เครดิตทางสังคม


หน้าตาทางสังคมในโลกปัจจุบันมีความสำคัญมากแค่ไหน ?

สำคัญมากทีเดียว เหมือนเวลาที่เราซื้อสินค้า ถามว่าบรรจุภัณฑ์สำคัญขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าสำคัญทีเดียว เช่น ขนมชิ้นเดียวกันใส่ถุงก๊อบแก๊บจะเป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าใส่ถุงอย่างดีและมีบรรจุภัณฑ์หุ้มอย่างงดงาม จะดูมีคุณค่าขึ้นมาทันที หรือเวลาเราจะส่งของขวัญให้ใคร ถ้าใส่ถุงก๊อบแก๊บส่งไปให้เขาก็คงรู้สึกแบบหนึ่ง แต่ถ้าใส่กล่องแล้วห่อกระดาษสวย ๆ ผูกริบบิ้นอย่างประณีตจะดูมีคุณค่ามากขึ้น เรื่องหน้าตาในสังคมก็เหมือนกัน และสังคมที่ว่าก็ยังแบ่งเป็น ๒ แบบ คือ ๑. สังคมเล็ก ๒. สังคมเมือง

สังคมเล็กก็คือสังคมที่คนทุกคนรู้จักกันหมดในหมู่บ้านตามชนบท    บ้านใครอยู่ที่ไหนพ่อแม่เป็นใคร นิสัยเป็นอย่างไร เล่าเรียนเขียนอ่านถึงไหน รู้กันหมด ในสังคมอย่างนี้การตกแต่งหน้าตาก็ยังมีความสำคัญอยู่ แต่น้อยกว่าสังคมเมือง

ถามว่าจะใช้อะไรเป็นตัวแยกว่านี้เป็นสังคมเมืองหรือสังคมชนบท คำตอบคือ สังคมที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกันคือสังคมเมือง แต่ในสังคมเมืองก็ยังมีสังคมย่อย เช่น นักเรียนห้องเดียวกัน ๔๐ คน รู้จักกันหมด ในสังคมเมืองที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน เขาจะประเมินคนโดยดูจากภายนอก เช่น แต่งตัวอย่างไร ผมเผ้าหน้าตาเป็นอย่างไร ดูแล้วสะอาดสะอ้านไหม ถัดมาก็ดูข้าวของเครื่องใช้ ขับรถอะไร คนที่ทำธุรกิจบางคนถึงต้องพยายามใช้รถดี ๆ ใช้สินค้าแบรนด์เนม เพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเองแต่ว่าเครดิตพวกนี้ในสังคมชนบทไม่ค่อยมีความหมาย เพราะว่าเขารู้ฐานะกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร

การสร้างเครดิตเป็นสิ่งที่ไม่จริงใจหรือเปล่า ? ใส่หน้ากากหรือเปล่า ?

คำว่า หน้ากากฟังแล้วมีความหมายในด้านลบ แต่การตกแต่งตัวเองให้ดูดีจะถึงขั้นใส่หน้ากากหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องประเมินกันเช่น ตื่นเช้ามา ถ้าเราล้างหน้าล้างตา ดูกระจกหวีผมเผ้าให้เรียบร้อย อันนี้ถือเป็นการเสแสร้งไหม หรือว่าตื่นปุ๊บไม่ควรจะล้างหน้า ไม่ควรดูกระจก ไม่หวีผม เสื้อผ้าไม่ต้องรีด ใส่ไปเลยจะได้ไม่เสแสร้ง นั่นก็คงไม่ใช่ เราต้องรู้จักมารยาทสังคม แล้วดูแลตัวเองให้สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย สุภาพ ถูกกาลเทศะ แค่นี้ก็กินขาดแล้ว ไม่จำเป็นต้องพยายามอดอาหารเพื่อไปซื้อกระเป๋าหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมแพง ๆ แค่ใช้ของที่เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย เอาแค่ระดับพอประมาณ และถ้าใจอยู่ในศีลในธรรม อะไรก็จะดูดีไปเองถ้าหากยากจนแต่พยายามหาของแบรนด์เนมมาใช้มากเกินไป อาจจะเริ่มเข้าข่ายใส่หน้ากากแต่ถ้าเป็นการดูแลตัวเองให้เรียบร้อยดูดีถือเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เป็นมารยาทสังคมด้วยซ้ำไป

เครดิตในทางธุรกิจมีความสำคัญอย่างไร มากน้อยแค่ไหน วิธีสร้างเครดิตต้องทำอย่างไร ?

เครดิตมีความสำคัญมาก เรามาดูกันว่ากระเป๋าแบบเดียวกันถ้าติดยี่ห้อดัง ๆ ราคาสูงขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่กระเป๋าเหล่านี้อาจจะผลิตที่ประเทศจีน ซึ่งบริษัทที่รับจ้างผลิตก็ผลิตกระเป๋าเหมือนกันทุกอย่าง แต่ไม่ได้ติดยี่ห้อดัง ๆ เวลาขายราคาอาจจะต่างกันเป็น ๑๐ เท่า นี้คือมูลค่าของแบรนด์ซึ่งมาจากการทำทุกอย่างด้วยความรับผิดชอบและมีคุณภาพจนกระทั่งได้รับการยอมรับ เรื่องนี้สำคัญมาก

เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา ในญี่ปุ่นมีบริษัทขายนมบริษัทหนึ่งที่ดังมาก ยอดขายอันดับหนึ่งของประเทศ แต่ปัจจุบันเจ๊งไปเรียบร้อยแล้วเพราะกระบวนการผลิตเกิดความคลาดเคลื่อนมีการปนเปื้อนเชื้ออีโคไล ทำให้คนที่ดื่มนมยี่ห้อนี้ท้องเสียเป็นร้อยคนในจำนวนคนดื่มนับสิบล้าน คือ ประมาณ ๑ ใน ๑๐๐,๐๐๐ คนแต่บริษัทรับมือไม่ดี บอกว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ท้องเสีย แต่ว่าคนเราต้องการความปลอดภัยไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ในเมื่อนมยี่ห้อนี้มีคนกินแล้วท้องเสีย เขาก็ไปซื้อยี่ห้ออื่นมากิน ผลคือบริษัทเจ๊ง กว่าจะรู้ตัวก็ฟื้นความเชื่อถือของผู้บริโภคไม่ได้แล้ว บริษัทที่มีอายุยาวนานมาเป็นร้อยปีเจ๊งเลย

อีกบริษัทหนึ่งเป็นบริษัทขายยาในอเมริกาที่ผลิตยา ขายดิบขายดี ตัวยาที่ทำกำไรมากที่สุดก็คือ ยาแก้ปวด มียอดขายมากที่สุดของประเทศ ยาตัวนี้ตัวเดียวทำผลกำไรให้บริษัทเกือบครึ่งหนึ่ง วันหนึ่งมีคนแอบเอาไซยาไนด์ฉีดเข้าไปในขวด ผลคือที่ชิคาโกมีคนซื้อยาไปใช้แล้วเสียชีวิตไปคนสองคน ไม่สบายหนักอีก ๔-๕ คน ในจำนวนคนที่ใช้ยานี้ทั้งประเทศเป็นสิบ ๆ ล้านคน ตอนนั้นกรรมการบริษัทประชุมด่วน กรรมการส่วนใหญ่เสนอให้เก็บสินค้ากลับจากชิคาโก แล้วประชาสัมพันธ์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร แต่ประธานบริษัทตัดสินใจเรียกยาคืนทั้งประเทศ เอามาทำลายจนหมด แค่มูลค่ายาที่ทำลายทิ้งก็เป็นร้อยล้านแล้ว พอเรียกกลับหมดสินค้าก็ไม่มีขาย และไม่สามารถผลิตของใหม่แทนได้ เพราะจะต้องแก้ปัญหาให้เรียบร้อยเสียก่อน ช่วงนั้นเขารีบดีไซน์ภาชนะบรรจุใหม่ชนิดที่ใครก็ไม่สามารถแอบฉีดอะไรเข้าไปได้อีก แต่ภาชนะบรรจุใหม่ก็ต้องใช้เวลาในการออกแบบ กว่าจะผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วไปวางตามร้านขายยาทั่วประเทศเสียเวลาไป ๓ เดือน ระหว่าง ๓ เดือน ถ้าใครไม่สบายก็ต้องไปซื้อยายี่ห้ออื่น ซึ่งมีความเสี่ยงว่าเขาอาจจะติดใจยี่ห้อนั้นแล้วไม่กลับมาซื้อของเรา การตัดสินใจของประธานบริษัทจึงต้องอาศัยความกล้าหาญมาก แค่มูลค่าของสินค้าที่ทำลายทิ้งก็เป็น ๑๐๐ ล้าน และยังมีค่าเสียโอกาสอีก แต่ปรากฏว่า ๓ เดือนผ่านไป พอสินค้าออกวางขาย ลูกค้ากลับมาใช้ยาของเขามากกว่าเก่าเสียอีก เพราะรู้สึกว่าบริษัทนี้เชื่อถือได้ รับผิดชอบทุกอย่างเกินกว่าที่เขาคิดจึงรู้สึกสบายใจว่ายาบริษัทนี้ปลอดภัย จะเห็นว่าเครดิตมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จะทำธุรกิจอะไรเราต้องทำอย่างรับผิดชอบจริง ๆ อย่าคิดแต่มุมของเรา จะต้องคิดจากมุมของผู้บริโภค แล้วรับผิดชอบให้ยิ่งกว่าที่เขาคาดหวังจึงจะสามารถรักษาเครดิตและเสริมเครดิตในสังคมธุรกิจปัจจุบันได้

คนที่มีหน้าตาดีกว่าจะได้รับโอกาสหรือมีเครดิตดีกว่าจริงหรือไม่ ?

อันนี้เป็นเรื่องจิตวิทยา คนที่หน้าตาดีใครเห็นก็สบายใจ น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องธรรมดาแต่มีผลในระดับหนึ่งเท่านั้น คนที่หน้าตาไม่หล่อเหลา ไม่สวยงาม ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเพราะในระยะยาวอยู่ที่ฝีมือและความรับผิดชอบ ถ้าเราฝีมือดี ทำงานด้วยความรับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ เครดิตตรงนี้จะเพิ่มขึ้น ๆ สุดท้ายรูปร่างหน้าตาไม่เป็นอุปสรรค เป็นแค่เปลือกนอก สำคัญที่เนื้อแท้ของเรามากกว่า ว่าเรามีกึ๋นขนาดไหน แน่จริงหรือเปล่าดีจริงหรอเปล่า ถ้าดีจริงสุดท้ายเราจะประสบความสำเร็จ

คนที่มีหน้ามีตาในสังคมจะรับมืออย่างไรถ้าสูญเสียสถานภาพทางสังคม ?

หัวใจสำคัญคือการรักษาใจ พอเรารักษาใจได้อย่างอื่นจะตามมา ให้เรารู้ไว้อย่างหนึ่งว่าไม่มีใครมาสนใจเรื่องของเรานักหรอก คนเราพอเจออะไรขึ้นมา ก็คิดว่าคนอื่นคงจะมาสนใจตัวเราเหมือนกับที่เราสนใจตัวเอง จริง ๆ แล้วคนอื่นเขาก็มีเรื่องปวดหัวเยอะแยะ เพราะฉะนั้นเราต้องให้กำลังใจตัวเอง แล้วทำใจนิ่ง ๆ และปฏิบัติธรรมด้วย พอใจนิ่ง ผิวพรรณหน้าตาก็ดูผ่องใส จะพูดจะจาก็ดูดี เครดิตก็จะเกิดขึ้นมา

ช่วงไอเอ็มเอฟ คุณอนันต์ อัศวโภคินเล่าว่า เขามาถามหลวงพ่อว่าจะทำอย่างไรดีหลวงพ่อบอกให้นั่งหลับตา เขาก็หลับตาตั้งใจทำสมาธิไป ทำให้ผิวพรรณวรรณะผ่องใส ใครเห็นก็รู้สึกอุ่นใจ ตอนนั้นนักธุรกิจแต่ละคนหน้าหมองคล้ำดำเครียด พอมาเจอคุณอนันต์ยิ้มแย้มแจ่มใส ใบหน้าผุดผ่อง ดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร ทำให้เครดิตดี สุดท้ายสามารถแก้ปัญหาได้

ในการเข้าสังคม บางครั้งจำเป็นต้องชมคนอื่นไปตามมารยาท ทำอย่างนี้ถูกต้องไหม มีวิธีใดบ้างที่จะสามารถพูดออกไปด้วยความจริงใจ ?

ให้ถือหลักอย่าเอาวิธีที่ง่ายเข้าว่า เช่นเห็นว่าไม่สวยก็พูดว่าสวย ไม่อร่อยก็พูดว่าอร่อย ไม่ดีก็พูดว่าดี ไม่ได้ก็รับปากว่าได้ อย่าไปใช้วิธีเหล่านี้ ให้อิงความจริงเสมอ แต่ต้องใช้สติปัญญามากขึ้น เช่น ถ้าโดยรวม ๆ เห็นว่าไม่เข้าท่า อย่าไปชมว่าเข้าท่า ให้ดูรายละเอียดบางจุดที่เข้าท่า ศัพท์พระพุทธศาสนาเรียกว่างามโดยอนุพยัญชนะ บางคนดูรวม ๆ ทั้งตัวไม่เข้าท่า แต่นัยน์ตาดูดี ฟันดูดี ผิวดูดี คิ้วดูดี เราก็ชมจุดที่ดูดี ไม่ใช่เขาหน้าตาขี้เหร่ไปชมว่าเขาสวย มันไม่ตรงกับความจริง เรื่องอื่นก็เหมือนกัน เช่น ทานอาหารแล้วไม่อร่อยแต่รสชาติแปลกดี เราก็ชมว่าแปลกดี คือ พูดเป็นเชิงบวก แต่ไม่ชมว่าอร่อยซึ่งไม่ตรงกับใจ ให้ฝึกพูดให้ตรงกับใจ โดยเลือกพูดในประเด็นที่เหมาะสม แบบนี้เรียกว่าฉลาดพูด แม้แต่เรื่องการรับปากรับคำก็ทำนองเดียวกัน คือ ต้องไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยพูดออกไปทั้งหมดยึดหลักว่าต้องอิงความจริงเสมอ

จากที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้หลักผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะนี้ ต่างจากคนทั่วไปซึ่งมีลักษณะเอาใจ ไม่อร่อยก็ว่าอร่อยไม่สวยก็ว่าสวย แต่ท่านค่อนข้างจริงใจ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น บางคนอาจจะคิดว่าก็ท่านเป็นผู้ใหญ่จึงไม่ต้องแคร์ใคร แต่จริง ๆ ท่านก็ต้องแคร์เหมือนกัน แต่ท่านยึดหลักความจริง แต่เป็นความจริงที่พูดแบบมีสติปัญญาซึ่งคนฟังสัมผัสได้ว่า ผู้พูดพูดด้วยความจริงใจหรือเปล่า พอสัมผัสได้ว่าเขาพูดด้วยความจริงใจ เครดิตกลับดีกว่าการพูดเอาใจด้วยซ้ำ ให้เรายึดหลักความจริงเสมอ แล้วเลือกแง่มุมในการพูดให้ดี จะช่วยสร้างเครดิตในระดับสูงเลย

ทำอย่างไรจึงจะรู้จักคำว่าความพอดีได้อย่างลึกซึ้ง ?

ความพอดีเริ่มต้นฝึกได้ง่าย ๆ โดยเริ่มจากปัจจัย ๔ รอบตัวเรา เช่น เราทานข้าววันละ ๒ มื้อบ้าง ๓ มื้อบ้าง ปีหนึ่งเป็นพันมื้อ เพราะฉะนั้นต้องกะคะเนอาหารให้พอดีท้อง ทานเสร็จแล้วอย่าให้จุก อย่าให้อืด ไม่ใช่พออร่อยก็ลุยจนท้องไส้ปั่นป่วน ควรกะว่าอีกสัก ๔-๕ คำจะอิ่มแล้วก็หยุด ดื่มน้ำตามไปแล้วอาหารที่ค้างในหลอดอาหารลงไปในกระเพาะก็อิ่มพอดี วิธีการดูความพอดีอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าน้ำหนักเราเริ่มเกินแสดงว่าไม่พอดีแล้ว จะใส่เสื้อผ้าก็ต้องให้พอดีตัว จะจัดแจงอะไรเกี่ยวกับการแต่งกายก็ให้พอดี ๆ ให้ถูกกาลเทศะ ถ้าประเมินสิ่งเหล่านี้ได้ ทีหลังเราจะประเมินเรื่องอื่นออก แล้วจะจัดการกับความพอดีได้ เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย หรือสุขภาพก็เหมือนกัน จะทำอะไรต้องพอดี ๆ จะนั่งก็ไม่นั่งนาน ไม่ใช่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ๓-๔ ชั่วโมงจนปวดหลัง ปวดตา เส้นคอยึด เส้นหัวเข่าติด เส้นเอวยึด นิ้วล็อก เพราะว่ามันไม่พอดี ต้องกะคะเนตัวเองได้ และออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง ไปทำนั่นทำนี่ให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว แล้วค่อยกลับมาทำต่อ รู้จักจัดสรรตัวเองให้พอดี ปัญหาเรื่องอื่นก็จะหมดไป

เวลาจะเข้าสังคมหรืออยู่ในแวดวงใด ๆ ก็ตาม มีหลักอะไรที่เป็นกลาง ๆ และสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ?

ขอฝากหลักการไว้สั้น ๆ ๒ ข้อ คือ ๑. ความรับผิดชอบ ๒. ความมีน้ำใจ ถ้ามี ๒ ข้อนี้ สังคมจะยอมรับเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความรับผิดชอบก็คือ

๑. รับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อหน้าที่การงาน โดยไม่ต้องให้คนอื่นมาห่วง ถ้าเป็นนักเรียนเราก็ดูแลตัวเองได้ พ่อแม่ไม่ต้องจำจี้จ้ำไช ถ้ารับผิดชอบตัวเองอย่างนี้ พ่อแม่ก็เชื่อครูบาอาจารย์ก็เชื่อ เพื่อนฝูงก็รู้สึกว่าคนนี้พึ่งพาได้

๒. รับผิดชอบต่อครอบครัว ต้องทำหน้าที่ของเราในฐานะลูก ในฐานะพ่อ แม่ พี่น้อง ไม่ใช่รับผิดชอบตัวเองอย่างเดียว ต้องรวมถึงคนรอบข้างด้วย

๓. รับผิดชอบต่อสังคม เราไม่ได้อยู่คนเดียวหรือครอบครัวเดียวโดด ๆ แต่อยู่ร่วมกันในสังคม กิจใดเป็นเรื่องของส่วนรวม เราก็ไปช่วย อย่างที่ปัจจุบันเขาเรียกว่าจิตอาสา

๔. รับผิดชอบต่อเรื่องเศรษฐกิจของตัวเอง คือ วางแผนเรื่องการเงินให้เรียบร้อย ไม่สุรุ่ยสุร่ายจนกระทั่งเป็นหนี้เป็นสิน คนเป็นหนี้เป็นสินเวลาไปหยิบยืมแล้วไม่คืน เครดิตดีไหม ? ไม่ดีเลย เรื่องเศรษฐกิจนี้สำคัญ เราอาจมีรายได้ไม่เยอะ แต่เราต้องวางแผนการใช้จ่ายให้ดี คนมีรายได้เดือนละหมื่น ถ้าวางแผนดีจะมีเงินเก็บ แต่คนมีรายได้เดือนละแสน บางคนเป็นหนี้เป็นสิน เพราะว่าจมไม่ลง เครดิตแย่ไปเลย ฉะนั้นต้องรับผิดชอบทั้ง ๔ ด้านนี้แล้วมีน้ำใจกับทุก ๆ คนด้วย ถ้าอย่างนี้สังคมจะยอมรับเรา

Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)ดร.
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เครดิตทางสังคม เครดิตทางสังคม Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 23:59 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.