ตอบแทนคุณ
ครั้งนั้นมารดาฝากเครื่องประดับกายของข้าพเจ้ามากับญาติผู้นั้นหลายชิ้น มีสายสร้อยทองคําหนัก ๖ สลึง พร้อมด้วยจี้ทับทิมเม็ดโต แหวนพลอยสีผักตบเรือนทองคํา ๑ วง แหวนทองคําหัวทับทิมอีก ๑ วง สร้อยข้อมือทองคําอีก ๒ เส้น จําน้ำหนักไม่ได้แต่เส้นค่อนข้างโต เพราะแม่คิดว่าเมื่อลูกมาอยู่ในกรุงเวลาไปไหนกับญาติผู้ใหญ่คนนั้นจะได้ไม่ทําให้เขาเสียหน้าว่ามีเด็กยากจนไปด้วย จึงให้เครื่องประดับติดตัวไว้ให้ข้าพเจ้าใช้ ทั้งข้าพเจ้าเองก็เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ควรใช้เครื่องประดับได้แล้ว จึงไว้ใจฝากมากับผู้ปกครอง สําหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ของข้าพเจ้า พ่อเป็นคนส่งให้ทุกเดือนไป
มารดาของข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่าฝากเนื้อไว้กับเสือ ญาติผู้นั้นนําเครื่องประดับทุกชิ้นของข้าพเจ้าไปขายเล่นไพ่จนหมด ขายจนกระทั่งเข็มขัดเงินที่เอวของข้าพเจ้า เตารีดเหล็กที่ใช้ถ่านไฟ และแย่งปากกาหมึกซึมซึ่งข้าพเจ้ากําลังเขียนทําการบ้านอยู่กับมือ นําเงินไปเล่นไพ่ เงินที่ข้าพเจ้าเก็บออมไว้จากค่าขนมกลางวันซ่อนไว้ในปกหนังสือ ก็ถูกรื้อค้นไปจนหมด
วันใดเล่นได้มาก็จะซื้ออาหารการกินมากมาย กินกันอย่างฟุ่มเฟือย วันใดเล่นไพ่เสียก็ต้องกินข้าวกับน้ำปลา บางครั้งแม้น้ำปลาก็หมด ต้องใช้เกลือแทน
ที่สาหัสที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้หายจากบ้านไปเล่นในบ่อนไพ่ต่างถิ่น ค้างคืนไม่กลับบ้านสองวันสองคืน ข้าวสารในบ้านหมดลง ข้าพเจ้าไม่มีเศษเงินใดๆ เหลืออยู่เลย เพราะถูกขโมยไปจนหมด แต่ต้นแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีอาหารกิน ครั้นจะขอยืมจากเพื่อนบ้านก็รู้สึกอาย จึงใช้วิธีกินใบฝรั่งอ่อนๆ กับน้ำเปล่า ก็กินได้ไม่มากเพราะใบฝรั่งมีรสฝาดเฝื่อน เมื่อไปโรงเรียน พอเวลาหยุดพักกลางวัน ทางโรงเรียนบังคับให้นักเรียนเดินเข้าแถวไปโรงอาหารทุกคน ใครไม่รับประทานอาหารของโรงเรียนก็ต้องเอาปิ่นโตหรือห่อข้าวมากินเอง แต่ข้าพเจ้าไม่มีอะไรมากินเลยจึงต้องขออนุญาตครูประจําชั้นไปเข้าห้องส้วม และก็แอบอยู่ในห้องส้วมจนกว่าเพื่อนๆ จะเลิกรับประทานอาหาร
ย่างเข้าวันที่สาม ข้าพเจ้ากลับจากโรงเรียนรู้สึกหน้ามืด วูบลงตรงหัวบันไดบ้าน มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อมีน้ำเย็นลูบใบหน้า ชายคนจีนกวางตุ้งอายุ ๓๖ ปี เป็นช่างต่อเรือมาเห็นเข้า เมื่อซักถามข้าพเจ้ารู้เรื่องแล้วเขาได้นําปิ่นโตไปซื้อก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามาให้ถึง ๒ ปิ่นโต ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอาหารครั้งนั้นช่างเอร็ดอร่อยราวอาหารทิพย์ ข้าพเจ้ามองหน้าชายชาวจีนผู้นั้นด้วยความรู้สึกในพระคุณเป็นล้นพ้น
“อีคงนี้มังใจร้ายจิงๆ ป่อยเหล็กให้อกข้าวได้เป็นวังๆ” เขาบ่นญาติข้าพเจ้าซึ่งเขารู้จักดีด้วยภาษาไทยสําเนียงจีน
ข้าพเจ้าไม่ออกความเห็น ได้แต่ยกมือไหว้ขอบพระคุณครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับนึกในใจว่า
“เจ๊กคนนี้มีบุญคุณต่อเรานัก แกเป็นคนไม่มีญาติพี่น้อง ต่อไปภายภาคหน้าถ้าเราได้ดิบได้ดี มีเงินใช้ มีปัญญาสร้างที่อยู่อาศัย หากแกตกระกําลําบาก เราจะเอาตัวไปอุปการะเลี้ยงดูให้เป็นอย่างดี”
จากนั้นข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดามารดาทราบ ท่านทั้งสองจึงมารับข้าพเจ้ากลับไปเรียนที่โรงเรียนสตรีประจําจังหวัดตามเดิม
บทเรียนเรื่องการคบกับนักเลงการพนันในครั้งนั้นมีราคาแพงต่อครอบครัวของข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเกลียดการพนันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งเกลียดเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เมื่อข้าพเจ้าจากไปไม่นาน ญาติผู้นั้นก็ล้มป่วย ในที่สุดก็ถึงแก่กรรมไปโดยไม่มีสิ่งมีค่าอะไรเหลืออยู่ในบ้านเลย แม้แต่ถ้วยชามดีๆ ท่านก็เก็บขายจนหมด ไม่เหลือกระทั่งแก้วน้ำดื่ม
ต่อมาอีก ๑๙ ปี ข้าพเจ้ามีอาชีพรับราชการในตําแหน่งหัวหน้าแผนกในกระทรวงศึกษาธิการ มีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างดี จึงได้ติดตามเอาตัวชาวจีนคนนั้นมาอุปการะจนได้
การติดตามหาตัวในครั้งนั้นเป็นปี พ.ศ.๒๕๐๗ ข้าพเจ้าใช้เวลาสืบหาอยู่ถึง ๘ เดือน จึงได้พบว่า ชาวจีนท่านนี้ตาบอดสนิททั้ง ๒ ข้าง มีชีวิตอยู่กึ่งรับจ้างกึ่งขอทาน คือเมื่อแม่บ้านในหมู่บ้านนั้นจะไปจ่ายตลาด ก็จะนําลูกเล็กๆ มาฝากไว้ที่แคร่อาศัยของท่าน เด็กที่ยังนอนแบเบาะก็เอามุ้งครอบไว้ ที่ถัดได้คลานได้ก็เอาเชือกผูกขาไว้ เมื่อกลับจากตลาด ทํากับข้าวเสร็จแต่ละบ้านที่ฝากเด็กก็จะตักกับข้าวใส่ชามมาให้แทนค่าจ้าง มีชีวิตอยู่ดังนี้เป็นปีๆ ข้าพเจ้าได้นําชาวจีนผู้มีพระคุณนี้มาผ่าตัดรักษาตาที่โรงพยาบาล ตาก็หายเป็นปกติและอยู่กับข้าพเจ้าอย่างเป็นสุขมา ๔-๕ ปี จึงถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งในตับ เพราะเคยดื่มสุราไว้มากในสมัยเป็นหนุ่ม ตายแล้วตกนรกขุมย่อยเพราะโทษของการดื่มสุรา และฆ่าเป็ดไก่ไหว้เจ้า ภายหลังด้วยการทํากุศลใหญ่ของข้าพเจ้า ทั้งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จึงช่วยให้พ้นจากนรกไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นต้น
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
ตอบแทนคุณ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: