รอดตาย..เพราะสมบัติชิ้นสุดท้ายจัดให้

คุณสมชาย เล้าเปี่ยมทอง ที่ปรึกษาบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน), กรรมการบริหารและที่ปรึกษาของบริษัท เมืองทองเจริญศรี จำกัด

บางคนมีสมบัติมากมาย
แต่ไม่อาจยื้อความตายเอาไว้ได้
บุรุษในเรื่องนี้...กำลังจะตายด้วยโรคที่รักษาไม่หาย
แต่กลับรอดด้วยวิธีที่ใครก็คาดไม่ถึง !!!
----------------------------------

คุณสมชาย เล้าเปี่ยมทอง ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) อีกทั้งยังเป็นกรรมการบริหารและที่ปรึกษาของบริษัท เมืองทองเจริญศรี จำกัด มากไปกว่านั้นยังเปิดบริษัทของตัวเองอีกหลายแห่ง...

ผมเข้าวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ซึ่งก็ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา สั่งสมบุญทุกบุญอย่างเข้มข้น ช่วยงานพระพุทธศาสนาเต็มที่ เต็มกำลัง อย่างไม่มีข้อแม้ ข้ออ้าง เงื่อนไขมาตลอด จนกระทั่งในช่วงที่อายุใกล้ครบ 50 ปี ก็ตัดสินใจลาออกจากบริษัทสหพัฒนพิบูล และหยุดกิจการของตัวเองเป็นการชั่วคราว เพื่อเกษียณตัวเองมาบวชพระในโครงการบูชาธรรมพระราชภาวนาวิสุทธิ์ 60 ปี และครั้งที่ 2 อุปสมบทโครงการผู้ประกอบการธุรกิจ ในปี พ.ศ. 2548 ต่อมาก็ดำเนินกิจการของตนเองไปอีกระยะหนึ่ง จนประสบปัญหากิจการของคู่ค้าเปิดลานเบียร์ ซึ่งเราไม่อยากเกี่ยวข้อง จึงตัดสินใจมาบวชที่ลานธรรมในโครงการอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ในช่วงเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2553  โดยสมัครบวชเป็นพระพี่เลี้ยง

“หลังจากจบโครงการแล้วผมก็ยังช่วยงานต่อ    เพราะผมมีใจเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ที่อยากจะช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองดั่งย้อนยุคพุทธกาล และอยากจะเห็นภาพการบวชพระล้านรูปบนแผ่นดินไทยให้ได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมลุยช่วยงานบุญ ทำหน้าที่ทุกอย่างแบบเอาชีวิตเข้าแลก แต่ด้วยความที่ผมอายุมากถึง 60 ปีแล้วทำให้สังขารไม่เอื้ออำนวยเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ อีกทั้งยังมีโรคประจำตัว คือ ความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องคอยเฝ้าระวังและกินยาอยู่เป็นประจำ ซ้ำร้ายขณะบวชผมยังประสบอุบัติเหตุลื่นหกล้มอย่างแรงจนกระดูกสันหลังเคลื่อน มากไปกว่านั้นก็ยังมาป่วยหนัก เป็นไข้ ไอหนักเพราะติดเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมาก เพราะหากเกิดการติดเชื้อจนทั่วร่างกายแล้ว ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ จะทำงานผิดปกติและค่อย ๆ หยุดทำงานลงจนเสียชีวิตได้ในที่สุด  ซึ่งตอนนั้นผมได้แต่นอนซมอยู่ในโรงพยาบาล และด้วยความที่ผมกลัวจะเป็นตัวแพร่เชื้อติดพระธรรมทายาทในโครงการ ผมจึงลาสิกขากลับมารักษาตัวที่บ้าน

“แต่อนิจจา..ผมกลับมีอาการทรุดหนักลงมากกว่าเดิม คือ ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ ซึ่งหมอก็ให้ยาแก้โรคริดสีดวงมากินเพิ่มจากยาปกติ แต่กินเท่าไรก็ไม่หายเนื่องจากผมเป็นขั้นรุนแรง แม้เวลาไม่ถ่าย..เลือดก็ยังออก ตอนนั้นผมรักษาหลายแขนงมาก ทั้งศาสตร์ไทย ศาสตร์จีน กินยาสมุนไพรต่าง ๆ นานา ใครว่าอะไรดีเอาหมด รวมทั้งยาถ่าย เพื่อให้ถ่ายสะดวก แต่ไม่ว่าจะพยายามรักษาอย่างไร หมอดีขนาดไหน..ก็ไม่หาย ตรงกันข้ามกลับแย่หนักลงเรื่อย ๆ และด้วยความที่ผมกินยาเยอะ บวกกับสภาพลำไส้ที่แปรปรวน ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างในลำไส้เปลี่ยนไป เลยไปทำลายเชื้อจุลินทรีย์พื้นฐานที่มีอยู่เป็นปกติในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่ เมื่อจุลินทรีย์เหล่านี้ถูกทำลายจนลดน้อยลง ก็เกิดสภาวะใหม่ที่เหมาะกับการเจริญของจุลินทรีย์ประเภทฉวยโอกาส (opportunistic pathogens) และจุลินทรีย์ที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายมนุษย์ เจริญขึ้นมาแทนที่


“ช่วงนั้นสภาพผมเหมือนคนใกล้ตาย ต้องกินแต่อาหารที่เละ ๆ น้ำ ๆ เช่น ข้าวต้ม ผักต้ม เนื้อปลาที่ย่อยง่าย ๆ เพราะระบบการย่อยมันเสียไปแล้ว ผมป่วยหนักมาราธอนอย่างนี้นานต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย จนต้องให้หมออีกโรงพยาบาลหนึ่งตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยการสอดกล้องเข้าไปดูอย่างละเอียด ซึ่งหมดค่าตรวจไปหลายแสนบาท และทำให้พบโรคใหญ่อีกโรคหนึ่ง คือเยื่อบุกระเพาะอักเสบ !!!

“ตอนนั้นน้ำหนักผมลดลงอย่างฮวบฮาบจาก 86 กิโลกรัม เหลือ 60 กิโลกรัม ลดลงไปถึง 26 กิโลกรัม จนทุกคนในครอบครัวเตรียมทำใจ คิดว่าอย่างไรผมก็ไม่รอด ต้องตายแน่ ๆ ซึ่งตอนนั้นน้องชายผมเตรียมจะไปซื้อโลงศพแล้ว ส่วนญาติคนอื่นก็เตรียมจองวัดไว้เผาศพผม ซึ่งทุกคนคิดว่ากำลังจะตายในไม่ช้านี้


ตอนน้ำหนัก 86 กก. ก่อนป่วย
ตอนน้ำหนักลดเหลือแค่ 60 กก. ผมรวบรวมกำลังไปร่วมขบวนยกเสลี่ยงอัญเชิญหลวงปู่

“อย่าว่าแต่ญาติและคนในครอบครัวเลยที่คิดว่าผมจะตาย ตัวผมเองก็คิด เพราะสภาพผมร่อแร่เต็มที เหมือนหนังหุ้มกระดูก ไร้เรี่ยวแรง แต่ไม่ว่าผมจะป่วยสาหัสมากแค่ไหน ก็ไม่เคยทิ้งเรื่องการทำบุญเลย จึงตัดสินใจปิดบัญชีเอาเงินที่เหลืออยู่ก้อนสุดท้ายของชีวิตจำนวน 2 S ไปทำบุญเป็นประธานกองกฐินในช่วงต้นปี 2554 ขณะที่ป่วยทันที ซึ่งในใจผมคิดต่อไปว่า จริง ๆ อยากทำให้มากถึง 1 M เพราะไหน ๆ จะตายแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน เพราะแค่เงินรักษาพยาบาลก็ยังไม่ค่อยจะมี เนื่องจากผมไม่อยากเป็นภาระให้กับคนในครอบครัวมากนัก แต่พอคิดอย่างนี้ได้ไม่นาน อยู่ ๆ ผมก็ได้เงินค่าเช่าจุลดิศแมนชั่นที่ผมเป็นกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดแห่งนี้ เขาส่งเงินจำนวน 5,000 บาท เป็นค่าเช่าแมนชั่นส่วนตัวมาให้ เลยทำให้ผมนึกออกว่า นี่ไง..ผมยังเหลือสมบัติชิ้นสุดท้ายอยู่ จากนั้นผมก็ไม่รอช้า ตัดสินใจขายแมนชั่นส่วนที่เป็นของผมทันที เพราะอยากจะเอามาทำบุญให้ได้ก่อนตาย  ซึ่งก็โชคดีขายได้เงินทั้งหมด 8 S ต่อมาผมก็รีบนำไปทำบุญทอดกฐิน รวมกับที่ทำไปแล้ว 2 S รวมเป็น 1 M สมดังความตั้งใจภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว 


จุลดิศแมนชั่น จังหวัดนครราชสีมา

“ตอนที่ผมถวายปัจจัยทำบุญ ผมอธิษฐานว่า ถ้าผมไม่หายก็ให้ตายเถิด และถ้าตายก็ขอให้ตายอย่างองอาจ ตายอย่างผู้มีบุญ ตายในอู่ทะเลบุญ พอถวายเสร็จผมร้องไห้เลยครับ เพราะปลื้มมาก รู้สึกเหมือนชนะทุกสิ่งได้แล้ว เพราะผมเกิดมาก็มาแต่ตัว พอจะตายผมก็เอาสมบัติที่ทุ่มเทหามาทั้งชีวิต มาเปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ฝากไว้ในพระศาสนา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างสมบูรณ์ก่อนตาย ซึ่งถ้าผมตายผมก็ตายตาหลับ

“วันนั้นความปีติมันทำให้ผมไม่อ่อนเพลีย ลืมความทุกข์ทรมานของสังขารไปเลย รู้สึกสดชื่นอิ่มบุญมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากวันนั้น ผมก็มีความปลื้มหล่อเลี้ยงใจอย่างตลอดต่อเนื่อง

“ด้วยความที่มีปีติหล่อเลี้ยงและใจอยู่ในบุญนี่เอง ทำให้สภาพร่างกายของผมเริ่มดีขึ้นนิดหน่อย ผมจึงรวบรวมกำลังมาร่วมขบวนยกเสลี่ยงอัญเชิญหลวงปู่ทองคำเวียนประทักษิณรอบมหาธรรมกายเจดีย์ แม้ว่าผมต้องฝืนร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ผมก็คิดว่า นี่อาจจะเป็นการอัญเชิญหลวงปู่ครั้งสุดท้ายของผม  ผมต้องเอาบุญใหญ่นี้ติดตัวไปให้ได้มากที่สุดก่อนที่ผมจะตาย

“หลังจากทำบุญใหญ่ไป 2 สัปดาห์ อยู่ ๆ ก็มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นกับผม คือ มีคนมาแนะนำว่า ป่วยหนักขนาดนี้ ให้ลองกินน้ำหมักชีวภาพที่หมักจากผักผลไม้ดูสิ ผมจึงคิดว่า เคยรักษามาทุกวิธีแล้ว ไหน ๆ ก็อาจจะต้องตายแล้ว ลองดูอีกสักวิธีจะเป็นอะไรไป แต่ด้วยเดชะบุญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ พอผมดื่มไปสัก 2 สัปดาห์ ก็พบว่า อาการเริ่มทยอยดีขึ้น และพอผมเปลี่ยนเป็นสูตรที่เข้มข้นขึ้น ระบบการย่อยอาหารของผมก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ ร่างกายเริ่มฟื้นตัว เลือดก็หยุดไหล น้ำหนักเริ่มกลับมา โดยที่ผมไม่ต้องกินยาอะไรเลย จนลูกสาวผมที่เป็นหมออายุรกรรมและศัลยกรรมได้นำเอาน้ำหมักชีวภาพจากการหมักผักผลไม้ที่ผมกินอยู่ ไปทำการตรวจเชื้อในห้องแล็ป ก็พบว่า มีจุลินทรีย์ประเภททนกรดที่ให้คุณหลายตัว คือช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ทำให้โรคลมในกระเพาะหาย จนทำให้ร่างกายผมเข้าสู่ภาวะสมดุล และหายจากโรคเยื่อบุกระเพาะอักเสบ และโรคริดสีดวงทวารหนักในที่สุด

“จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ที่ผมหายจากโรคที่เป็นอยู่สนิทเลย หลังจากที่ทำบุญทอดกฐินผ่านไปแค่ 4 เดือนเท่านั้นเอง ทั้ง ๆ ที่ผมป่วยหนักรักษามานานถึง 1 ปี กว่า ๆ จนผมรู้สึกทึ่งกับการรอดชีวิตครั้งนี้ และยังแข็งแรงขึ้นจนคนรอบตัวผมต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กัน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าผมจะรอด งานนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะอานุภาพบุญจากการเป็นประธานกองกฐินโดยแท้  เพราะน้ำหมักชีวภาพนั้น ชาวบ้านชาวเมืองเขาฮิตกินกันก่อนที่ผมจะป่วยตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีอะไรบันดาลใจให้ผมไปกิน และบางคนกินแล้วโรคก็ไม่หาย แต่พอผมตัดสินใจทำบุญใหญ่ บุญนี้เลยไปตัดรอนวิบากกรรมและส่งผลให้ผมหายด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ไม่พิสดารอะไรเลย ผมว่าบุญคุ้มครองชีวิตผมแท้ ๆ บันดาลให้ผมได้เจอคนดี ๆ เอาสิ่งดี ๆ มารักษาผมให้รอดชีวิตได้อย่างอัศจรรย์ จนผมแข็งแรงและสามารถกลับมาทำงานได้ใหม่ ซึ่งปัจจุบันผมก็ดำเนินกิจการบริษัทของตนเองซึ่งมีอยู่ก่อน คือ บริษัทฮอลล์ ออฟ เฟม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เป็นอย่างดี  และยังมีเพื่อน ๆ ชวนเข้าหุ้นเปิดบริษัทใหม่เพิ่มขึ้นอีก  3 บริษัท คือ บริษัท กันเองทั้งนั้น จำกัด, บริษัท W.S.K. 2012 International จำกัด, บริษัท ภาพ เสียง อักษร จำกัด ทุกวันนี้..ผมมีความสุขมากครับ”






Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ


                     
รอดตาย..เพราะสมบัติชิ้นสุดท้ายจัดให้ รอดตาย..เพราะสมบัติชิ้นสุดท้ายจัดให้ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:51 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.