วันพระมีความเป็นมาและความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพุทธศาสนาอย่างไร ?
ตอบ
: วันพระ หมายถึง วันทบทวนความสมบูรณ์แห่งความเป็นพระ
พระภิกษุสงฆ์จะมาประชุมพร้อมกันที่อุโบสถ
เพื่อทบทวนศีลคือความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจของตนเอง เพื่อทบทวนปาฏิโมกข์คือสิกขาบทที่เป็นพระวินัย
๒๒๗ ข้อร่วมกัน
แต่เดิมโดยเฉพาะในช่วงต้นของพุทธกาล
ไม่มีการลงปาฏิโมกข์ในพระพุทธศาสนา เพราะผู้ที่เข้ามาบวชนั้น
บารมีแก่กล้ากันเป็นส่วนมาก ท่านจึงสามารถเตือนตัวเองได้ ยิ่งในยุคเริ่มพุทธกาลใหม่
ๆ ก็ไม่มีพระวินัยแม้แต่ข้อเดียว อยู่กันโดยขนบธรรมเนียมของนักบวช
ต่อมาเมื่อมีกุลบุตรผู้มีศรัทธาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรื่องการลงปาฏิโมกข์ แม้ผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ถือว่าเป็นกิจของหมู่สงฆ์ที่จะต้องลงปาฏิโมกข์
เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระรุ่นหลัง ๆ ให้เข้มงวดกวดขันตัวเอง
เหตุเริ่มต้นที่มีการลงปาฏิโมกข์ในพระพุทธศาสนานั้น
เกิดจากพระเจ้าพิมพิสาร (กษัตริย์ผู้ครองแคว้นมคธ
ผู้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล) ทรงปรารภกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นักบวชประเภทปริพาชกบ้าง
และนักบวชประเภทต่าง ๆ อีกหลายประเภทในอินเดีย มีธรรมเนียมว่า ในวัน ๑๕ ค่ำ
ข้างขึ้นข้างแรม เขาจะมาประชุมกัน แล้วก็ให้โอวาทแก่นักบวช แก่สมาชิกของเขาด้วย
ทำให้นักบวชของเขามีความเคร่งครัด มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
มีความไม่ระแวงซึ่งกันและกัน ว่าใครจะประพฤติตัวยิ่งหย่อนกว่ากันอย่างไร
เพราะได้เห็นหน้ากันอยู่ทุก ๆ ๑๕ วัน
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของนักบวชหมู่นั้น ๆ คณะนั้น ๆ แต่วันประชุมเช่นนี้ของพุทธศาสนายังไม่มี
พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ขึ้น
๑)
ความสำคัญของการประชุมรวม
ถ้าพิจารณาโดยหลักธรรม
ก็จะพบความจำเป็นในการประชุมทุก ๑๕ วันว่า
ประการที่
๑ ทำให้มี “ทิฏฐิสามัญญตา” และ “สีลสามัญญตา”
เกิดขึ้นในหมู่คณะ คือ มีทิฏฐิ (ความคิดเห็น) เสมอกัน และมีศีล (ความบริสุทธิ์) เสมอกัน
ทำให้หมดความกินแหนงแคลงใจกัน แล้วก็ช่วยกันประคับประคองหมู่คณะให้สมกับที่สละชีวิตมาบวชกัน
แม้หลักธรรมที่นักบวชเหล่านั้นใช้นับถือปฏิบัติอาจไม่ค่อยมีความลึกซึ้งนัก แต่เพราะอาศัยการประชุมพร้อมเพรียงกันทุก
๑๕ วันนี้ ทำให้หมู่คณะของเขามั่นคงเป็นหนึ่งเดียว
ประการที่
๒ สมาชิกของเขาที่ยังครองเรือน
ก็ตั้งใจมาฟังครูบาอาจารย์ของเขา มาฟังนักบวชที่เขาเคารพนับถือ ให้โอวาท
ให้การอบรม สมาชิกก็เพิ่มขึ้นมาตามลำดับ ๆ นับเป็นการเผยแผ่ เป็นการขยายงานไปสู่สมาชิกใหม่
ๆ ไปโดยปริยาย
๒)
ทำไมต้องประชุมทุก ๑๕ วัน
มีคำถามเกิดขึ้นว่า
ทำไมจึงต้องประชุมในวัน ๑๕ ค่ำ ด้วย
เหตุผลนั้นเป็นเหตุผลตามธรรมชาติ
นั่นคือ ใครก็ตามถึงแม้จะมีสติปัญญามากมายเพียงไร เมื่อได้ฟังคำเทศน์คำสอนของครูบาอาจารย์แล้ว ไม่ว่าเขาจะรักเคารพครูบาอาจารย์ของเขามากเพียงใด
มีความซาบซึ้งในหลักธรรมมากน้อยแค่ไหน แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ว่า หลังจากได้รับการอบรม
การชี้แนะไปแล้ว พอผ่านไป ๑๕ วัน ความสามารถในการจดจำของเขา ความขวนขวายที่จะประกอบความเพียร จะค่อย ๆ หย่อนลงไปเรื่อย ๆ พอครบ ๑๕ วันเท่านั้น ลืมสนิทเลย เพราะฉะนั้นทุก ๆ ๑๕ วัน
ก็จะต้องมีการทบทวนกันสักครั้งเป็นอย่างน้อย
สำหรับในเมืองไทยเรา
เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว บรรพบุรุษของไทยท่านพิจารณาว่า การทิ้งห่างในระยะเวลา
๑๕ วัน แล้วมาทบทวนรวดเดียวนั้นยาวไป
การทิ้งห่าง
๑๕ วันสำหรับนักบวช ก็ชักจะล้า ๆ ต้องมาทบทวนกันสักครั้ง แต่สำหรับชาวบ้านนั้น
ถ้าทิ้งห่าง ๗-๘ วัน ความเพียรก็ล้า ความจำก็เลือนแล้ว คำสอนคำเตือนต่าง ๆ ก็ลืมหมดแล้ว
ปู่ย่าตาทวดของไทยจึงนำมาซอยจาก
๑๕ วัน ให้กลายเป็นทุก ๆ ๗ วัน
โดยกำหนดวัน ๘ ค่ำ เข้ามาใส่ตรงกลาง เพราะฉะนั้นจึงเกิดวันพระเล็กขึ้นมาในบ้านเมืองไทยของเรา
๓)
ทำไมต้องประชุมในวันเดือนหงายกับวันเดือนมืด
คำถามต่อมา
ทำไมต้องเลือกเอาวันเดือนหงาย (คำเรียกคืนที่มีดวงจันทร์ส่องแสงสว่างมาก
โดยปกติหมายถึงคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง) เดือนมืดด้วย
(หมายถึงคืนที่มองไม่เห็นดวงจันทร์)
ความมุ่งหมายจริง
ๆ นั้น มุ่งเอาที่คืนเดือนหงาย เพราะบรรยากาศของคืนเดือนหงายเหมาะต่อการฟังเทศน์
เหมาะต่อการอบรมจิตใจ แต่ว่าช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนหงาย ๓๐ วันนั้นนานไป
จึงแบ่งครึ่งช่วงเวลาออกเป็นวันที่เดือนเต็มดวง กับวันที่เดือนดับเต็มที่
คืนเดือนหงายมีบรรยากาศที่เหมาะแก่การฟังธรรมดีเหลือเกิน
เพราะเห็นหน้าเห็นตากันชัด ท้องฟ้าแจ่มใส ให้โอวาทกันท่ามกลางแสงจันทร์
คืนเดือนมืดมองหน้ากันไม่ถนัด
ก็นั่งหลับตาภาวนาร่วมกันไป เป็นการเทศน์เหมือนกัน แต่ว่าเป็นการเทศน์ในสมาธิ
ผู้เทศน์ก็หลับตาเทศน์ คนฟังก็หลับตาฟังทำสมาธิไปด้วย
เกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้นมา
ธรรมเนียมนี้เป็นธรรมเนียมของนักปราชญ์บัณฑิตตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาแล้ว
สิ่งเหล่านี้เป็นความฉลาดของคนยุคโน้น ซึ่งรู้จักใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ
ทำให้เขาประคับประคองหมู่คณะมาได้ เพิ่มความเข้มแข็งให้หมู่คณะได้
นักปราชญ์บัณฑิตตั้งแต่อดีตเขาทำกันอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย
หลวงพ่อเคยไปเยือนอินเดียหลายครั้ง
ก็พบว่าธรรมเนียมนี้นักบวชอื่นเขาก็ยังทำกันอยู่
๔)
การประชุมทุกวันพระทำให้แต่ละนิกายยังเก็บรักษาคำสอนหลักในพระพุทธศาสนาได้ครบ
ในพระพุทธศาสนาเอง
แม้ผ่านมา ๒,๖๐๐ ปีแล้ว และมีการแยกเป็นนิกายโน้นนิกายนี้บ้าง แต่ว่าศีล ๒๒๗
ข้อยังอยู่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ยังอยู่ อริยสัจ ๔ ยังอยู่ แม้เรื่องอื่นแผ่วไป
แต่เรื่องสำคัญเหล่านี้ยังอยู่ในพระพุทธศาสนา นิกายต่าง ๆ
ยังเก็บรักษาไว้ได้ดีเกือบทั่วโลก
ทำไมจึงยังเก็บรักษาไว้ได้
?
นั่นก็เพราะทุก
ๆ ๑๕ วัน พระภิกษุสงฆ์พร้อมใจกันลงปาฏิโมกข์ ทบทวนความสมบูรณ์แห่งความเป็นพระ ศีล
๒๒๗ ข้อยังอยู่ ตราบใดที่ยังรักษาวันปาฏิโมกข์เอาไว้ได้ พระพุทธศาสนาก็ยังมีอนาคตอีกยาวไกล
ในวันพระ
จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุที่จะต้องช่วยกันรักษาสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ให้ดี
เพราะเป็นที่มาของสีลสามัญญตา ไปทบทวนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของศีล
เป็นการปรับทิฏฐิสามัญญตาให้ตรงกัน ทำให้หมู่คณะไปรอด
ส่วนพุทธศาสนิกชนก็ได้ใช้วันเวลานี้เข้าวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญกันสืบมา
ในยุคนี้
เมื่อวันพระมิใช่วันหยุดงาน
ญาติโยมฝ่ายคฤหัสถ์ยังต้องประกอบหน้าที่การงานทำมาหาเลี้ยงชีพ
มีโอกาสสั่งสมบุญเพียงช่วงเวลาเล็กน้อย เวลาเช้าก่อนไปทำงาน ก็เตรียมข้าวปลาอาหารอย่างประณีต
เตรียมตั้งใจมาถวายพระ ถวายสามเณรเป็นอย่างดี
ซึ่งแต่ละรูปก็ล้วนตั้งใจฝึกหัดขัดเกลาตัวเอง ตั้งใจมาเป็นอายุพระศาสนา ด้วยความเพียรของญาติโยมที่จะสร้างบุญเอาไว้เป็นที่พึ่งของตนอย่างนี้
แม้มีเวลาไม่มากพอจะอยู่ฟังเทศน์ฟังธรรมได้นาน ก่อนจะกลับควรจะได้นั่งสมาธิก่อน
เมื่อนั่งสมาธิแล้ว เมื่อใจเป็นกลางแล้ว ก็จะเห็นตัวเองได้ชัดเจนว่า เรามีความประพฤติดีหรือไม่ดีตรงไหน
ที่ไม่ดีเมื่อรู้ตัวก็จะได้แก้ไข ที่ดีแล้วก็จะได้ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ญาติโยมเมื่อเข้ามาวัด
แม้ไม่ได้ฟังเทศน์ แต่ได้เห็นพระภิกษุ เห็นสามเณร อยู่ในอาการสำรวมทั้งการนุ่ง การห่ม
ทั้งอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง สำรวมอยู่ในวินัย และยิ่งได้เจอความสะอาดของวัด
ข้าวของทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเขียวสดชื่นร่มรื่นของหมู่แมกไม้
สิ่งแวดล้อมที่ดีภายในวัด ก็พอที่จะทำให้เขาเหล่านั้นได้คิดอะไรขึ้นบ้าง
ได้เห็นตัวอย่างแล้วเอาไปทำเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาบ้าง กลายเป็นเหตุน้อมนำให้เขาเกิดความรู้สึกที่อยากจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดให้ยิ่ง
ๆ ขึ้นไปในวันหยุด หรือวันพระที่ตรงกับวันหยุด
เช่นนี้แล้ว
วันพระก็จะเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทสี่ ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็จะได้ทบทวนศีลของตน
และปรับทิฏฐิสามัญญตาของตนให้เสมอกันทั้งหมู่คณะ เสาหลักทั้ง ๔ เสาที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนา
ก็จะยังคงแข็งแรงเข้มแข็งมั่นคง ช่วยกันธำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้เป็นที่พึ่งแก่มนุษยชาติต่อไปได้อีกนานแสนนาน
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๗ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
คลิกอ่านบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2020/02/lp0363.html
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ PDF
https://dhamma-media.blogspot.com/2020/02/ynb207.html
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๗ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
คลิกอ่านบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2020/02/lp0363.html
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ PDF
https://dhamma-media.blogspot.com/2020/02/ynb207.html
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202563/207%20YNB%206303/YNB%20Mar%2063.html#p=34
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๗ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้ที่นี่
http://dhammamedia.org/YNB%202563/207%20YNB%206303/YNB%20Mar%2063.html#p=34
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๗ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้ที่นี่
- การฝึกสมาธิ ณ ดินแดนแห่งเขาพันลูก
- โครงการผ้าเหลืองห่มดอย ความเรืองรองแห่งพุทธศาสนาบนยอดดอย
- บุญใหญ่ครบ ๕๐ ปีวัดพระธรรมกาย
- พลิกชีวิตเด็กน้อยติดเกม เปลี่ยนจากเด็กที่ Say No มาเป็นสามเณรที่ Say Yes
- ไม่มีอะไรร้าย ในวันที่ใจเรายังดี
- ข่าวสารเครือข่ายคณะศิษย์
- หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๕๕)
- ๑๖ ปี แห่งการหยัดสู้
- วันพระมีความเป็นมาและความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพุทธศาสนาอย่างไร ?
- ย้อนอดีต...ท่องประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (ตอนที่ ๒๗)
- ความน่ากลัว ๓ อย่าง
วันพระมีความเป็นมาและความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพุทธศาสนาอย่างไร ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
22:39
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: