอบ ๆ มณฑปเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อเปิดทางให้กลุ่มอื่นเข้าไปกราบไปไหว้กันอย่างใกล้ชิด แล้วทำวัตรสวดมนต์กันตามอัธยาศัย ที่สวดเป็นกลุ่ม ๆไม่รวมกันเพราะว่ามาถึงเวลาไม่พร้อมกัน พระท่านต่างเดินธุดงค์ฝ่าแดด ฝ่าลม ฝ่าสารพัดมาถึงไม่พร้อมกัน ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงทุกคืน กว่าจะลงมาจำวัตรก็ประมาณ ๕ ทุ่ม ตอนเช้าก็ออกบิณฑบาตกันตามบริเวณงานพระพุทธบาทสระบุรีในยุคนั้นอยู่กลางป่า มีคนใจบุญใส่บาตรกันมาก แต่ว่าห่างไกลตลาด เพราะฉะนั้นกับข้าวที่ใส่บาตรส่วนมากก็เป็นไข่เค็ม
ปักกลดอยู่ที่พระพุทธบาทประมาณ ๕ วัน จึงเดินธุดงค์กลับมาถึงวัดท่าไชย จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษไทย คือแรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ใช้เวลาหลายเดือน
ธรรมเนียมปฏิบัติของพระธุดงค์สมัยนั้นเมื่อกลับถึงวัดเดิมแล้ว ต้องปักกลดอยู่ในป่าช้าอีก ๑-๒ คืน เพื่อทดสอบความกล้าก่อนจึงจะลาธุดงค์หรือออกจากธุดงค์
การออกเดินธุดงค์เป็นอุบายอย่างหนึ่งของพระสมัยก่อน ที่จะให้พระบวชใหม่ปรารถนาอยู่เป็นพระต่อไป ลำพังให้อยู่ที่วัดเดี๋ยวจะสึกเสียหมด เนื่องจากในยุคนั้นพออายุ ๒๐ ก็บวชกันแล้ว วัยรุ่นทั้งนั้น อายุเพิ่ง ๒๐, ๒๑ ก็ฝันเห็นโลกที่สดใสอยู่ข้างหน้า เคยอยู่แต่ในเขตจังหวัดของตัวเอง ก็ฝันไปว่าบ้านนั้นเมืองนั้นจะวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นนั้นก็ไปเดินดูเองให้ทั่วแผ่นดินไทย แล้วจะได้เห็นชีวิตชาวโลกว่า ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้นที่ฝันเอาไว้เท่าไร ๆ นั้นไม่ใช่หรอกลูกเอ๋ย
เมื่อไปดูอย่างนั้นแล้วได้อะไรอีก หลวงพ่อท่านก็บันทึกเอาไว้ว่า สมาธิแก่กล้าขึ้นมาเองแล้วการธุดงค์ยังเป็นการฝึกหัดบ่มเพาะอุปนิสัยนักสู้ให้อดทนต่อความยากลำบาก
การออกเดินธุดงค์เป็นเสมือนโรงเรียนพระเกจิอาจารย์สมัยนั้นทีเดียว พระอาจารย์ที่ชื่อดัง ๆ ว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ได้บรรลุธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาศัยเดินธุดงค์นี้แหละ แม้หลวงปู่ของพวกเราก็อาศัยการเดินธุดงค์เช่นนี้
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าไว้ว่า สิ่งที่ท่านได้จากการเดินธุดงค์แบบเป็นรูปธรรมจริง ๆ ก็คือ สามารถท่องจำบทสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนานฉบับหลวงได้หมดเลย เพราะตลอดระยะทางธุดงค์เกือบ ๕ เดือน เดินไปก็สวดมนต์ไปด้วย แล้วกำหนดจิตไว้ด้วยบทสวดมนต์ ซึ่งเป็นการภาวนาอย่างหนึ่งนั่นเอง
การเดินธุดงค์ครั้งนั้นถือได้ว่าท่านผ่านการเคี่ยวกรำชีวิตแบบนักสู้มาตั้งแต่พรรษาแรกเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ และเป็นภูมิคุ้มกันที่แสนวิเศษติดตัวท่านมา ทั้งเอาไว้อบรมตัวเอง ไว้สู้กับกิเลส ปราบกิเลสให้ตัวเอง จนกระทั่งมาเป็นพระเทพสุวรรณโมลี นำลูกศิษย์ลูกหาทั่วจังหวัดสุพรรณบุรีให้สู้กับกิเลสตามท่านมาด้วย นี้ก็เป็นภูมิหลังเรื่องการเดินธุดงค์เรื่องหนึ่ง
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
การเดินธุดงค์ของประเทศไทยในอดีต มีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไร ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
19:11
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: