พลิกชีวิตกรรมกร


กรรมกรหญิงผู้ยากไร้คนนี
อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่
ให้คุณรวยเป็นรายต่อไป!!!

เธอชื่อ คําอ้อย คุณวิจา อายุ 35 ปี ปัจจุบันมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาตกแต่งสีเฟอร์นิเจอร์

ตอนเด็ก ๆ เวลาคุณครูถามนักเรียนว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ไม่มีเด็กคนไหนเลยที่บอกว่าใฝ่ฝันอยากเป็นกรรมกร เพราะทุกคนรู้ว่า กรรมกรเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย ลําบาก ถูกกดขี่ หนําซ้ำกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท ต้องถูกใช้แรงงานอย่างแสน สาหัส ซ้ำร้ายยังเลื่อนลอย ไม่มีหลักแหล่ง ต้องระเหเร่ร่อนไปตามไซต์ก่อสร้างต่าง ๆ อย่างไม่รู้อนาคต แต่เนื่องจากเรามีความรู้น้อย จึงไม่มีทางเลือก ทําให้ต้องทนทํา เพราะดีกว่าอดตาย

จนกระทั่งต่อมาสภาพร่างกายเราสู้ไม่ไหว จึงมาสมัคร เป็นสาวโรงงานเย็บผ้า เพราะคิดว่าน่าจะสบายขึ้น แต่ที่ไหนได้ เราต้องเข้างานตั้งแต่ 6 โมงเช้า เลิก 4 ทุ่มทุกวัน และบ่อยครั้งต้องทํางานถึงเช้า อยู่ในสภาพไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เป็นอย่างนี้มานานถึง 5 ปี จนสุขภาพเราย่ำแย่ เกิดอาการไม่มีแรง ล้มป่วย ร่างกายซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนน้ำหนักลดไปถึง 19 กก. มีเพื่อนหลายคนที่ทํางานในโรงงานนี้ด้วยกันที่มีอาการป่วยคล้าย ๆ กับเรา แล้วลาไปรักษาตัวที่บ้าน และตายในที่สุด ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมเลิกอาชีพนี้ แล้วหันไปสมัครงานเป็นคนงานทาสีเฟอร์นิเจอร์กับเถ้าแก่คนหนึ่ง เพราะสามีเราก็เป็นคนงานทาสีอยู่กับเถ้าแก่คนนี้ด้วย แต่เงินก็ไม่เคยพอใช้เลย เพราะค่าจ้างรายวันที่ได้ พอหักค่าเช่าห้อง ค่าข้าว และส่งกลับไปให้แม่เป็นค่าเลี้ยงดูลูกด้วยแล้ว ก็แทบไม่มีเงินเหลือเลย จนบางเดือนต้องกู้หนี้ยืมสิน และที่แย่หนักไปกว่านั้น... เราโดนโกงค่าแรงหมดเลยถึง 3 ครั้งติด ๆ กัน คือ พอทําเสร็จเขาไม่ยอมจ่ายเงินจนเราเครียดหาทางออกไม่ได้ !!!


จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาชวนไปวัดพระธรรมกาย ซึ่งไปแล้วก็รู้สึกถูกจริต เพราะลองนั่งสมาธิตามที่หลวงพ่อสอน แล้วใจเราสงบมาก ต่อมาก็ได้สมัครบวชอุบาสิกาแก้ว และไปวัดเป็นประจํานับจากนั้นมา แต่เนื่องจากเราจนมาก จะทําบุญแต่ละครั้งทําได้มากสุดก็แค่ 5 บาท 10 บาทเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่อยากทําบุญเป็นประธานกองระดับ S เหมือนคนอื่นบ้าง แต่ไม่ว่าจะอยากทํามากแค่ไหน ก็ได้แค่แอบคิด เพราะชนชั้นแรงงานหาเช้ากินค่ำอย่างเรา จะไปเอาเงินจากที่ไหน เพราะแค่ข้าวแต่ละมื้อ หรือจะซื้ออะไรกินให้อิ่ม ๆ ท้อง ยังต้องคิดแล้วคิดอีก

จนกระทั่งในช่วงต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 เราได้ไปโปรยกลีบกุหลาบต้อนรับคณะพระธุดงค์ที่ร่วมขบวนอัญเชิญรูปหล่อทองคําหลวงปู่ไปวัดปากน้ำ เราจึงอธิษฐานกราบขอบารมีกับรูปหล่อหลวงปู่ที่เคลื่อนขบวนผ่านไปว่า หลวงปู่คะ...ขออย่าให้ลูกต้องเป็นลูกจ้างที่ได้แค่ค่าแรงเป็นรายวัน ต้องกัดก้อนเกลือกินแบบนี้ต่อไปอีกเลย ขอให้มีเหตุอัศจรรย์ ให้มีคนมาจ้างลูกทํางานรับเหมาทาสีเถิด ลูกจะได้มีเงินเป็นก้อนที่มากกว่านี้ ซึ่งขณะที่เราอธิษฐานขอหลวงปู่ ใจเราเกิดจิตเลื่อมใสในบารมีของท่านมาก แต่ลึก ๆ ก็ไม่ได้หวังอะไรเลย เพราะชีวิตเราแย่จนไม่เชื่อว่า...จะมีวันดีขึ้น

แต่หลังจากนั้นเพียง 10 วันเท่านั้น อยู่ ๆ ก็มีเพื่อนมาชวนเราไปเสี่ยงดวงกัน คือ ไปลองขอรับงานเหมาทาสีทั้งโครงการมาทํา บอกตรง ๆ ตอนนั้นเราไม่ได้หวังว่าจะได้เลย เพราะเราเป็นชนชั้นแรงงานที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้เขาเชื่อถือได้เลย ผิดกับผู้รับเหมารายอื่น ๆ หนําซ้ำเราเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการรับเหมาทาสีเฟอร์นิเจอร์ทั้งโครงการด้วย แต่ในที่สุด เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะเราได้งานรับเหมาทาสีเฟอร์นิเจอร์เป็นอัศจรรย์ โดยเขาให้ค่าเหมาทาสีเฟอร์นิเจอร์สูงถึง 1 หมื่นบาท ตอนนั้นเราดีใจสุดชีวิตเลย เพราะถือเป็นงานแรกของชีวิตที่เราหลุดจากวงโคจรของค่าแรงขั้นต่ำ และพอรับงานมาแล้วก็รีบช่วยกันทํากับเพื่อน แล้วแบ่งเงินกันเมื่อเสร็จงาน ตอนนั้นแม้จะเป็น รายได้ที่ไม่มาก ชนิดที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเราได้กําไรต่อคนก็แค่พันกว่าบาท แต่ก็ถือเป็นเงินรายได้ที่เยอะมากของเราแล้ว และนับจากนั้น เรากับเพื่อนคนนี้ก็ได้งานรับเหมาทาสีเพิ่มขึ้นอีกหลายเจ้า แต่ช่วงที่งานเร่ง เราก็เกรงใจเพื่อนไม่กล้าขอเขาไปวัด ด้วยเหตุนี้ เราจึงอธิษฐานขอหลวงปู่ว่า "ขอให้ลูกได้เป็นเจ้าของงานรับเหมาด้วยตัวเอง โดยไม่ขึ้นกับใครเถิด ซึ่งพอขอเสร็จ วันรุ่งขึ้น เพื่อนเกิดเป็นอะไรไม่ทราบมาบอกเราว่า ให้แยกกันทําเถิดนะ เพราะมีงานใหม่เข้ามาซ้อนทับกัน ให้เราไปช่วยรับงานใหม่ของอีกเจ้าหนึ่ง เนื่องจากเขาทําไม่ทัน และนับจากนั้น...เราก็รับงานเหมาทาสีเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นกับใคร ทําให้เราสามารถไปวัดได้บ่อย ๆ อย่างที่เราต้องการ...



จนกระทั่งตอนก่อนถึงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 เรามาทราบว่าที่วัดจะมีการหล่อหลวงปู่องค์ที่ 6 ซึ่งในช่วงนั้น เราได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้รับแจกจากวัด พออ่านแล้วก็อยากทําบุญขึ้นมาใจจะขาดเลย เพราะเห็นคนในหนังสือเขาทําบุญแล้วชีวิตดีขึ้นทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงตัดสินใจเอาเงินที่แอบเก็บมาตลอดชีวิตจํานวน 2 หมื่นบาท มาทําบุญหล่อทองกับหลวงปู่ทันที ทั้ง ๆ ที่เงินก้อนนี้ มันคือชีวิต คือ อนาคต คือเงินฉุกเฉินที่จะเอาไว้ให้ลูกที่ยังเล็ก อีกทั้งเป็นเงิน ที่ตั้งใจเก็บไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย และที่สําคัญ เป็นเงินเก็บที่เราหามาจากน้ำพักน้ำแรงของชนชั้นกรรมาชีพ ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนเป็นเงินที่ไม่มากสําหรับเศรษฐี แต่มันเป็นจํานวนเงินที่สูงมาก และจําเป็นมากสําหรับครอบครัวเราที่มีลูกเล็ก ๆ ที่ยังมองไม่เห็นอนาคต!!!

แต่พอเราตัดสินใจเอามาทําบุญแล้ว ใจมันเปลื้มสุดชีวิตเลย ปลื้มจนน้ำตาไหล เพราะเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเราหมดตัวเลย เหมือนตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีค่าเป็นศูนย์ เหมือนเราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่หมดท่ามกลางความมืดมิดรอบด้าน แต่ก็แปลกนะ.. ทําไมตอนนั้น เรากลับไม่กลัวอนาคตเลย แถมรู้สึกยอมรับได้หมดแม้เราจะต้องอดตาย เพราะเราผ่านช่วงชีวิตที่แย่ที่สุด ยากจนที่สุดมาหมดแล้ว ตรงกันข้าม เรากลับมีความภูมิใจที่คนรวยที่สุดหลายคนทําอย่างเราไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราจะเอาเงินก้อนนี้ไป ดาวน์บ้าน หรือดาวน์รถ ซื้อมอเตอร์ไซค์ หรือซื้อความสะดวกสบายก็ได้ แต่ทุกวันนี้เรายังอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ขนาด 3 คูณ 3 เมตร โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 2,200 บาท ยังต้องนั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน และกินอาหารแบบเดิม ๆ




ตอนนั้นแม้ใครมาทัก เราก็ไม่รู้สึกเสียดายเลย แต่ กลับปีติทั้งวันทั้งคืน นึกภูมิใจเหลือเกินที่ชนชั้นแรงงานอย่างเราทําได้ แต่พอทําแล้ว เราก็ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า เราเอาเงินที่เรากันไว้ยามฉุกเฉินของชีวิตมาทําบุญ ขอให้นับจากนี้ ชีวิตเราอย่าได้เจอเรื่องฉุกเฉินร้ายแรงใด ๆ ทั้งสิ้น ให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ได้งานรับเหมาที่มั่นคง ไม่โดนโกง และเป็นงานใหญ่ ๆ ได้เงินเป็นก้อน

นับจากอธิษฐานไปแค่ 3-4 สัปดาห์เท่านั้น อยู่ ๆ ก็ได้งานใหญ่มูลค่า 1 ล้านบาทแรกในชีวิต ตอนนั้นเราตกใจมาก เพราะเราเคยรับงานเหมาโครงการใหญ่มากที่สุดก็แค่ระดับหมื่นบาทเท่านั้น และจากงานนี้เอง ชีวิตเราพลิกเลย พลิกอย่างแตกต่างจากที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะเราได้กําไรเป็นเงินแสนก้อนแรกของชีวิต





ตอนนั้นเราดีใจที่สุด ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า คนจน ๆ อย่างเราจะมีโอกาสจับเงินแสนที่เป็นของเราเองสักครั้งในชีวิต เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้จับเงินแสนเลย ซึ่ง ณ วินาทีนั้น สิ่งแรกที่เราคิดถึงก็คือ เราหวนนึกถึงเมื่อครั้งแรกที่เราเข้าวัดพระธรรมกายใหม่ ๆ ว่า ถ้าเรามีเงินเป็นแสน จะขอเป็นประธานกองกฐินให้ได้สักครั้งในชีวิต


จากนั้นเราก็ไม่รอช้า ไปบอกสามีให้อนุโมทนาบุญกับเรา เพราะจะเอาเงินแสนแรกของชีวิตนี้ไปทำบุญเป็นประธานกองกฐิน ซึ่งตอนแรกสามีก็ไม่เห็นด้วยทันที จึงทัดทานเราว่า..ตั้งแต่เกิดมาเรา 2 คน ก็ไม่เคยมีเงินกันมากถึงขนาดนี้เลยนะ ให้เก็บเอาไว้เป็นทุนต่อกิจการเถิด หรือเผื่อเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร เพราะเราก็เพิ่งเริ่มต้นรับงานเหมา อีกทั้งเราก็ยังไม่รู้ว่า ในอนาคตเราจะได้งานรับเหมาแบบนี้อีกหรือเปล่า

พอเราฟังแล้วก็ยังขอยืนยันกับสามีว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ขอเอาเงินก้อนนี้ทําบุญเถิด เพราะเงินนี้เป็นเงินส่วนตัวที่เราได้หามาเอง ให้เธอลองคิดดูเถิด ตลอด 10 ปีที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน เราลำบากกันมามาก แต่พอจะเริ่มลืมตาอ้าปากได้บ้าง ก็มีแต่คนโกงเรา 3-4 งานมาตลอด แต่พอเอาเงินเก็บทั้งหมดหล่อหลวงปู่ไปแค่ 2 หมื่น เราก็ได้งานในระดับล้านครั้งแรกของชีวิต ให้เธอคิดดูดี ๆ นะ ชีวิตเราเพิ่งเริ่มต้น ถ้าเรามีบุญไม่พอ เราจะกลับไปจนในสภาพเดิมอีก พอสามีฟังเราอธิบายอย่างนี้ เขาก็มาขอโทษเรา มากราบขอขมาที่รูปหลวงปู่ ยอมมาทําบุญเป็นประธานกองกฐินด้วยกัน

ตอนนั้นมีแต่คนหาว่าเราบ้า เวอร์ ทําบุญเกินตัว ไม่เจียม ไม่คิดถึงอนาคต หรือโดนวัดหลอกไปแล้ว แต่เราก็ไม่หวั่นไหวเลย ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เพราะเราอยากจะรื้อผังจน ชาติหน้าเราไม่อยากเป็นกรรมกร ไม่อยากลําบากอย่างนี้อีกแล้ว เราอยากรวย จะได้มีเวลาไปนั่งสมาธิและเข้าถึงธรรมจะได้หมดกิเลสเร็ว ๆ

ด้วยบุญจากการเป็นประธานกองกฐินที่เราทุ่มเทแบบหมดใจนี้เอง หลังจากนั้นเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น ปรากฏว่า เราได้รับงานเหมามูลค่า 1 ล้านบาท เพิ่มอีก 1 โครงการ และสามีก็ได้รับงานเหมาเจ้าใหม่มูลค่า 2 ล้านบาท แบบปาฏิหาริย์

ตอนนี้เราทั้ง 2 ซาบซึ้งกับบุญที่ทํากับหลวงปู่มาก เพราะพลิกชีวิตชนชั้นกรรมาชีพอย่างเราให้ลืมตาอ้าปากได้ อีกทั้งยังทําให้เราดีวันดีคืนด้วยระยะเวลาไม่กี่เดือน รู้สึกทันที เลยว่า...ตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเลยที่กล้าตัดสินใจหล่อหลวงปู่ ในวันนั้น เพราะมันเปลี่ยนชีวิตเราตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ให้พลิกไปอย่างสิ้นเชิง จนเราเองก็รู้สึกทึ่งในอานุภาพของท่านจริง ๆ รู้สึกตัวเองโชคดีที่ได้ไปวัดพระธรรมกาย ได้ฟังคําสอน ของหลวงปู่ หลวงพ่อ และคุณยาย และขอบคุณกัลยาณมิตรที่ชวนเราเข้าวัดในวันนั้น ที่ทําให้เรามีวันนี้...


Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
อ้างอิง : หนังสือเรื่อง "ชีวิตจะเปลี่ยนไป ถ้าใจกล้าเปลี่ยนแปลง" เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556


พลิกชีวิตกรรมกร พลิกชีวิตกรรมกร Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 19:27 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.