ผู้ใด...ได้ชื่อว่าคู่ควรกับมรดกธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้


 

ผู้ใด...ได้ชื่อว่าคู่ควรกับมรดกธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้
✦✦✦✦✦✦✦✦✦

บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นับแต่อดีตอันไกลโพ้น

ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ สูโรว โอภาสยมนฺตลิกฺขํ
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
พราหมณ์นั้นกําจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจดังดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นกําจัดความมืด ทําอากาศให้สว่างฉะนั้น

ด้วยมโนปณิธานของพระบรมโพธิสัตว์กอปรกับการบําเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ในที่สุดพระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุมโนปณิธานที่ได้ตั้งใจไว้ตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัป นับแต่ภายหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก้าวข้ามบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นมนุษย์และของทิพย์ บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมความปรารถนาที่ได้ตั้งไว้ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขปุณณมี

แม้จะกล่าวว่าการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นการบรรลุมโนปณิธานของพระบรมโพธิสัตว์ก็ตาม แต่หากจะกล่าวให้ชัดเจนแล้ว อาจกล่าวได้ว่าบรรลุมโนปณิธานเพียง กึ่งหนึ่ง” ด้วยเหตุที่ว่าบารมีที่ทรงบําเพ็ญมาตลอดกาลยาวนานนี้ หาได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์เองเท่านั้น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน

ในการนี้พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาตลอด ๗ สัปดาห์ เพื่อทบทวนสิ่งที่ทรงค้นพบ ด้วยการ เสวยวิมุตติสุขเฉกเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ในกาลก่อน แต่ผู้ใดหนอจะเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมอันลุ่มลึกคัมภีรภาพของพระองค์ได้เล่า ในกาลนั้นพระพุทธองค์ทรงระลึกถึง อาฬารดาบส กาลามโคตรแต่ในขณะเดียวกัน พระพุทธองค์ได้ทรงทราบถึงการทํากาละไปเมื่อ ๗ วันก่อนของอาฬารดาบสด้วยญาณทัสนะ ครั้นทรงระลึกถึง อุทกดาบสรามบุตรจึงทรงทราบถึงการทํากาละไปแล้วเมื่อวันก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้พระพุทธองค์จึงทรงระลึกนึกถึง ปัญจวัคคีย์มีท่านโกณฑัญญะ เป็นต้น และเสด็จจากริมฝั่ง แม่น้ำเนรัญชรา” ไปยัง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน



อนุตฺตรํ ธมฺมจฺกกํ ปวตฺติตํ...พระพุทธองค์ทรงหมุนวงล้อแห่งธรรม

ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในวันเพ็ญเดือน ๘ อาสาฬหปุณณมี การพบกันของพระพุทธองค์และ ปัญจวัคคีย์ทั้ง  ๕ นี้มิใช่ครั้งแรก หากเป็นการพบกันหลังจากเกิดความขัดแยังในเรื่อง วิธีการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์กล่าวคือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เห็นว่า อัตตกิลมถานุโยค” หรือ การบําเพ็ญทุกรกิริยา” นี้ เป็นหนทางเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่พระพุทธองค์หาได้ทรงเห็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นบรรยากาศการพบกันในวันนั้นจึงไม่สู้ดีนัก แต่ด้วยบารมีธรรมและพระมหากรุณาธิคุณที่พระพุทธองค์ทรงมี ทําให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มีใจยินดีในการฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในครั้งนั้น

จนในท้ายที่สุด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีและมลทินทั้งหลาย ได้บังเกิดแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา... สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ รวมถึงการบรรลุธรรมของ พรหม ๑๘ โกฏิในครั้งนั้น ดังที่ปรากฏใน สารัตถปกาสินีอรรถกถาสังยุตตนิกาย และ ชาดกมาลา

เมื่อมาถึงตรงนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการบรรลุมโนปณิธาน อีกกึ่งหนึ่งของพระพุทธองค์ที่ทรงตั้งไว้ตลอดกาลยาวนาน คือ การนําธรรมะที่ทรงไป เห็นและรู้เฉกเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มาแนะนําสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลายให้เห็นและรู้ตาม

เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย
อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ อปฺปฏิวตฺติยํ
สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมึ
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงหมุนแล้ว
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี
อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับไม่ได้

สาระสําคัญแห่ง ธัมมจักกัปปวัตนสูตรในวันอาสาฬหบูชาเมื่อ ๒,๖๐๖ ปีก่อน

เมื่อกล่าวถึงสาระสําคัญของพระปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกบาลี มีโครงสร้างและสาระสำคัญดังนี้

๑. การเว้นห่างจาก หนทางสุดโต่ง ๒ ทางคือ กามสุขัลลิกานุโยค” (การประกอบตนให้อยู่ในความสุขด้วยกาม) และ อัตตกิลมถานุโยค” (การบําเพ็ญทุกรกิริยา) โดยหันมาปฏิบัติตามหนทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

๒. กล่าวถึง อริยสัจ ๔ใน ๒ ลักษณะ ได้แก่

๒.๑ คําจํากัดความของอริยสัจ ๔ กล่าวคือ ทุกขอริยสัจ” (ทุกข์) คือ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕” (อุปาทานขันธ์ ๕) ทุกขสมุทัยอริยสัจ” (สมุทัย) คือ ตัณหา ๓” (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ทุกขนิโรธอริยสัจ” (นิโรธ) คือ ความดับแห่งทุกข์และ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” (มรรค) คือ อริยมรรคมีองค์ ๘มี สัมมาทิฐิเป็นต้น และ สัมมาสมาธิเป็นที่สุด

๒.๒ รอบ ๓ อาการ ๑๒ในอริยสัจ ๔ กล่าวคือ
๑. ทุกข์      นี้คือ...ทุกข์      ทุกข์...ควรกําหนดรู้           ทุกข์...ได้กําหนดรู้แล้ว
๒. สมุทัย   นี้คือ...สมุทัย     สมุทัย...ควรละ                 สมุทัย...ได้ละแล้ว
๓. นิโรธ     นี้คือ...นิโรธ      นิโรธ...ควรทําให้แจ้ง         นิโรธ...ได้ทําให้แจ้งแล้ว
๔. มรรค    นี้คือ...มรรค       มรรค...ควรทําให้เจริญ       มรรค...ได้ทําให้เจริญแล้ว

ยโต จ โข เม ภิกฺขเว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ
เอวนฺติปริวฏฺฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสฺสน สุวิสุทฺธํ อโหสิ
อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย
อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญาสึ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดความรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา
ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ รอบ ๓ อาการ ๑๒ อย่างนี้หมดจดดีแล้ว
เมื่อนั้นเราจึงยืนยันได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก
กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

ธัมมจักกัปปวัตนสูตรมรดกธรรมที่สืบทอดมาถึงในปัจจุบัน

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” นับเป็นพระสูตรที่สาคัญต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน  เพราะแม้จะเกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันในการสังคายนาพระธรรมวินัย จนเกิดการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ถึง ๑๘-๒๐ นิกายก็ตาม แต่ ธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ยังคงสืบทอดต่อกันมาในคัมภีร์ของนิกายต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยนักวิชาการสามารถรวบรวมได้กว่า ๒๓ คัมภีร์

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาบาลี (สังยุตตนิกาย)
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาสันสกฤต (คัมภีร์มหาวัสดุ)

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาจีนโบราณ (สังยุกตอาคม 雜阿含經)

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาทิเบต (Chos-kyi-hkhor-lo rab-tu bskor-bahi mdo)


ผู้ที่คู่ควรกับมรดรธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้

"ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" นี้นับว่าเป็นพระสูตรสำคัญที่รู้จักกันเป็นอย่างดี  ในฐานะของพระปฐมเทศนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมในเรื่อง "อริยสัจ ๔" และ "อริยมรรคมีองค์ ๘" ที่ปรากฎอยู่พระสูตรนี้ เป็นหลักคำสอนที่มีความสาคัญและสมบูรณ์อยู่ในตัว สำหรับหลักธรรมอื่น  ๆ นั้นถือเป็นบทขยายของ อริยสัจ ๔” และ อริยมรรคมีองค์ ๘” ทั้งสิ้นประดุจพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายที่เป็นบทขยายของกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" นี้ เป็นมรดรธรรมอันล้ำค่าที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัป นับเนื่องแต่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และภายหลังจากตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองแล้ว มิได้ทรงเก็บงําอําพรางหรือปกปิดไว้แม้แต่น้อย หากแต่ทรงนํามาแสดงให้แจ่มแจ้ง งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ผู้ใดมี "ความเพียร" ประกอบด้วย "ความไม่ประมาท" ผู้นั้นย่อมคู่ควรต่อมรดรธรรมอันล้ำค่าที่พระพุทธองค์ประทานไว้

ในวันอาสาฬหบูชานี้ จึงควรที่พุทธศาสนิกชนจะหวนระลึกถึงปฏิปทาของพระพุทธองค์ พึงให้ความสำคัญในการศึกษาทั้งภาคปริยัติและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาอย่างแท้จริง หาใช่เพื่อนำมายกตนข่มทผู้อื่นแต่อย่างใด มิฉะนั้นแล้วปริยัตินี้คงไม่ต่างอะไรกับงูพิษ ซึ่งในที่สุดจะหวนกลับมากัดผู้นั้น และไม่อาจบรรลุมรรผลนิพพานดังมโนปณิธานที่พระพุทธองค์ทรงตั้งไว้อย่างน่าเสียดาย

อปฺปฏิวาณํ ปทหิสฺสาม กามํ
ตโจ นหารุ จ อฏฺฐิ จ อวสิสฺสตุ สรีเร  อุปสุสฺสตุ มํสโลหิตํ ยนฺตํ
ปุริสตฺถาเมน ปุริสวิริเยน ปุริสปรกฺกเมน ปตฺตพฺพํ น ตํ อปาปุณิตฺวา
วิริยสฺส สณฺฐานํ ภวิสฺสติ
เราจักเริ่มตั้งความเพียรอันไม่ย่อหย่อนว่า
จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปเถิด
หากยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุได้ ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ
ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเสีย


Cr. พระมหาพงศ์ศักดิ์ ฐานิโยดร.
วารสารอยู่ในบุญฉบับที่ ๑๘๗ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑
ผู้ใด...ได้ชื่อว่าคู่ควรกับมรดกธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้ ผู้ใด...ได้ชื่อว่าคู่ควรกับมรดกธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:21 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.