บูชาพุทธะพาพ้นวัฏฏะ
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีพื้นฐานของชีวิตเหมือนกัน
เพราะต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกเกิดจนกระทั่งถึงวันที่หลับตาลาโลกทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน
เหมือนกับโลกที่มีความมืดเป็นพื้นฐาน การที่เราเห็นแสงสว่าง เพราะมีแสงอาทิตย์
แสงจันทร์ แสงดาว หรือแสงไฟที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น จึงทำให้โลกเราสว่างไสวได้
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ว่าเป็นทุกข์แล้ว
จะได้เกิดความเบื่อหน่ายและรีบขวนขวายหาทางพ้นทุกข์
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ปรารถนาความบริสุทธิ์หลุดพ้น
เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง
มีเนื้อความที่พระควัมปติเถระกล่าวไว้ในอปทาน ความว่า
“เรามีจิตเลื่อมใสในพระสิขีพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา
ทรงยินดีในประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์ จึงได้บูชาด้วยดอกอัญชันเขียว ในกัปที่ ๓๑
นับจากภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา”
การบูชาบุคคลผู้เลิศเฉกเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
มิใช่เป็นสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ
เพราะกว่าที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ท่านต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบารมีมายาวนาน อย่างน้อยก็ ๒๐
อสงไขยกับอีกแสนมหากัปจนกระทั่งบารมีธรรมทั้ง ๓๐ ทัศ ครบถ้วน เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นบุคคลใดบูชาพระพุทธองค์ด้วยจิตที่เลื่อมใส
บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาลยากจะนับจะประมาณได้ ย่อมบังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น
ชีวิตจะประสบแต่ความสุขและความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จนกระทั่งถึงภพชาติสุดท้ายก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เหมือนดังเรื่องพระควัมปติเถระ
ย้อนกลับไปในกัปที่ ๓๑ จากภัทรกัปนี้
พระควัมปติเถระได้เกิดเป็นนายพรานล่าเนื้อ
วันหนึ่งขณะที่กำลังเที่ยวล่าสัตว์อยู่ในป่านั้น
นายพรานได้เห็นพระรัศมีที่สว่างไสวเปล่งออกจากพระวรกายของพระสิขีพุทธเจ้า
จึงบังเกิดความเลื่อมใสคิดว่า “อันตัวเรานี้ เป็นเพียงนายพรานป่า
ประกอบอาชีพที่เนื่องด้วยการทำปาณาติบาต
จะหาอาหารที่มีรสเลิศมาถวายพระมหาสมณะในยามนี้ ก็คงไม่ทัน ทำอย่างไรดีหนอ
จึงจะได้ทำบุญใหญ่”
เขาจึงน้อมนำดอกอัญชันเขียวมาบูชาพระพุทธองค์ พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ขอบุญนี้
จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากวิบากกรรมปาณาติบาต ให้ได้เกิดในบวรพุทธศาสนา
เป็นสัมมาทิฐิบุคคล และอย่าได้เกิดเป็นลูกนายพรานอีกเลย” ตั้งแต่นั้นมา
นายพรานก็หมั่นนึกถึงบุญที่ได้ทำไว้ดีแล้วเมื่อละโลก เขาก็ไปบังเกิดในเทวโลก
และเวียนตายเวียนเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ ครั้นลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็ได้พบพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ทำให้มีโอกาสสั่งสมบุญจนตลอดชีวิต
ชีวิตในปรโลกจึงได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นต่างๆ โดยไม่พลัดไปเกิดในอบายเลย
ต่อมาในยุคของพระโกนาคมนพุทธเจ้าท่านมาเกิดในช่วงที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พอดีจึงถือโอกาสเอาบุญใหญ่ด้วย การสร้างฉัตรและไพทีไว้บนพระเจดีย์ของพระพุทธองค์
หลังจากท่านละโลกแล้ว ก็ไปเกิดในเทวโลกอีก เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
เป็นเวลา ๑ พุทธันดร
ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า ท่านได้มาบังเกิดในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย
ครอบครัวของท่านได้เลี้ยงโคไว้มากมาย เมื่อเจริญเติบโตขึ้น
ก็ได้ช่วยมารดาบิดาดูแลกิจการงานอย่างแข็งขัน เช้าวันหนึ่ง
ขณะที่ออกตรวจดูฝูงโคและคนเลี้ยงโค มาณพหนุ่มก็ได้เห็นพระอรหันต์รูปหนึ่งมาบิณฑบาตที่หมู่บ้าน จึงรีบเข้าไปในบ้าน
และนำอาหารที่มีรสเลิศมาถวาย
ครั้นพระเถระเดินออกจากหมู่บ้านมาณพหนุ่มก็เดินตามท่านไปด้วย
เขาเห็นพระเถระหาสถานที่สงบเงียบเพื่อฉันอาหารบิณฑบาต มาณพหนุ่มคิดว่า “พระคุณเจ้าอาจได้รับความลำบากในการขบฉันเพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา”
จึงสั่งลูกน้องให้ทำที่นั่งและมณฑปสำหรับกันแดด
พระเถระเห็นความตั้งใจของเขา จึงเข้ามาฉันอาหารในมณฑปเป็นประจำทุกวัน
ด้วยบุญกุศลที่มาณพหนุ่มได้กระทำในครั้งนั้น เมื่อเขาละจากโลกแล้ว
ก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีป่าไม้ใหญ่
บังเกิดขึ้นใกล้กับประตูวิมาน มีดอกสวยสดงดงาม ทั้งยังมีกลิ่นหอม
วิมานของเทพบุตรองค์นี้จึงมีชื่อว่า เสรีสกวิมาน
ครั้นมาถึงสมัยพุทธกาลนี้
ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นสหายของพระยสเถระ
เมื่อทราบข่าวว่าสหายยสะออกบวชแล้ว
จึงได้เดินทางไปสำนักพระบรมศาสดาพร้อมกับสหายอีก ๓ คน คือ วิมล สุพาหุ และปุณณชิ
หลังจากฟังธรรมจบก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด
จากนั้นพระควัมปติก็เดินทางไปพำนักอาศัยอยู่ที่พระวิหารอัญชนวันในเมืองสาเกต
วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จมาที่เมืองสาเกตและเสด็จเข้ามาพักที่วิหารนี้
แต่เนื่องจากมีหมู่ภิกษุสงฆ์ตามเสด็จมาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ที่พักไม่เพียงพอ
พวกภิกษุและสามเณรที่ไม่มีที่พัก
จึงพากันไปนอนพักที่เนินทรายริมแม่น้ำสรภูใกล้ๆ กับพระวิหาร
ในเวลาเที่ยงคืน ขณะที่พระภิกษุและสามเณรกำลังนอนพักอยู่นั่นเอง
ห้วงน้ำใหญ่ ได้ไหลหลากมาอย่างแรง เพราะมีฝนตกหนักอยู่ทางตอนเหนือของพระวิหาร
ครั้นพวกสามเณร ได้ยินเสียงน้ำหลากมา ก็พากันส่งเสียงร้องดังลั่น
พระบรมศาสดาทรงทราบว่า อุทกภัยครั้งนี้จะคร่าชีวิตของภิกษุสามเณรที่จำวัด
อยู่ริมแม่น้ำ จึงรับสั่งให้พระควัมปติไปแก้ไขวิกฤตภัยธรรมชาติครั้งนี้
เมื่อพระเถระรับพุทธบัญชาแล้ว ก็เหาะไปยืนอยู่บนเนินทรายใช้ฤทธิ์สะกดกระแสน้ำที่กำลังหลากมาอย่างเร็วแรงให้หยุดลงทันที
เหมือนทำนบขนาดใหญ่ที่กั้นน้ำไม่ให้ล้นขึ้นมาบนฝั่งได้
ตั้งแต่นั้นมา
ข่าวที่พระเถระสามารถห้ามห้วงน้ำใหญ่ไม่ให้ท่วมหาดทราย และช่วยชีวิตเพื่อนสหธรรมิก
ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง ทำให้ชื่อเสียงของพระเถระเป็นที่รู้จักของพุทธบริษัท
พระบรมศาสดามีพระประสงค์ที่จะสรรเสริญคุณของพระเถระ จึงตรัสว่า “เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันนอบน้อมพระควัมปติผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์
ไม่ติดอยู่ในกิเลส ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ เป็นผู้พ้นจากเครื่องข้องทั้งปวง
เป็นมหามุนีผู้ถึงฝั่งแห่งภพ” ครั้นมหาชนที่นั่งอยู่ในโรงธรรมสภา
ได้ฟังคุณวิเศษของพระเถระจากพระโอษฐ์เช่นนั้น
ก็เกิดความเลื่อมใสในคุณธรรมของพระเถระยิ่งขึ้นไปอีก
เราจะเห็นได้ว่า เส้นทางการสร้างบารมีของพระเถระรูปนี้
มีความราบเรียบมาโดยตลอด คำว่า “ราบเรียบ” หมายถึง
ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิอย่างเดียว
เพราะทำบุญถูก เนื้อนาบุญ และอธิษฐานจิตกำกับไว้อย่างดี
การได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ควรบูชาอย่างสูงสุด
แม้ว่าสิ่งของที่นำมาบูชานั้นจะเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่มีค่าอะไรมาก
แต่เพราะได้ทำด้วยความตั้งใจ ผลที่เกิดขึ้นจึงมากมายเกินควรเกินคาด
ยากที่จะนับจะคำนวณว่าได้ผลบุญเท่านั้นเท่านี้
ดังนั้นจึงควรตระหนักถึงจุดนี้กันให้ดี เราได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว
เวลาสร้างบุญกุศลไม่ว่าจะถวายทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโบสถ์ วิหาร
หรือศาลาการเปรียญ ต้องทำด้วยจิตที่ศรัทธาเลื่อมใส ทำด้วยใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์
แล้วบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้นติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๗ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
บูชาพุทธะพาพ้นวัฏฏะ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
18:03
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: