ประดุจเทียนที่จุดส่งต่อกันมา
“ศุภวรรณ สิงหกุล” หรือ “ซุป” อดีตนักบุกเบิกรุ่นจิ๋วแห่งวัดพระธรรมกายบอสตันเปรียบตัวเองเสมือนเทียนน้อย ๆ เล่มหนึ่ง...
ศุภวรรณเรียนจบจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากจบแล้ว เธอทำงานหาประสบการณ์อยู่ ๑-๒ ปี จากนั้นจึงเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อที่ Cambridge College รัฐแมสซาชูเซตส์ จนจบปริญญาโทด้านการศึกษา และทำงานที่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่อเมริกา ๑-๒ ปี จึงตัดสินใจกลับประเทศไทย ปัจจุบันเธอทำงานด้านการศึกษาและเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่สถาบันเมทิส
“ซุปเข้าวัดตั้งแต่ ม.๓ แต่เริ่มไปวัดบ่อยขึ้นตอนเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นมีพี่ ๆ มาชวนไปตักบาตร ชวนให้เข้าชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี ทำให้ซุปได้ทำกิจกรรมดี ๆ เยอะเลยค่ะ และยังมีส่วนช่วยสร้างน้อง ๆ รุ่นใหม่ที่รักพระพุทธศาสนาขึ้นมาด้วย
“ซุปชอบที่หลวงพ่อสอนให้เห็นความสำคัญของการทำทาน รักษาศีล และทำสมาธิ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ ท่านสามารถสอนให้เราเอาทั้ง ๓ อย่างนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ และยังสอนเราให้เป็นกัลยาณมิตรแนะนำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นด้วยค่ะ”
ตลอดเวลา ๔ ปีที่เรียนปริญญาตรีซึ่งมีโอกาสไปวัดบ่อย ๆ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าและมีความหมายมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของศุภวรรณ เพราะเธอได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์มากมาย และยังได้รับการปลูกฝังแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งเธอนำไปปฏิบัติตามตลอดมาไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน
“ตอนไปอยู่ที่บอสตัน ตอนแรกยังไม่มีศูนย์สาขาของวัดพระธรรมกาย แต่มีกลุ่มกัลยาณมิตรมารวมตัวกันปฏิบัติธรรมในวันอาทิตย์ บางเดือนพวกเราก็นัดกันไปบูชาข้าวพระที่รัฐนิวเจอร์ซี ไปกลับราว ๑๐ ชั่วโมง
“ต่อมา มีพระอาจารย์มาบุกเบิกสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมบอสตัน ซุปก็ไปถวายภัตตาหารและช่วยงานเต็มที่ จนพี่ ๆ ที่วัดเรียกซุปว่า ‘นักบุกเบิกรุ่นจิ๋ว’ เพราะอายุน้อยที่สุดในตอนนั้น และตอนสร้างวัดซุปก็ช่วยหลายอย่างเลยค่ะ เช่น ทาสี เก็บกวาดทำความสะอาด ฯลฯ และซุปยังเป็นเจ้าภาพภัตตาหารประจำวันอังคารมาตลอดด้วย”
ศุภวรรณใช้ชีวิตที่อเมริกาในวัฒนธรรมที่ต่างออกไป สิ่งแวดล้อมก็เย้ายวน แต่เธอไม่ตามน้ำไปข้องเกี่ยวกับอบายมุขใด ๆ ซึ่งจะเป็นการก่อกรรมทำเข็ญให้แก่ตัวเองเลย
“ชีวิตนักศึกษาวันหนึ่งเรียนไม่กี่ชั่วโมง บางคนเรียนแล้วก็ไปกินไปเที่ยวกัน กลางคืนก็ไปไนต์คลับ มีเพื่อนชอบมาชวนซุปไปกิน ดื่ม เต้น แต่ซุปไม่ไปค่ะ เขาชวนจนเลิกชวนไปเอง ซุปชอบไปวัดมากกว่า ชอบนั่งสมาธิ นั่งแล้วสบายใจ เป็นการล้างใจเราให้สะอาดด้วย ช่วยแก้ปัญหาได้ด้วย เพราะว่าสมาธิทำให้เราใจเย็น สงบ มีสติปัญญาดีขึ้น เราจึงเห็นปัญหาชัดขึ้นและแก้ได้ตรงจุด หลวงพ่อก็เคยบอกไว้ว่า เวลามีปัญหาให้นั่งหลับตาแล้ว ‘สัมมาอะระหัง’ ซุปจำแม่นเลยค่ะ”
จากเรื่องราวของศุภวรรณ พบว่า “ทาน ศีล ภาวนา” ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเธอ ส่วนเรื่องการเป็นกัลยาณมิตรซึ่งหลวงพ่อให้ความสำคัญนั้น เธอพยายามทำตลอดมาเพราะเธอรู้สึกว่า ที่เธอรู้จักวัดพระธรรมกายและมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้นเพราะมีกัลยาณมิตรมาช่วยแนะนำ
“มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งมีปัญหาครอบครัวหนักมาก วิกฤตเลยละ ซุปเลยชวนเขาไปวัดพระธรรมกายบอสตัน ตอนแรกชวนไปปล่อยเต่า ตอนหลังเพื่อนชวนสามีของเขาซึ่งเป็นฝรั่งไปวัดทุกวันอาทิตย์เลยค่ะ ไปถวายภัตตาหาร ไปนั่งสมาธิด้วยกัน ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น เขาบอกว่าเขามีบุญมากที่มาเจอวัดพระธรรมกายบอสตัน มาเจอกัลยาณมิตร ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ซุปเห็นแล้วก็มีความสุขไปด้วยค่ะ”
ทุกวันนี้ เมื่อศุภวรรณนึกถึงพี่ ๆ และอาจารย์ที่ชวนเธอไปวัดทั้งตอนอยู่มัธยมและมหาวิทยาลัยแล้ว เธอรู้สึกซาบซึ้งและอดนึกขอบคุณทุกคนไม่ได้ที่เป็นกัลยาณมิตรให้เธอมาเจอหลวงพ่อ มาเจอคำสอนดี ๆ ซึ่งเหมือนกับมาจุดเทียนให้แสงสว่างแก่ชีวิตของเธอ จนเธอได้เป็นเทียนอีกเล่มที่ไปจุดต่อความสว่างแก่คนรอบข้างดังที่ผ่านมา
Cr. กลุ่มดาวมีน
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๗ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ประดุจเทียนที่จุดส่งต่อกันมา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:05
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: