ตอนที่ ๑๒ วิชาครูของพระสารีบุตร : การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
สร้างปัญญาเป็นทีม
ตามแบบฉบับของพระสารีบุตร
พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
ตอนที่ ๑๒ วิชาครูของพระสารีบุตร :
การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
-------------------------------------
๒.๘ ไม่เบื่อการตอบคำถาม
ในคราวที่เพื่อนสหธรรมิกเกิดติดขัดในปัญหาธรรมะเรื่องใด
ก็จะหาโอกาสมาสอบถามปัญหาเรื่องนั้น ซึ่งท่านก็ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการตอบคำถามเลย
เช่น การตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติธรรมของพระอนุรุทธะ¹ เป็นต้น
สมัยหนึ่ง พระอนุรุทธะบำเพ็ญภาวนาจนได้ทิพยจักษุแล้ว
แต่ยังมิได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แม้พากเพียรเท่าไรก็ยังไม่สามารถสิ้นอาสวกิเลสเสียที
ท่านจึงนำเรื่องนี้ไปสอบถามพระสารีบุตร
หลังจากพระสารีบุตรรับทราบปัญหานั้นแล้ว
ก็ตอบว่า สาเหตุที่พระอนุรุทธะยังมิได้บรรลุอรหัตผล ทั้ง ๆ
ที่สามารถใช้ทิพยจักษุตรวจดู ๑,๐๐๐ โลกธาตุได้แล้ว
ก็เพราะติดขัดอยู่ที่สาเหตุ ๓ ประการ ได้แก่
๑) มานะ คือ
ความยึดมั่นถือตัวว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุเหนือกว่าจักษุมนุษย์สามัญทั่วไป
๒) อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านในขณะทำสมาธิว่าเราก็ทำความเพียรไม่ท้อถอย
สติก็ตั้งมั่น กายก็สงบระงับ จิตก็มั่นคงแน่วแน่แล้ว
๓) กุกกุจจะ คือ
ความรำคาญใจว่าเหตุไฉนยังไม่หมดสิ้นอาสวกิเลสเสียที ทั้ง ๆ
ที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างถูกต้องตามหลักวิชชาทุกประการ
หากเมื่อใดที่พระอนุรุทธะไม่สนใจในธรรมทั้ง ๓ ประการนี้
แล้วน้อมจิตไปเพื่อนิพพานก็จะละทิ้งมานะ อุทธัจจะ กุกกุจจะ
และบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เมื่อนั้นเอง
หลังจากพระอนุรุทธะได้รับฟังคำแนะนำนั้นแล้ว ท่านก็หลีกเร้นไปอยู่ผู้เดียว
บำเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท
และสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้สำเร็จตามคำแนะนำของพระสารีบุตรนั่นเอง
๒.๙ วางตนน่าเคารพยกย่อง
สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะใหญ่
แม้จะเป็นหมู่คณะที่ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเพื่อปราบกิเลสก็ตาม สิ่งนั้นก็คือ
ปัญหาการกระทบกระทั่ง
พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา ถึงแม้เป็นพระอรหันต์แล้ว
ท่านก็พยายามระมัดระวังตนไม่ยอมให้กระทบกระทั่งกับใคร แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังหลีกเลี่ยงปัญหาถูกผู้อื่นกระทบกระทั่งไม่ได้เช่นกัน
เช่นถูกพระฉันนะริษยา แต่ท่านก็ไม่ถือโทษ²ถูกพราหมณ์ทุบตีก็ให้อภัย³ ถูกพระแก่ลองภูมิก็ไม่ตอบ⁴ ถูกพวกลูกศิษย์ของพระฉัพพัคคีย์ล่วงเกินก็ไม่รุกรานกลับ⁵ ถูกภิกษุใส่ร้ายก็ไม่โกรธ⁶ เป็นต้น
สำหรับในที่นี้ จะขอยกเรื่อง
ถูกภิกษุใส่ร้ายก็ไม่โกรธ มาอธิบายเป็นตัวอย่างดังนี้
เรื่องมีอยู่ว่า
พระภิกษุรูปหนึ่งชื่นชมในปฏิปทาของพระสารีบุตรเป็นอันมาก
เมื่อทราบข่าวว่าออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรจะจาริกไปสู่ที่อื่น
ท่านจึงติดตามไปส่งพร้อมกับภิกษุรูปอื่น ๆ
แต่เนื่องจากในวันนั้นมีผู้ตามไปส่งเป็นจำนวนมาก
ทำให้พระเถระกล่าวทักทายได้ไม่ทั่วถึง ท่านจึงเกิดความน้อยอกน้อยใจโกรธเคืองที่พระเถระไม่เห็นความสำคัญของตน
ขณะที่พระสารีบุตรกำลังสนทนากับภิกษุอื่น ๆ อยู่นั้น
มุมสังฆาฏิของท่านก็ไปกระทบถูกร่างกายของภิกษุรูปนี้เข้า ท่านผูกโกรธอยู่แล้ว
จึงนำเรื่องนี้ไปฟ้องพระบรมศาสดาว่า “พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตรทำร้ายข้าพระองค์เหมือนตีเข้าที่กกหู
ท่านไม่ยอมขอโทษและจะหลีกไปสู่ที่จาริก
ท่านคงคิดว่าตัวเองเป็นพระอัครสาวกของพระองค์ พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาทรงทราบความจริงอยู่ก่อนแล้ว
แต่ทรงประสงค์จะให้พระสารีบุตรบันลือสีหนาทถึงความบริสุทธิ์ของตน จึงตรัสเรียกให้ท่านเข้าเฝ้า
ขณะนั้น พระโมคคัลลานะและพระอานนท์ทราบพระประสงค์นี้เช่นกัน
จึงเชิญชวนพุทธบริษัทมาประชุมพร้อมกัน เมื่อหมู่สงฆ์มาพร้อมกันแล้ว
พระบรมศาสดาได้ตรัสถามว่า “สารีบุตรเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
กล่าวหาเธอว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้วไม่ขอโทษ
หลีกจาริกไปแล้ว”
พระสารีบุตรไม่กล่าวรับไม่กล่าวปฏิเสธแต่กราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า
หากภิกษุไม่มีสติเป็นไปในกาย
ภิกษุนั้นอาจกระทบกระทั่งเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งแล้วไม่ขอโทษ
รีบหลีกไปสู่ที่จาริกเป็นแน่”
ต่อจากนั้นท่านได้กล่าวบันลือสีหนาทในความบริสุทธิ์แห่งจิตของท่าน
ที่มิได้มีเจตนาล่วงเกินผู้ใดด้วยคำอุปมา ๙ อย่าง ว่าจิตของท่านเสมอด้วยแผ่นดิน
น้ำ ไฟ ลม ผ้าเช็ดธุลีเด็กจากตระกูลจัณฑาล โคเขาขาด ซากงู คนถือภาชนะใส่มันข้น⁷ (ความหมายโดยรวมคือ ท่านเป็นผู้มีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว
ไม่มีเวรไม่มีความคิดเบียนเบียนผู้ใด)
ภิกษุรูปนั้นได้ฟังคำอุปมา ๙ อย่างแล้ว ก็เกิดความสำนึกผิด
รีบลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่า ก้มกราบพระบรมศาสดา
สารภาพผิดและกล่าวขอขมาในความเป็นคนพาลใส่ร้ายพระสารีบุตร
พระบรมศาสดาทรงเห็นว่าภิกษุรูปนั้นสำนึกผิดแล้ว ก็ทรงกล่าวรับโทษของเขา
และทรงขอให้พระสารีบุตรกล่าวงดโทษแก่ภิกษุรูปนั้นก่อนที่ศีรษะเขาจะแตกเป็น ๗
เสี่ยงพระสารีบุตรกล่าวว่า “พระเจ้าข้า
ข้าพระองค์ยอมอดโทษต่อผู้มีอายุนั้น และขอผู้มีอายุนั้นจงอดโทษต่อข้าพระองค์
ถ้าว่าโทษของข้าพระองค์มีอยู่”
พระภิกษุที่ประชุมอยู่ในที่นั้น เห็นความเป็นผู้มีคุณธรรมของท่านแล้ว
พากันพูดยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง แม้ท่านไม่มีโทษ
ก็มิเพียงไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ายผู้ใส่ร้าย ยังขอให้เขางดโทษให้อีกด้วย
จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า
แม้พระสารีบุตรจะถูกใส่ร้าย แต่ท่านก็มีวิธีวางตัวที่น่าเคารพยกย่อง
จึงสามารถคลี่คลายปัญหาเหล่านั้นออกไปได้
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากของการวางตนเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนั้น การวางตนของท่านยังทำ ให้พระบรมศาสดาทรงเบาแรงในการปกครองสงฆ์อีกด้วย
ทำให้ทรงสามารถประคับประคองหมู่สงฆ์ให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกต่อไป
๒.๑๐
พร้อมแบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาอยู่เสมอ
พระบรมศาสดาทรงมีภารกิจในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่มากมาย
ลำพังเฉพาะงานที่พระองค์ทรงดำเนินตามพุทธกิจ ๕ ประจำวัน (ตั้งแต่เวลารุ่งสางของวันนี้ไปจรดเวลาเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง)
ก็ทรงแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนพระวรกายอยู่แล้ว
ยังไม่นับพุทธกิจนอกพระกิจวัตรประจำวันที่มีเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ทำได้อีกมากมาย
เช่น การเฝ้าระวังรักษาดวงจิตของสาวกให้ปลอดภัยจากกองกิเลส⁸ เป็นต้น
ในอรรถกถากุณาลชาดก⁹ กล่าวว่า
พระบวชใหม่ ๕๐๐ รูป ออกบวชจากตระกูลกษัตริย์ทั้งสองพระนครคือศากยะและโกลิยะ
พักอยู่ในป่ามหาวัน แต่เพราะบวชด้วยความเคารพในสมเด็จพระบรมครู
หาได้บวชด้วยความศรัทธาความเต็มใจของตนไม่ จึงได้เกิดความกระสันอยากจะสึก
ใช่แต่เท่านั้น พวกอดีตภรรยาของภิกษุเหล่านั้น
ยังกล่าวถ้อยคำและส่งข่าวสารไปยั่วยวนชวนให้เกิดความเบื่อหน่ายอีกด้วยภิกษุราชกุมารเหล่านั้นจึงเบื่อหน่ายหนักขึ้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาดูก็ทรงทราบว่า
ภิกษุเหล่านั้นเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญว่า ภิกษุเหล่านี้อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้าเช่นเรายังมีความเบื่อหน่ายอีกธรรมกถาเช่นไรหนอจึงเป็นที่สบายของภิกษุเหล่านี้ได้
ก็ทรงเห็นว่ากุณาลธรรมเทศนาเป็นที่สบาย
ลำดับนั้น
หลังจากกลับจากบิณฑบาตพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชวนภิกษุ ๕๐๐ รูป
เหาะไปชมป่าหิมพานต์ด้วยกำลังฤทธิ์ของพระองค์ให้ชมทิวทัศน์และสิ่งแปลก ๆ
จนภิกษุเหล่านั้นเพลิดเพลินแล้ว จึงตรัสแสดงโทษของมาตุคาม (หญิง)
ตามถ้อยคำของพญานกดุเหว่ากุณาละให้ภิกษุเหล่านั้นฟัง จนเกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อจบธรรมเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุอรหัตผลกลางอากาศนั่นเอง
จากพุทธกิจมากมายในแต่ละวันเหล่านี้พระสารีบุตรเห็นพระบรมศาสดาทรงตรากตรำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้
ท่านจึงพยายามมองหาโอกาสที่จะช่วยแบ่งเบาภาระงานของพระบรมศาสดาทุกหนทาง
ด้วยเหตุนี้
งานที่พระเถระช่วยแบ่งเบาจากพระบรมศาสดาจึงมีอยู่ ๒ ประเภท ได้แก่
๑) งานที่พระบรมศาสดาทรงมอบหมายแก่พระเถระโดยตรง
ตัวอย่างเช่น
การให้โอวาทแก่พระภิกษุที่จะเดินทางไปต่างแคว้นหลังออกพรรษา¹º การพาตัวภิกษุใหม่
๕๐๐ รูป ที่ไปเข้าพวกกับพระเทวทัตให้กลับคืนสู่อาราม¹¹ เป็นต้น
๒)
งานที่พระเถระเห็นว่าสมควรทำเพื่อความผาสุกของหมู่สงฆ์
ตัวอย่างเช่น
การบิณฑบาตเลี้ยงดูภิกษุที่ป่วยไข้
การเก็บกวาดเสนาสนะให้สะอาดเพื่อป้องกันมิให้ศาสนาอื่นดูหมิ่นได้
การกราบทูลขออนุญาตทำสังคายนา เป็นต้น
โดยคุณธรรมเรื่องการแบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดานี้
จะเห็นได้อีกมากมายจากการหมุนธรรมจักรด้วยการสร้างทิศ ๖
และการหมุนธรรมจักรด้วยการป้องกันภัยอันตรายให้แก่พระพุทธศาสนา
ซึ่งจะกล่าวต่อไปในบทข้างหน้า
จากตัวอย่างคุณธรรมประจำตัวทั้ง ๑๐ ข้อของพระสารีบุตรที่ยกมาเล่าพอสังเขปนี้
จะเห็นได้ว่า ลำพังคุณธรรมเรื่องความกตัญญูกตเวทีของท่านเพียงประการเดียว
ก็ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วมหาศาลแล้ว
ซึ่งการที่ใครจะเห็นคุณธรรมเหล่านี้ของท่านได้ ก็เฉพาะใน ๔
ช่วงเวลาต่อไปนี้เท่านั้น ได้แก่
๑) เวลาที่ท่านปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
๒)
เวลาที่พระบรมศาสดาทรงมอบหมายภารกิจสำคัญ
๓)
เวลาที่ท่านฝึกฝนอบรมหมู่สงฆ์ในสำนักของท่าน
๔)
เวลาที่ท่านจาริกไปประกาศพระศาสนาตามชนบท
เพราะทั้ง ๔
ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ท่านบำเพ็ญประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกการได้พบเห็นธรรมเสนาบดีจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์และเทวดาต่างเฝ้ารอคอยจะได้ฟังธรรมจากท่าน
และได้ทำบุญกับท่าน เพราะท่านเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาผู้เป็นบัณฑิตทุกคน
สมดังที่พระบรมศาสดาตรัสชมพระสารีบุตรไว้ว่า
“อานนท์ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล
ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาสจะไม่ชอบสารีบุตร
เพราะสารีบุตรเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาชวนร่าเริง มีปัญญาเร็ว
มีปัญญาแหลมคม มักน้อยสันโดษ สงัดกายสงัดใจ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ปรารภความเพียร
เข้าใจพูด อดทนต่อถ้อยคำ โจทก์ท้วงคนผิด ตำหนิคนชั่ว”¹²
ธรรมบรรยายที่จบลงในตอนนี้ คือตัวอย่างการหมุนธรรมจักรด้วยวิธีที่ ๒
ซึ่งเป็นวิธีหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัวของพระอสีติสาวกองค์หนึ่งคือ
พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา
ซึ่งท่านได้ทำการหมุนธรรมจักรด้วยกิจวัตรประจำวันของท่านนั่นเอง แต่ยังผลให้ท่านกลายเป็นต้นแบบเป็นแรงบันดาล
เป็นกำลังใจให้แก่พุทธบุตรรุ่นหลังในการหมุนธรรมจักรสืบต่อ ๆ กันมา
¹ องฺ.ติก.อนุรุทธสูตรที่ ๒ (ไทย)
๒๐/๑๓๑/๓๘๐
² ขุ.ธ.อ.เรื่องพระฉันนเถระ (ไทย)
๔๑/๒๙๖-๒๙๘
³ ขุ.ธ.อ.เรื่องพระสารีบุตรเถระ (ไทย)
๔๓/๔๓๗-๔๔๑
⁴ ขุ.ชา.อ.สูกรชาดก (ไทย) ๕๗/๑๗-๑๙
⁵ วิ.จุ.เรื่องความเคารพ (ไทย)
๗/๓๑๐/๑๒๑-๑๒๒
⁶ องฺ.นวก.สีหนาทสูตร (ไทย)
๒๓/๑๑/๔๕๑-๔๕๕, ขุ.ธ.อ.เรื่องพระสารีบุตรเถระ (ไทย) ๔๑/๓๘๔-๓๘๘
⁷ องฺ.นวก.สีหนาทสูตร (ไทย)
๒๓/๑๑/๔๕๑-๔๕๕, ขุ.ธ.อ.เรื่องพระสารีบุตรเถระ (ไทย) ๔๑/๓๘๔-๓๘๘
⁸ ขุ.ชา.อ.สิคาลชาดก (ไทย) ๕๖/๕๙๑-๕๙๗
⁹ ขุ.ชา.อ.กุณาลชาดก (ไทย) ๖๒/๕๔๑-๖๑๖
¹⁰ สํ.ขนฺธ.เทวทหสูตร (ไทย) ๑๗/๒/๖-๑๑
¹¹ วิ.จุ.พระอัครสาวกพาภิกษุ ๕๐๐ รูปกลับ
(ไทย) ๗/๓๔๕/๒๐๕-๒๐๗
¹² สํ.ส.สุสิมสูตร
(ไทย) ๑๕/๑๑๐/๑๒๒
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๑ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ตอนที่ ๑๒ วิชาครูของพระสารีบุตร : การหมุนธรรมจักรด้วยคุณธรรมประจำตัว (ต่อ)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
06:09
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: