จากยาจกหน้าสลัม..สู่มหาเศรษฐีเงินล้าน !
คุณสมเกียรติ - คุณสมพร เกาเล็ก |
ย้อนไป 10 กว่า ปีที่แล้ว
หากคุณเจอยาจก ที่ปลูกกระต๊อบมุงจากอยู่หน้าสลัม
เดินทางมาวัดพระธรรมกาย
โดยมีเงินทำบุญเพียง 10-20 บาท
คุณจะคาดคิดไหมว่า
วันนี้เขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐีเงินล้าน
กลายเป็นเจ้าของที่ดิน โรงงาน และบริษัทถึง
2 แห่ง !
คำเตือน : หากคุณคิดจะรวย เราไม่อยากให้คุณอ่านเรื่องนี้อย่างผ่าน ๆ
เพราะทุกรายละเอียด คือ ขั้นตอนรวย ที่ถอดจากความคิดและเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของเขาและเธอ
ที่ไม่เคยเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ณ ที่ใดมาก่อน
คุณสมเกียรติ – คุณสมพร เกาเล็ก ปัจจุบันเป็นเจ้าของ
บริษัท เค.พี.ธรรมสำเร็จจำกัด และ บริษัทผ้างามจำกัด เป็นธุรกิจตัดเย็บชุดวอร์ม
ชุดกีฬา และเสื้อยืดภายใต้แบนด์ “วิกตอร์รี่” (Victory)
“เมื่อย้อนนึกถึงความลำบากตอนนั้นแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าเราจะผ่านมันมาได้
เพราะชีวิตเราเริ่มต้นจากศูนย์กันจริง ๆ ตอนแต่งงานเรายากจนถึงขนาดต้องไปกู้เงินมาเช่าที่เล็ก
ๆ แถวสลัมปลูกกระต๊อบมุงจาก ที่เป็นแค่เพิงหมาแหงนขนาด 3 คูณ 4 เมตรเท่านั้น ซ้ำร้ายพอฝนตก
น้ำก็รั่วหยดตามรูโหว่จากหลังคาลงมาในกระต๊อบ ทำให้ต้องย้ายของหลบไปหลบมา วิ่งเอาขัน
เอากะละมังไปรองกันให้วุ่น
กระต๊อบหน้าสลัม |
ขายของหน้าสลัม |
แม้ตอนนั้นผมจะเป็นเพียงโฟร์แมนในโรงงานย้อมผ้า
ส่วนภรรยาก็เป็นแค่เสมียน แต่เราทั้งสองก็วาดฝันกันว่า สักวันจะต้องลืมตาอ้าปากได้
อีกทั้งในอนาคตเราอยากจะมีอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ไว้ขายของ
และมีเงินเก็บไว้ในบัญชีสัก 10 ล้านบาท…
แต่การไปถึงฝัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนจน
ๆ ที่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนอย่างเรา จึงเป็นเหตุให้ภรรยาผมทำอาชีพเสริม โดยไปซื้อของจากสำเพ็งมาขาย
อีกทั้งยังอดหลับอดนอนไปรับตุ๊กตาตัวเล็กๆ จากโรงงานมาประกอบได้ค่าแรงตัวละ 1 บาท
ยอมรับว่าชีวิตช่วงนั้นลำบากมาก แต่แม้จะลำบาก
หรือมีเงินน้อยแค่ไหน ผมก็สังเกตเห็นว่า ภรรยาของผมไม่เคยทิ้งเรื่องการทำบุญเลย เนื่องจากเธอเป็นคนใจบุญและเข้าวัดพระธรรมกายตั้งแต่เป็นนักศึกษา
ซึ่งหลังแต่งงานแล้ว เธอก็ยังขอผมไปวัดนี้อยู่เรื่อย ๆ โดยเธอทำบุญทีละ 20 บาทบ้าง
100 บาทบ้าง แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า วัดนี้มีอะไรดีนักหนา ทำไมเธอชอบไปแต่วัดนี้
ทั้ง ๆ ที่วัดแถวบ้านก็มีอยู่ตั้งหลายวัด ทำไมไม่ไป หนำซ้ำการเดินทางไปวัดพระธรรมกายในสมัยก่อนก็ลำบากแสนเข็ญ
เพราะเราไม่มีรถส่วนตัว จึงต้องกระเสือกกระสนขึ้นรถเมล์จาก จ.สมุทรสาคร ไปยัง จ.ปทุมธานี
ผ่านถนนลูกรังขรุขระ กว่าจะถึงวัดก็ปาไปตั้ง 2-3 ชั่วโมง อีกทั้งกว่าจะกลับถึงบ้านก็
3-4 ทุ่ม จนผมอดที่จะคิดในใจไม่ได้ว่า
ภรรยาผมโดนล้างสมองหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยว่าอะไรเธอเลย เพราะคิดว่า ถึงเธอไปวัดทำบุญ
ก็ยังดีกว่าผม ที่พอสุดสัปดาห์ก็เอาแต่นั่งดื่มเหล้าเมาแอ๋กลับมาโวยวาย หมดเงินหมดทองไปเยอะ
..ภรรยาของผมขยันทำมาหากินพอ ๆ กับขยันไปทำบุญที่วัด
ส่วนผมก็ขยันเมาเหล้า พอ ๆ กับขยันทำงาน เราดำเนินชีวิตคู่อย่างนี้มาเรื่อย ๆ
จนวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2537 ภรรยาผมพูดว่า วัดพระธรรมกายจะมีการหล่อหลวงปู่วัดปากน้ำด้วยทองคำแท้
ๆ ขอสร้อยทองหนัก 2 สลึงของผมไปหล่อด้วยได้ไหม ผมก็ตัดสินใจยกให้เธอไปอย่างไม่คิดเสียดายเลย
ทั้ง ๆ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่มีอยู่ตอนนั้น เพราะผมรู้ว่า บุญจากการหล่อพระด้วยทองคำแท้ ๆ ได้อานิสงส์มากจนเราประมาณค่าไม่ได้
อีกทั้งโอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อย ส่วนเธอก็เอาแหวนหมั้นทองคำหนัก
1 สลึง ซึ่งเป็นทองคำชิ้นเดียวที่เธอมี มารวมกับสร้อยที่ขอจากผม รวมแล้วเป็น 3
สลึง ไปร่วมทำบุญหล่อทองหลวงปู่
การทำบุญหล่อทองหลวงปู่เป็นบุญแรกในชีวิตที่ผมทำกับวัดพระธรรมกาย
ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยไปวัดนี้เลย อีกทั้งยังเป็นบุญที่ผมและภรรยาทำมากที่สุดในชีวิต ซึ่งพอย้อนระลึกนึกถึงบุญนี้ทีไร
ก็รู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดเลย เพราะบุญนี้เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเราสองคน !
หลังจากนั้นไม่นาน มันแปลกมาก
แปลกจนผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ คือ หยิบจับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด มือขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ขายของดีเป็นเทน้ำเทท่า
จนมีกำไรไปดาวน์รถกระบะได้ 1 คัน จากนั้นเราก็คิดหาอาชีพที่คาดว่าจะทำเงินได้มากกว่าเก่า
ก็คือ ขายส่งผัก โดยขับรถกระบะไปตลาดสี่มุมเมืองตั้งแต่ตี 5 แล้วก็ซื้อผักมาขายส่ง
ซึ่งภายใน 8 โมงเช้า เราก็ขายหมดเกลี้ยงทุกวัน เพราะมีเจ้าประจำจองไว้จำนวนมาก
ซึ่งก็แทบไม่อยากเชื่อ เราใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่กลับได้กำไรเป็นเงินสด ๆ วันละ
1,000 บาท ซึ่งเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ถือว่าเรามีรายได้สูงมาก และจากการขายผักนี่เองทำให้เรามีเงินถุงเงินถัง
จนมีทุนต่อทุน แล้วไปกว้านซื้อเศษผ้าจากโรงงานที่เขาทิ้งแล้วมาคัดแยกเกรดส่งขาย เพราะรายได้ดีกว่าการขายผักมาก
คือ เดือนละเกือบ 50,000 บาท จนเรามีเงินไปซื้อที่ดิน 64
ตารางวา มูลค่า 700,000 บาท มาเป็นของตัวเอง”...
แล้วเคยขาดทุน
หรือเจอปัญหาอะไรหนัก ๆ ในอาชีพที่ทำอยู่ไหม?
“เคย.......ในช่วงรอยต่อที่เราเปลี่ยนจากการเหมาเศษผ้าชิ้นเล็ก
ไปซื้อผ้าชื้นใหญ่มาขายแทน ตอนนั้นเราไม่มีประสบการณ์ แถมยังไม่มีลูกค้าประจำ จึงเอาเงินทุนทั้งหมดที่เหลือไปเหมาซื้อผ้าชิ้นใหญ่
แล้วบรรทุกจนเต็มรถกระบะขับออกจากบ้าน ที่จังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ 2 ทุ่ม ไปถึง จังหวัดแพร่
จากนั้นก็เร่ขายทั้งวันจนถึง 5 โมงเย็น แต่กลับขายไม่ได้เลยสักนิด
จนผมและภรรยาใจเสียมาก เพราะไม่อยากขาดทุน อีกทั้งถ้าขายชาวบ้านแถวนี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะไปขายใครแล้ว
และที่สำคัญผมขับรถตั้งแต่ 2 ทุ่มเมื่อคืน ข้ามวันมาจนถึง 5 โมงเย็น ยังไม่ได้นอนเลย
ทำให้ผมมีอาการใจสั่น อยากจะอาเจียน ง่วง และเพลียสุด ๆ ผมจึงรบเร้าภรรยาว่า ‘ผมไม่ไหวแล้วนะ จะขับกลับแล้วนะ เพราะจะค่ำแล้วแต่ยังขายกันไม่ได้เลย
งวดนี้เจ๊งแน่ๆ’ เมื่อเธอได้ยินดังนั้น
จึงรีบบอกว่า ‘เดี๋ยวก่อน ขอเวลา 10 นาที ถ้าขายไม่ได้ค่อยกลับ’ จากนั้นเธอจึงควักสร้อยคอที่ห้อยเหรียญหลวงปู่วัดปากน้ำขึ้นมา
พนมมืออธิษฐานขอให้ขายหมดเป็นอัศจรรย์ ผมเห็นอาการเธอดังนั้น
ก็อดคิดแย้งในใจด้วยความไม่เชื่อว่า จะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก..!!???
จนกระทั่ง 5 นาทีผ่านไป
ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ คือ อยู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ที่มีปืนอยู่หน้ารถซิ่งมาปาดหน้า
แล้วจอดขวางรถกระบะเราไว้ แล้วก็ตะเบ็งเสียงถามว่า ‘ไอ้น้อง..เอาอะไรมาขาย !’ ผมก็รีบตอบอย่างสุภาพว่า
‘เอาผ้าจากจังหวัดสมุทรสาครมาขายครับ’ แล้วเขาก็บอกผมว่า ‘งั้นขับรถตามกูมานี่’ จากนั้นผมก็ขับรถตามเขาไป ซึ่งพอเจรจากันถึงได้รู้ว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ
และพอเขาดูสินค้าแล้วก็บอกผมว่า ‘งั้นเหมาหมดทั้ง 700 กิโลเลย’ แล้วก็นับเงินสดจ่ายให้ผมทันที ทำให้เราได้กำไรอื้อซ่าเลยครับ !
..บอกตรง ๆ ตอนนั้นผมตะลึงมาก เกิดความศรัทธาหลวงปู่ขึ้นมาอย่างจับใจ
แม้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วครับ นี่ถ้าไม่เจอกับตัวเอง
ใครมาพูดก็คงไม่เชื่อ และนับจากนั้น ผมจึงยอมเปิดใจไปวัดพระธรรมกายกับภรรยาในช่วงธุดงค์ปีใหม่
ซึ่งพอผมไปเห็นวัด ก็รู้สึกทึ่ง เพราะห้องน้ำสะอาด แถมไม่มีก้นบุหรี่ที่ซุก ๆ
เสียบ ๆ ไว้ตามซอกขอบรั้วสังกะสี หรือก้นบุหรี่ในถังขยะเลย ผมเลยเกิดศรัทธาพระวัดนี้
และคนที่มาวัด ที่เขาไม่สูบบุหรี่กัน อีกทั้งผมยังรู้สึกอีกว่า
เจ้าหน้าที่ที่วัดนี้เขาขัดห้องน้ำสะอาดดี เขาทำของสกปรกที่คนรังเกียจให้สะอาดได้ขนาดนี้
แสดงว่า หลวงพ่อต้องสอนดี ประกอบกับเห็นความเป็นระบบระเบียบของวัดแล้ว ผมจึงได้คำตอบทันทีว่า
ทำไมภรรยาผมถึงชอบไปวัดนี้ และนับจากนั้นผมก็ไปวัดกับเธอด้วยเป็นประจำ
ซึ่งการเข้าวัดนี่เอง ทำให้อะไร ๆ
ในชีวิตก็ดีขึ้นไปหมด เพราะในช่วงปี พ.ศ.
2548 ผมและภรรยาได้เลิกวิ่งรถขายเศษผ้า แล้วไปรับซื้อเศษผ้ามาเย็บขายกันเอง
โดยสร้างสถานที่เย็บเล็ก ๆ บนที่ดิน 64 ตารางวา ที่เราเคยซื้อไว้ จากนั้นก็ไปซื้อจักรเก่ามา
3 ตัว รับลูกน้องมาเย็บกางเกงขายตัวละ 20 บาท ซึ่งปรากฏว่าขายดีจนสามารถรวบรวมเงินก้อนไปทำบุญทอดกฐินในปีนั้นได้มากถึง
100,000 บาท
ซึ่งเป็นเงินทำบุญที่มากที่สุดในชีวิตของเราเลย
หลังจากที่ตัดสินใจทำบุญแสนแรกไป เราก็พบจุดหักเหของชีวิตครั้งใหญ่จริง
ๆ คือ บุญบันดาลให้เรามาเจอกับคนดี ๆ ซึ่งก็ คือ คุณอาพลกฤษณ์ กิจประชากร
เจ้าของบริษัทครีเอทีฟคร๊าฟต์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตอนนี้ ท่านบวชเป็นพระอยู่ที่วัดพระธรรมกายไปแล้วครับ
แต่ช่วงนั้นท่านได้ชี้แนะและเป็นธุระให้เราในการไปกู้แบงก์มา 10 ล้านบาท มาลงทุนสร้างโรงงานในปี
พ.ศ. 2547 อีกทั้งยังพาผมไปกราบหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อทำให้ผมเลิกดื่มเหล้า
แล้วสุดท้ายผมก็เลิกเหล้าได้จริง ๆ
โรงงานที่สร้างขึ้นจากการกู้เงิน 10 ล้านบาท |
ในช่วงที่เราเพิ่งจะทำโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้านั้น
เป็นช่วงที่เราหนักสุด ๆ เพราะอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเจ๊งสูงมาก นอกจากเราต้องรับผิดชอบค่าจ้างคนงาน
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในโรงงานแล้ว ยังต้องทยอยใช้หนี้แบงก์มากถึงเดือนละ 60,000 บาท แต่พอถึงช่วงทำบุญทอดกฐินในปี พ.ศ. 2549 เราก็ตัดสินใจเอาเงินทั้งหมดที่มีทุ่มทำบุญไปถึง
1 M ทันที
พอใครรู้..เขาก็อึ้ง... บางคนก็ด่า...
คาใจกันไปต่าง ๆ นานา สงสัยว่าเราบ้ากันไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวแท้
ๆ โรงงานก็อยู่ในภาวะลูกผีลูกคน คือ ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่า แต่ผมและภรรยากลับเอาเงินไปทำบุญ
โดยไม่ยอมสำรองเงินไว้กันพลาดอะไรเลย !
แต่ในความคิดของเราตอนนั้น กลับคิดว่า ในภาวะที่เสี่ยงเช่นนี้
หากเรามีกำลังบุญไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถรองรับสมบัติใหญ่ คือ โรงงาน ให้อยู่กับเราต่อไปได้
เราไม่อยากเจ๊ง โดนแบงก์ยึดเหมือนหลาย ๆ เจ้า
ที่ลงทุนทำโรงงานแล้วไปไม่รอด เพราะบุญไม่ถึง
จนในที่สุดความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจริง ๆ
คือ หลังจากทำบุญล้านไปไม่นาน เราก็ได้ออร์เดอร์ล้านบาทเข้ามาแบบไม่คาดคิด อีกทั้งลูกค้ายังโทรมาบอกว่า ผมโอนเงินค่าสินค้าทั้งหมดให้คุณแล้วนะ
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายเงินเลย จนผมงงมากว่าเงินตั้งเยอะ
หากเขาจะยื้อไว้กินดอกในธนาคาร เขาก็จะได้ดอกเบื้ยไปตั้งเยอะ
แต่ทำไมเกิดมีอารมณ์อยากรีบโอนเงินมาให้ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ไปทวงอะไรเลย ผิดกับหลาย
ๆโรงงาน ที่พอถึงกำหนดจ่ายเงินแล้ว ลูกค้าก็ยังไม่ยอมจ่าย หรือต้องตามทวงหนี้ ซึ่งบางทีทวงแล้วก็ยังไม่ให้อีก...
จนกระทั่งปีต่อมา พ.ศ. 2551
เป็นปีที่เราคิดกันว่า ทำบุญ M แรกก็ทำมาแล้ว ปีนี้อยากทำบุญทอดกฐินสัก
3 M แต่บอกตรง ๆ เราไม่มีเงินสดในมือมากถึงขนาดนั้น เพราะโรงงานเราก็เพิ่งตั้งได้ปีเดียว
เก็บดอกผลอะไรก็ยังไม่ได้ เราจึงตัดสินใจเอาที่ดินที่เคยซื้อไว้ไปขายได้ 3 ล้านบาท
แล้วนำเงินนั้นไปทำบุญกฐินทันที ซึ่งหลังจากนั้นไม่ถึงปี เราก็มีมีออร์เดอร์เข้ามามากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
จนมีเงินไปซื้อที่ดินใหม่ 5 ไร่ในราคา 12 ล้านบาท ซึ่งได้ทำเลดีกว่าเดิมมาก ๆ
เราจึงคิดว่า จะเอาไว้สร้างโรงงานเพิ่ม เพื่อขยายกำลังการผลิตในอนาคต
ที่ดินที่เราซื้อไว้ขยายโรงงาน |
โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และบรรจุใส่ถุง |
สต๊อกสินค้า |
ช่วงนั้นธุรกิจเราไปได้สวยมาก
เรารับคนงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีคนงานมากถึง 70 คน ขยายโรงงานเป็น 2 แห่ง
และก็มีสโตร์เก็บสินค้าอีก 1 แห่ง และในปีต่อมาเมื่อถึงบุญทอดกฐินปี 2551
และบุญหล่อหลวงปู่วัดปากน้ำทองคำองค์ที่ 5 เราก็ได้ถวายทองคำ 1 กิโลกรัม
เพื่อหล่อท่าน เพราะชีวิตเราลืมตาอ้าปากได้
ก็เพราะบุญที่เริ่มต้นทำบูชาธรรมท่านด้วยทองเพียง 3 สลึงโดยแท้
จนกระทั่งมาถึงบุญทอดกฐินปี พ.ศ. 2553 ปีล่าสุดที่ผ่านมา
เป็นปีที่พลิกชีวิตธุรกิจที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย
เพราะเราไม่เคยเจอความมหัศจรรย์อย่างนี้มาก่อนตั้งแต่ตั้งโรงงานมา คือ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ภรรยาของผมเกิดอยากทำบุญทอดกฐินมากถึง 5 M ซึ่งถ้านับจากวันนั้นถึงวันทอดกฐิน เรามีเวลาหาเงินแค่ 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งผมนึก
ๆ ดูแล้วมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะการที่เราจะได้กำไร 5 M นั่นหมายถึงเราต้องมีออร์เดอร์เข้ามามากถึง 20 ล้านบาท ซึ่งระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 3 เดือน ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะตั้งแต่ตั้งโรงงานมาเราไม่มีปรากฏการณ์อย่างนี้ และยิ่งภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ขนาดนี้ไม่ต้องหวังเลยว่า
อยู่ ๆ ใครจะมาออร์เดอร์เสื้อและกางเกงมากถึงแสนตัว แต่ภรรยาผมก็จดจ่อกับการนั่งสมาธิอธิษฐานจิตขอหลวงปู่วัดปากน้ำด้วยความมุ่งมั่นมาก
แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อ คือ อยู่ ๆ ก็มีออร์เดอร์ 5 ล้านบาท ทยอยเข้ามาถึง 4 เจ้า
จนลูกน้องในโรงงานมือเป็นระวิง ต้องมาทำโอทีทุกวันจนถึง 4 ทุ่ม
หนำซ้ำลูกน้องยังมาขอกุญแจโรงงานกับภรรยาผม เพื่อจะได้รีบมาเปิดโรงงานเองแต่เช้าในช่วงนี้
จะได้รีบมาทำให้เสร็จ
ผมตื่นเต้นมากเลยครับ กับออร์เดอร์ 20
ล้านบาท ที่เข้ามาแบบพรวดพราดขนาดนี้ และที่ดีไปกว่านั้น ก็คือ ลูกน้องกลับเป็นธุระกระวีกระวาดรับผิดชอบงานของเราราวกับเป็นเจ้าของโรงงานเสียเอง
จนไม่ต้องเป็นกังวลเลยครับ แถมลูกน้องก็รวมเงินสมทบทอดกฐินกับเราด้วยเป็นแสนบาท แล้วในที่สุดเราก็มีเงินทำบุญทอดกฐินที่
5 M สมปรารถนาอย่างอัศจรรย์”
ทำอย่างไร..ลูกน้องถึงดีขนาดนี้
?
“ตรงนี้อยากให้ข้อคิดกับคนที่มีลูกน้อง
หรือคิดที่จะทำกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจการ์เมนต์
เพราะการจะอยู่ในธุรกิจนี้ได้มันไม่ง่าย เนื่องจากงานมันละเอียด จู้จี้จุกจิกมาก
มาตรฐานก็สูง และถ้างานเร่งเป็นแสนตัว เราก็ต้องคุมคุณภาพงานให้ได้ และการมีพนักงานมากถึง
70 คน ถ้าเรามีบุญน้อย
เราคุมเขาไม่ได้หรอก เพราะพูดแล้วเขาจะไม่ฟัง แล้วปัญหาลาออก
ปัญหาลูกน้องทะเลาะกันก็จะตามมา ดังนั้นบริษัทของเราจึงเอาบุญเป็นที่ตั้ง คือ ให้ลูกน้องสวดมนต์นั่งสมาธิ
จัดบวชอุบาสิกาแก้ว พอเขาเข้าใจเรื่องบุญ เรื่องศีล 5 เขาก็จะไม่โกหก ไม่ลักขโมย
ไม่ดื่มเหล้าเมาจนมาทำงานไม่ได้ อีกทั้งพอเขาฝึกสมาธิมากขึ้น งานเย็บ งานตัดผ้า
ก็ออกมาประณีต และพอเขาเข้าใจในบุญ
เขาก็รวบรวมเงินกันมาสร้างบุญกับเราเอง ซึ่งพอลูกน้องและเจ้าของโรงงานทำบุญด้วยกัน
มันก็เจริญทั้งโรงงานไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งกำลังเจริญ อีกฝ่ายหนึ่งถ่วง
หากเป็นอย่างหลังนี้ ธุรกิจเราก็จะก้าวถึงที่สุดไม่ได้”
ทำบุญมากขนาดนี้ ไม่กลัวหมดตัวหรือ
?
“ผมขอพูดตรง ๆ ฟังแล้วอย่าโกรธผมนะ..ผมขอบอกว่า
ถ้าผมไม่เข้าวัดพระธรรมกาย ผมไม่มีทางรวยขึ้นหรอก อย่างมากชีวิตนี้ก็แค่พอกินพอใช้
แล้วผมก็คงเป็นไอ้ขี้เหล้าคนหนึ่ง เหมือนกับเพื่อนที่เคยเมามาด้วยกัน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเมาอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งก็ยังเป็นลูกจ้างที่ยังไม่รวย และก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการอะไรเลย
แต่ปัจจุบันนี้ อดีตยาจกหน้าสลัมอย่างผมมีวันนี้ได้เพราะวัดพระธรรมกาย เพราะหลวงพ่อสอนให้ผมเลิกเหล้า
สอนให้ผมนั่งสมาธิ บอกให้ผมและภรรยาเป็นผู้นำในการชวนลูกน้องทำทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา ซึ่งสุดท้ายเราก็ได้ลูกน้องที่ขยันขันแข็ง ไม่ก่อปัญหาทำให้เราหนักใจ
ส่วนเรื่องทำบุญแล้วจะหมดตัว ภรรยาผมได้ตอบลูกค้าคนหนึ่งไปว่า
เฮียก็เห็นชีวิตเรามาตลอดว่า เรามาจากศูนย์กันจริง
ๆ และพอเราทำบุญระดับหมื่น เราก็มีรายได้เข้ามาในระดับหมื่น พอขยับทำบุญไปในระดับแสน
รายได้ก็เข้ามาเป็นหลายแสน และพอตัดสินใจทำระดับล้าน ก็มีออร์เดอร์เข้ามาในระดับหลายล้าน
เป็นผลทำให้ธุรกิจของเราไม่ใช่ค่อย ๆ ดีขึ้นแบบเอื่อย ๆ แต่มันดีแบบพรวดพราดก้าวกระโดด
และยิ่งภาวะเศรษฐกิจแย่ถึงขนาดนี้ โรงงานใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงมากกว่าเรา เขายังโละคนงานออก
บางทีก็ปิดไปเลยก็มี แต่เรากลับเพิ่มคนงาน เพิ่มเอา ๆ ขยายโรงงานขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเร็ว
ๆ นี้ก็จะขยายอีก ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เราเชื่อมั่นในบุญมาก
โดยเฉพาะบุญจากการทอดกฐิน เพราะเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก อีกทั้งถ้าเราทำบุญแบบไม่ธรรมดา
เวลาเราจะได้อะไรก็จะแตกต่างจากคนธรรมดา”…
ภาพ : สุวรรณ อุ่นรัศมีวงศ์
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
จากยาจกหน้าสลัม..สู่มหาเศรษฐีเงินล้าน !
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:24
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: