พระอรหันต์ของลูก
ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องสลดใจที่ลูกๆ
ในยุคสมัยปัจจุบันทํากับพ่อแม่บ่อยๆ ตอนบ่ายวันอาทิตย์ที่วัดพระธรรมกายแทบทุกอาทิตย์
มักมีบรรดาพ่อหรือแม่ของเด็กวัยรุ่นมาเล่าความทุกข์ยากที่ลูกทํากับพวกเขาอยู่เสมอ
ข้าพเจ้าฟังครั้งใดรู้สึกอเนจอนาถใจทุกครั้ง หรือว่าคนยุคนี้เติบโตขึ้นด้วยน้ำนมของสัตว์
จิตใจจึงได้โง่เขลาเบาปัญญาอย่างสัตว์ไม่รู้บุญคุณของพ่อแม่
“คุณป้าคะ หนูจะทํายังไงดี
หนูมีลูกอยู่คนเดียวเป็นผู้ชายอายุ ๑๗ ปี หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อน
ทิ้งให้หนูอยู่คนเดียว เรามีกันเพียงสองคนแม่ลูก
พ่อเขาทิ้งไปมีเมียใหม่ตั้งแต่แกยังเล็ก นี่แกก็มาทิ้งหนูไปอีกคน หนูเสียใจเหลือเกิน
คุณป้าให้คําแนะนําหนูหน่อย” เล่าไปร้องไห้ไป
“ป้าครับ ลูกชายผมไม่ยอมพูดกับผมเลย เค้ามองหน้าผมเหมือนเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้
เวลาเค้าทําผิดร้ายแรง ถ้าผมทุบตีลงโทษบ้างเพื่อให้เข็ดหลาบ เช่น เรื่องขโมยเงินทองของมีค่าอะไรยังงี้น่ะครับ
เขากลับสู้ผม ต่อยผมซะล้มก้นกระแทกไปเลย ท้าไปสู้กันที่ทุ่งนาโน่น ผมด่ามัน
มันก็ด่าผมตอบ ผมกับแม่เด็กเป็นทุกข์ใจจริงๆ แม่เค้าร้องไห้แทบทุกวัน”
นี่ก็อีกรายหนึ่งหน้าตาเศร้าหมองมานั่งเล่าเรื่องของลูกบังเกิดเกล้า
“ป้าขา หนูทําผิดจริงๆ หนูไม่เชื่อป้า
ป้าขอให้เอาตัวอย่างของป้า ถ้ามีความแตกแยกขึ้นในครอบครัวให้กัดฟันเลี้ยงลูกให้ได้
อย่ามีสามีใหม่ ให้เอาอย่างแม่หมาข้างถนน มันเลี้ยงลูกของมันตามลําพัง ครอกแล้วครอกเล่าโดยไม่มีพ่อช่วย
มันยังเลี้ยงลูกได้จนโต ครอกละตั้งหลายๆ ตัว เราเป็นคนดิ้นรนหากินได้ไม่อดตายหรอก
ลูกเราไม่กี่คน แต่หนูไปใจอ่อนกับผู้ชายคนใหม่ พอให้สามีใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านเท่านั้น
ลูกสาวหนีออกจากบ้านไปแล้ว กว่าจะตามตัวพบติดทั้งทินเนอร์ ติดทั้งผง ไปขายตัว เสียผู้เสียคน
ป้า...หนูจะทํายังไงดี ลูกยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมเลยค่ะ” รายนี้เล่าแทบไม่จบ
เพราะสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลดังสายน้ำ
“นี่เธอ” รายนี้เป็นเพื่อนเก่า จึงเรียกข้าพเจ้าว่าเธอ
“เรามีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
เค้าไม่เกเรเลยแต่เค้ามีความทุกข์มาก เพราะไปรักผู้หญิงที่มีอะไรๆ เหนือกว่า
มีความรู้สูงกว่า มีฐานะดีกว่า ผู้หญิงก็รักลูกเรานะ แต่ญาติพี่น้องของผู้หญิงซี พวกเค้ารังเกียจว่าลูกเราไม่คู่ควร
ผู้หญิงก็เกรงใจญาติ ไม่กล้าแต่งงานกับลูกเรา ต้องพบกันอย่างแอบๆ ซ่อนๆ
ลูกเราก็เลยกลายเป็นคนเซื่องซึมอมทุกข์หงอยเหงา ทั้งที่อายุแค่ ๒๔ ปี
เราไม่รู้จะทํายังไง” นี่ก็เล่าไป เอาผ้าเช็ดน้ำตาไป
ดูหน้าคนเป็นแม่แล้ว ข้าพเจ้าว่าหน้าตาอมทุกข์มากกว่าลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียอีก
อีกรายหนึ่ง พวกเรารักท่านกันมาก พวกเราหมายถึงลูกศิษย์วัดพระธรรมกายกลุ่มที่นั่งอยู่ท้ายๆ
ศาลาด้านซ้าย แต่แล้ววันหนึ่งท่านก็มาบอกว่า เดือนกันยายน ๒๕๓๑
ท่านไม่สามารถไปร่วมบุญปล่อยสัตว์ปล่อย-ปลา ที่วัดแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดกับพรรคพวกเสียแล้ว
เพราะต้องไปร่วมในพิธีแต่งงานของลูกชาย เวลาพูดบอกอยู่นั้น ทุกคนก็สังเกตใบหน้าท่านออก
มีรอยวิตกกังวลหม่นหมอง จนบางคนอดไม่ได้ต้องถามว่า
“ไม่ชอบใจว่าที่ลูกสะใภ้หรือคะ ดูหน้าตาไม่สดชื่นเลย”
ผู้ถูกถามซึ่งเป็นแม่ชนิดอายุ ๗๔ ปี ลูกชายเป็นปลัดอําเภอตอบว่า
“ไม่ใช่ยังงั้น มันเป็นรักสามเส้าน่ะค่ะ
ผู้หญิงคนที่ตื้อลูกชายอยู่นี้ เค้าเป็นคนบังคับให้จัดงาน ถ้าไม่จัดงานแต่ง
เค้าก็บอกว่าจะต้องกลายเป็นจัดงานอื่นแน่ ฝ่ายชายก็เกิดชอบผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ดิชั้นเลยนั่งกลุ้มอยู่นี่ กลัวผู้หญิงคนแรกเค้าจะฆ่าตัวตายประท้วง” ทุกข์กันไปอีกคนละแบบ
ข้าพเจ้าจะไม่เล่าถึงคําแนะนําต่างๆ ที่พูดให้กําลังใจเหล่าพ่อแม่มีปัญหาเหล่านี้เพราะไม่ใช่เพียง
๔-๕ ราย ที่เล่านี่มีอีกนับไม่ถ้วน
แต่อยากคุยกับผู้เป็นลูก ในฐานะที่ข้าพเจ้าเองในชีวิตนี้ก็มีลูกจริงๆ ถึง ๓ คน ลูกศิษย์อีกมากมาย
อยากให้ลูกเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้เป็นพ่อแม่ทุกคนในโลกนี้ ไม่มีความกังวลห่วงใยอะไรเลยที่จะใหญ่หลวงเท่าความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนเอง
จําได้ว่าเพียงรู้ว่าตั้งครรภ์เท่านั้น ข้าพเจ้าต้องเข้มงวดกวดขันตัวเองต่างๆ นานา
เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหารเวลามีอาการแพ้ท้องก็ไม่สามารถกินอะไรได้เอร็ดอร่อยอย่างเคย
รู้สึกหิวจนแสบท้อง แต่ปากก็ไม่ยอมให้อาหารอะไรๆ ผ่าน ไม่อยากกินอะไรเลยกระทั่งน้ำธรรมดา
ดื่มผ่านลิ้นผ่านลําคอก็ให้ผะอืดผะอม ยังดีที่ข้าพเจ้ามีอาการป่วยดังนี้ในท้องแรกเท่านั้นที่เรียกว่ารุนแรง
อีก ๒ ท้องหลังพออดทนได้ แม้จะหายจาก อาการแพ้ท้อง เรื่องอาหารการกินก็ยังต้องระวังให้ดี
ของบางอย่างเคยชอบกิน พอเห็นว่าอาจจะมีโทษถึงลูก เช่น ของดอง ของเผ็ด ของสุกๆ ดิบๆ ก็ต้องงดรับประทาน ต้องไปอดทนกินของที่ไม่ชอบ
ทั้งนี้เพื่อสุขภาพของลูก เมื่อท้องเริ่มโตขึ้นๆ
น้ำหนักตัว น้ำหนักที่ท้องก็มากเข้า บางทีท้องก็ใหญ่จนมองไม่เห็นปลายเท้า
ขณะเดินเหินลุกนั่งระวังไม่ดี ถึงกับหกล้มทีเดียว ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าหกล้มที่ท่าเรือเกือบตกน้ำตาย
ตอนลูกในท้องตัวโตดิ้นได้ เป็นอีกตอนหนึ่งที่ลูกมักจะกระทุ้งท้องแม่
ทําให้ท้องโย้ไปทางโน้นทางนี้ เวลาเดียวกันแรงกระทุ้งก็ทําให้เกิดอาการขัดยอก
บางครั้งถึงเดินไม่ไหวทีเดียว
ทีนี้พอถึงวันสําคัญที่สุดในชีวิตทั้งของแม่ของลูก คือวันคลอด ข้าพเจ้าไม่เคยลืมอาการเจ็บปวดเหล่านั้น แม่คนอื่นๆ
ก็คงเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่ใคร่นํามาพูดคุย เกรงลูกจะหาว่าเราทวงบุญคุณ
เรื่องนี้คนอื่นจะคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่สําหรับข้าพเจ้า เวลาฟังมารดาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ
อันเป็นชีวิตในวัยทารกหรือเด็กเล็กที่จําความไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าจะซาบซึ้งในบุญคุณของท่านอยู่เสมอ
ถ้าแม่ในสมัยนี้จะเล่าบ้างลูกอาจจะมีความรู้สึกดังที่ข้าพเจ้าเคยมีนั้นก็ได้ นอกจากว่าแม่สมัยนี้ไม่ใคร่เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง
ยกให้เป็นหน้าที่ของคนรับใช้ไปเสีย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ลูกฟัง
ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกเอง จําได้ว่าเมื่อลูกเกิดขึ้นมาแล้ว
นับแต่วันนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่สักเพียงไหน
ก็ยังต้องคอยเป็นห่วง เป็นห่วงโดยไม่เลือกเวลา
กลางคืนดึกดื่นก็ต้องคอยตรวจตราอากาศหนาวจะลืมห่มผ้าหรือเปล่า อากาศร้อนเปิดหน้าต่างรับลมเต็มที่หรือไม่
เมื่อพวกเขายังเป็นทารกนอนแบเบาะนั้น เวลาเราจะนอนยังต้องใช้มือสอดไว้ใต้ผ้าอ้อมของพวกเขา
เมื่อเขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะมือของเราจะได้รู้สึกร้อน ทําให้รู้สึกตัวตื่น
จะได้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ใหม่
ก่อนที่ลูกจะคลอดออกมาให้เห็นหน้า ข้าพเจ้าก็เป็นห่วงไปต่างๆ นานา ลูกจะพิกลพิการรึเปล่า
จะเป็นเด็กโง่รึฉลาด จะดีหรือดี้อ จะขี้โรคหรือแข็งแรง ครั้นออกมาเป็นเด็กสมบูรณ์ดีก็ตาม
ก็เป็นห่วงเกรงจะมีอุบัติเหตุใดๆ ให้บกพร่องไปจากเดิม
แม้ที่พูดนี่จะเป็นความรู้สึกของข้าพเจ้า แต่เข้าใจว่าบรรดาผู้เป็นแม่ทั้งหลายคงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของข้าพเจ้ากว่าจะเลี้ยงเขาให้เติบโตขึ้นมาแต่ละคนนั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อย
ถ้าใครต้องพบกับลูกไม่ รักดี ไม่เข้าใจความทุกข์ยากความเสียสละของเราก็ควรปลงใจเสีย
ว่าเขามาทวงหนี้เอาก็แล้วกัน อดีตชาติเราคงจะเคยทําเรื่องพรรค์นี้กับเขาไว้ถึงเวลากรรมตามทันก็ต้องอดทนเอา
ขอให้นึกถึงว่าเมื่อก่อนเขาจะมาเกิด เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือก ที่ต้องมาเจอกันพบกันย่อมต้องมาจากการส่งผลของกรรมในอดีต
สําหรับผู้เป็นลูก ข้าพเจ้าอยากจะบอกท่านจริงๆ ว่า เพียงท่านทําตัวเป็นคนดีตามวัยของท่านเท่านั้น
พ่อแม่ก็มีความสุขอย่างยิ่งแล้ว วัยเด็กประพฤติตัวเป็นคนดี ตั้งใจเรียน
คบเพื่อนดีๆ ช่วยงานตามกําลัง วัยโตก็ให้เป็นคนอยู่ในศีลในธรรม แค่นี้พ่อแม่ก็ชื่นใจเหลือหลายแล้ว
ไม่ใช่วัยไหนๆ ก็ทําให้ท่านน้ำตาตก น้ำตาไหลหลากอาบหน้ากันอยู่ร่ำไป
ถ้าจะถึงกับน้ำตาไหลก็ขอให้เป็นน้ำตาเย็น
น้ำตาเย็นเป็นอย่างไรหรือ ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง
“ลูกกราบคุณป้าเสีย” เสียงแม่ผู้หนึ่งบอกลูกชายวัยรุ่น อายุประมาณ ๑๗-๑๘
ปี ทั้งคู่นั่งอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ภาพอย่างนี้ข้าพเจ้าไม่ใคร่เคยเห็น
ที่วัยรุ่นยุคนี้จะตามมารดามาวัด หาได้ยากเต็มที มีแต่ตามเพื่อนไปเสียที่อื่น
ข้าพเจ้าอยากให้กําลังใจเขาจึงบอกว่า
“ขอให้หนูมีความสุขความเจริญนะลูก นี่หนูรู้มั้ย ลูกมาวัดกับแม่เค้าเนี่ย
หนูได้บุญสองชั้นทีเดียว บุญชั้นแรกคือที่หนูทําใส่ตัวเอง เช่น เมื่อกี้เอาของไปถวายพระภิกษุท่าน
เป็นการทําทาน มาวัดแล้วก็ได้ถือศีลเจริญภาวนา
เดี๋ยวพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็สอนเรา นี่เป็นบุญธรรมดาที่ใครๆ ทําได้เท่ากันในวันนี้
แต่ของหนูน่ะได้บุญพิเศษ นอกเหนือจากคนอื่นอีกนะ
คือบุญที่หนูมาวัดเป็นเพื่อนคุณแม่นี่ยังไงล่ะ หนูทําให้แม่ของหนูมีความสุข
มีลูกเป็นเพื่อน แม่อบอุ่นใจ แม่รู้สึกสบายปลอดโปร่งใจมาก
เพราะไม่ต้องนั่งคิดว่าวันนี้เรามาวัด ลูกเราอยู่บ้าน เพื่อนมาชวนไปเที่ยวเสเพลที่ไหนหรือเปล่า
จะไปมีเรื่องมีราวเดือดร้อนยุ่งยากกันที่ไหนบ้าง ผลที่สุดแม่ของหนูก็ตกที่นั่ง ตัวอยู่วัดแต่ใจเที่ยวคิดถึงหนูเรื่อยไป
แม่ก็เลยไม่ใคร่ได้บุญ พอหนูมากับแม่ยังงี้ แม่ไม่ต้องห่วงอย่างที่ป้าว่านั่น แม่นั่งเห็นลูกอยู่ใกล้ๆ
ตัวตลอดเวลา ลูกจะฟังเทศน์รู้เรื่องหรือไม่ ทํากรรมฐานตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนหรือว่านั่งหลับ
แม่ไม่นึกว่าอะไรทั้งสิ้น ขอให้มีลูกอยู่ข้างกายเถอะ นี่แหละจ้ะ
ป้าถึงบอกว่าหนูได้บุญสองชั้น”
เด็กหนุ่มน้อยกล่าวรับคําของข้าพเจ้าตลอดเวลาสนทนา
“ครับ ครับ ครับ” ใบหน้าเป็นปกติ
แต่พอหันไปดูแม่ของเด็ก อ้าวร้องไห้น้ำตาไหลพรากถึงสะอื้นฮักๆ เป็นงั้นไป ไม่รู้คําพูดถูกใจอย่างไร
แต่นี้ไม่ใช่น้ำตาจากความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาเย็น น้ำตาไหลเพราะสุขใจ แม่ของเด็กคงอยากให้ข้าพเจ้าบอกลูกเขาอย่างนี้
ส่วนข้าพเจ้าเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับผลพลอยได้ไปด้วยหลังจากนั้นแทบทุกอาทิตย์
ลูกสาวของข้าพเจ้าถ้าไม่ติดอยู่เวร เพราะมีอาชีพเป็นพยาบาลแล้ว เธอจะตามไปวัดกับข้าพเจ้าไม่ขาด
บางทีทางโรงพยาบาลมีงานสําคัญขนาดนางงามจักรวาลมาเยี่ยมโรงพยาบาล ลูกข้าพเจ้าก็ไม่อยู่ต้อนรับ
ข้าพเจ้าสงสัยเต็มที เพราะไม่เคยเห็นดังนี้มาก่อนมีแต่อ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมไปด้วยกันอยู่บ่อยๆ
ที่อ้างมากคือเรื่องง่วงนอน
“ถึงหนูไปได้ก็นั่งหลับน่ะแม่ เมื่อคืนที่แล้ว เวรบ่าย เวรดึก” อะไรๆ
ก็อ้างไป
ข้าพเจ้าจึงถามลูกว่า
“ทําไมตอนนี้ขยันมาวัดกับแม่ล่ะลูก”
“ก็วันนั้นแม่สอนเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนนั้นไงคะ ว่าแค่มาเป็นเพื่อนแม่ก็ได้บุญแล้ว
หนูก็เลยคิดว่าถึงหนูจะไม่ได้บุญเรื่องฟังเทศน์หรือเรื่องการภาวนา
เพราะมัวแต่หลับเสีย แต่หนูคงได้บุญส่วนที่ตามมาคอยดูแลแม่น่ะค่ะ”
คําตอบของลูก น้ำตาแห่งความดีใจของข้าพเจ้าก็แอบไหลอยู่ภายในใจเหมือนกัน
ถึงแม้เขาไม่มาด้วย และเราก็รู้ว่าเขาไม่ได้ไปเสเพลที่ใด ไม่มีความเป็นห่วงอะไรๆ
เพราะเป็นคนดี แต่เมื่อมีเขาอยู่ใกล้คนแก่ๆ อย่างเราก็ให้รู้สึกอบอุ่นใจจริงๆ
อ่านมาถึงตอนนี้ ถ้าใครเป็นลูกของแม่ของพ่อที่ชอบไปวัดแล้ว ไปเถอะ
ไปเป็นเพื่อนพ่อแม่ ท่านจะได้บุญกุศลมากมายมหาศาลโดยไม่ต้องบริจาคเป็นเงินทองเลย
บริจาคเวลาให้พ่อแม่เพียงสัปดาห์ละวันเดียวเท่านั้น
ไม่มากมายอะไรเมื่อเทียบกับเราให้เพื่อนฝูงหรือคนรักถึงสัปดาห์ละตั้ง ๖ วัน
ข้าพเจ้าไม่เถียง ในเรื่องที่ว่าพ่อแม่บางรายก็ไม่เป็นเรื่อง ดุด่าว่ากล่าวลูกอย่างไม่มีเหตุผล
บ่นได้ทั้งวัน ถ้าเห็นหน้าลูก หรือมิฉะนั้นพ่อแม่ก็ทะเลาะกันเองด้วยเรื่องขัดแย้งส่วนตัว
บางรายไม่ทําอย่างที่กล่าวแต่หายกันไปเลย พ่อไปทางแม่ไปทาง กลับถึงบ้านลูกนอนหลับหมด
ลูกตื่นตอนเช้ารถโรงเรียนมารับ หรือมีคนขับรถไปส่ง ส่วนพ่อแม่ยังไม่ตื่นนอน จึงเป็นอันว่าไม่เคยพบหน้ากัน
พ่อแม่มีหน้าที่เพียงจ่ายเงินให้ตามที่ลูกต้องการ ลูกเกิดมาไม่เคยรู้จักความรักอันอบอุ่น
รู้จักแต่ความรักแบบกลัวเกรงและตามใจของคนใช้
สายใยความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกก็ย่อมเปราะบาง
ยิ่งในกรณีที่พ่อมีหลายบ้าน แม่ไม่สบายใจก็เข้าวงไพ่ หรือออกทำงานสังคม
ลูกก็เหมือนถูกทอดทิ้ง ที่หนักหนาสาหัสคือประเภททิ้งลูกไปเลย ไม่ยอมรับผิดชอบใดๆ
แล้วแต่ใครจะเอาไปเลี้ยงให้ มีกรณีอย่างนี้มากรายเหลือเกินในสังคมยุคนี้ ลูกจึงมีความรู้สึกเหมือนพ่อแม่ไม่ตั้งใจให้เขาเกิดมา
ข้าพเจ้าคิดว่าคนเป็นพ่อแม่นั้น จะตั้งใจให้ลูกเกิดหรือไม่ก็ตาม
ถ้าเราทําหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ลูกหรือใครๆ ก็ตำหนิเราไม่ได้
บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าถูกเด็กบางคนถามว่า
“ถ้าพ่อแม่ทอดทิ้งเรา ไม่ได้เลี้ยงดูมาเลยตั้งแต่เล็ก คนอื่นเป็นคนรับเลี้ยงมาตลอด
เราจะต้องตอบแทนคุณคนที่เป็นพ่อแม่จริงๆ หรือเปล่า หรือตอบแทนเฉพาะคนที่เลี้ยงเรามาได้หรือไม่”
แต่เดิมข้าพเจ้าก็ไม่ทราบจะตอบอย่างไรเหมือนกัน บังเอิญวันหนึ่งได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว
รองเจ้าอาวาส ท่านตอบว่า
“แค่เค้าปั๊มเราให้เป็นลูกคน ไม่ต้องไปเกิดเป็นลูกหมูลูกหมาก็ดีถมไปแล้ว”
คำตอบของท่านทําให้ความคิดของข้าพเจ้าสว่างไสว การได้เกิดเป็นคนนับว่าเป็นสัตว์ที่มีโอกาสดีที่สุดในการสร้างบารมี
เราเลือกพ่อแม่สำหรับเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถใช้เวลาในชีวิตแสวงหาสิ่งดีงามต่างๆ
โดยเฉพาะสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้ติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า สั่งสมกุศลกรรมให้มากเพื่อจะมีทางเลือกเกิดได้
บุญกุศลนั้นอยู่ตรงนี้ถ้าปฏิสนธิวิญญาณ ของเราไปเกิดในครรภ์ของสัตว์เดรัจฉานเล่า เราก็ต้องได้ร่างกายแบบนั้น
หมดโอกาสเพราะขาดสติปัญญา มันสมองมีคุณภาพน้อย
พูดโดยสรุปคือ “หุ่น” นี่แหละสําคัญ ทําให้สิ่งนั้นๆ มีคุณค่าหรือไม่
เหมือนก้อนดินที่กลิ้งอยู่ตามถนนหนทาง ใครเห็นใครก็เตะไปเตะมาไม่มีคุณค่าอย่างใด
แต่ถ้าจะมีใครสักคนจับก้อนดินนั้นไปใส่ในหุ่นสําหรับปั้นพระพุทธรูป
แกะดินนั้นออกมาจากหุ่นนํามาวางไว้ ใครเห็นใครก็ต้องก้มลงกราบ พ่อแม่คือหุ่นที่ใช้ใส่ดินให้เป็นรูปที่ดีงามนั่นเอง
บุญคุณเพียงแค่ท่านเป็นผู้สร้างหุ่นมนุษย์ ให้แค่นี้ก็ตอบแทนเท่าใดก็ไม่หมดอยู่แล้ว
ส่วนที่มีปัญหาต่างๆ เกิดตามมาในครอบครัวนั้น ถ้าไตร่ตรองดู
เกิดจากผลกรรมของพ่อแม่ ท่านทําของท่านไว้ กรรมนั้นจึงทําให้ท่านต้องมีทุกข์กายทุกข์ใจหลายเรื่องหลายราว
ลูกควรจะเป็นฝ่ายเห็นใจท่าน บ้าง ใครๆ ในโลกนี้เมื่อมีครอบครัว ก็อยากอยู่เย็นเป็นสุขกันทั้งนั้น
แต่บางทีด้วยความโง่เขลา ประมาทพลาดพลั้ง ขาดสติปัญญาจึงสร้างปัญหาให้ครอบครัวของตนเอง
ฝ่ายลูกควรคิดว่านั่นเป็นกรรมของพ่อแม่ สําหรับตนเองเมื่อเห็นข้อบกพร่องว่าถ้าทําหน้าที่ไม่ดีย่อมมีผลกรรมตามสนอง
ก็ไม่ควรตั้งตนเองเป็นคนทวงกรรมให้พ่อแม่ชอกช้ำใจ เพราะลูกก็จะกลายเป็นคนทํากรรมไม่ดีขึ้นมาใหม่
และต้องไปรับผลกรรมแบบเดียวกันอีก เป็นกงเกวียนกําเกวียน ทางที่ดีลูกควรถือว่าตัวอย่างที่พ่อแม่ประพฤติตนไม่ดีนั้น
เราจะไม่ยอมทําตาม เราจะทําหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เราก็จะเป็นอภิชาตบุตร
ลูกที่มีค่ายิ่งกว่าพ่อแม่
สําหรับพ่อแม่ที่ไม่มีปัญหา เป็นพ่อแม่ที่ท่านได้ทําหน้าที่อย่างดีที่สุดต่อเรา
ท่านเป็นยิ่งกว่าการให้หุ่น แต่ท่านให้ทุกสิ่งทุกอย่างดังนี้ ลูกยิ่งสมควรทําหน้าที่ให้เพียบพร้อมบริบูรณ์เพิ่มเติมยิ่งขึ้น
หากใครไม่รู้จักคิด ทําทุกข์ยากเดือดร้อนให้ท่านประการใดๆ ก็ตาม
ทําให้ท่านต้องน้ำตาตกในเรื่องนั้นเรื่องนี้
ย่อมเท่ากับสร้างสมบาปกรรมใส่ตนเองวันแล้ววันเล่า กรรมชนิดนี้เป็นกรรมหนัก
มักให้ผลทันตาเห็น
ว่าที่จริงแล้วการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นั้นไม่ยากเลย ใช่ว่าท่านอยากได้ทรัพย์สินเงินทองจากเรามากมาย
ถ้าท่านไม่มีรายได้ ท่านก็ขอเพียงอาหารให้อิ่มไปมื้อหนึ่งๆ ถ้าท่านมีรายได้ของท่าน
ท่านจะไม่ยอมรับจากเราด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ท่านปรารถนาจนสุดหัวใจนั้น คือปรารถนาให้ลูกเป็นคนดีมีคุณธรรม
รองลงไปคือ ขอน้ำใจให้ห่วงใยท่านบ้าง เพียงแค่นี้ ทําให้ท่านเถิด ทําเสียเดี๋ยวนี้แหละ ในเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่เรายังได้เห็นหน้ากัน
อย่าปล่อยปละละเลยจนสายเกินไป ผัดผ่อนไว้เมื่อนั่นเมื่อนี่ จนบางทีท่านรอไม่ไหว
ตายไปเสียก่อน ท่านตายแล้วเรามาคิดได้ ทุ่มเททําบุญอุทิศส่วนกุศลให้เป็นการใหญ่
พ่อแม่จะได้รับหรือเปล่าไม่รู้ ลองสังเกตดูให้ดี เวลาพ่อแม่ตายลงลูกคนไหนทําอาการเสียใจแทบจะเป็นจะตายนั้น
ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกที่ทําหน้าที่ไม่ใคร่สมบูรณ์ เกิดนึกได้ว่าสิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ทําให้ท่าน
สิ่งนี้ก็ยังไม่ได้ทําให้ สํานึกผิดขึ้นมาเลยเสียใจ
ว่าที่จริงแล้วการทําความดีต่อพ่อแม่ แท้ที่จริงคือทําบุญกุศลให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง
ชีวิตคนเราอยู่ด้วยบุญกุศลจากอดีตกรรมหล่อเลี้ยง รักษาบุญนั้นเมื่อใช้ไปแต่ละวันๆ บุญก็รู้จักหมด
ถ้าไม่คิดหาเพิ่ม ไม่เร็วก็ช้าต้องหมดบุญ เมื่อถึงเวลานั้นจะหยิบจะจับอะไรก็พบแต่ความวิบัติเหมือนเงินทองที่เราแสวงหามาไว้ใช้จ่าย
ถ้าจะมัวใช้อยู่ไม่หาเพิ่ม ไม่ช้าเงินก็หมด แล้วการทําบุญต่อพ่อแม่นั้น
ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสยืนยันไว้ทีเดียวว่า พ่อแม่เป็นเสมือนพระอรหันต์ของลูก
เราก็เหมือนมีพระอรหันต์อยู่ในบ้าน ทําบุญกับท่านแสนที่จะสะดวกสบาย ไม่จำต้องตะเกียกตะกายไปแสวงหาพระอรหันต์ที่ไหนๆ
ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์จริงเปล่า
ยังมีผลพลอยได้ตามมาอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเราปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ย่อมทําให้ลูกหลานรุ่นหลังได้เห็นตัวอย่างดีงาม
เหมือนไว้รอยให้พวกเขาได้ทําตาม เราดีต่อพ่อแม่อย่างไร ลูกก็จะดีต่อเราอย่างนั้น
ยิ่งถ้าเราดีต่อท่านทั้งสองตั้งแต่ก่อนเรามีครอบครัว เมื่อถึงเวลาเรามีครอบครัวขึ้นมา
เราก็จะได้ลูกดีๆ มาเกิดกับเรา
ใครก็ตามถ้าทําไม่ดีต่อพ่อแม่ของตนเอง คนที่เป็นบัณฑิตเป็นผู้ฉลาด
เขาจะไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย เขาจะนึกตําหนิว่า ขนาดพ่อแม่ซึ่งมีพระคุณล้นเหลือ
ยังทําเลวต่อท่านได้ถึงเพียงนั้น ก็เรามิได้เป็นอะไร กัน ไม่ได้มีบุญคุณกันมาก่อน
มิวันใดวันหนึ่ง คงทําเลวต่อเราได้ยิ่งกว่า
ก่อนจะจบ ก็ใคร่ขอเตือนถึงหน้าที่ที่พ่อแม่ลูกที่ดีควรมีต่อกัน
อันเป็นคําตรัสสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
เมื่อท่านอ่านแล้วโปรดลงมือปฏิบัติ คนเขียนจะได้บุญด้วย
บุตรธิดาพึงบํารุงบิดามารดาดังนี้
๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว
ควรเลี้ยงท่านตอบ
๒. ช่วยทํากิจการงานของท่าน
ให้ท่านได้เบาแรง
๓. ดํารงวงศ์สกุล
คือทําชื่อเสียงให้เกิดขึ้นแก่ตระกูล
๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมต่อการเป็นทายาท
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว
ทําบุญอุทิศให้ท่าน
มารดาบิดาควรอนุเคราะห์บุตรธิดาดังนี้
๑. ห้ามปราม ตักเตือน
มิให้ลูกทําความชั่ว (ป้องกันให้พ้นชั่ว)
๒. สนับสนุนให้ตั้งตนอยู่ในคุณงามความดี
๓. ให้ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันควร
เล่ามาเสียยาว
อ้างโน่นอ้างนี่ อย่างนั้นอย่างนี้ เพียงต้องการยืนยันชี้แจงกับท่านทั้งหลายว่า
พ่อแม่นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นักสําหรับลูก ท่านเป็นมีดสองคมสําหรับเรา
ทําดีกับท่านเราก็จะได้กุศลมากมายล้นเหลือ เท่ากับพระอรหันต์ทีเดียว ในทางตรงข้าม
ถ้าทําเลวๆ กับท่าน เราก็จะได้รับบาปกรรมหนักเป็นทวีคูณเช่นกันเมื่อรู้อย่างนี้แล้วอย่าทําให้ท่านน้ำตาตก
เราเห็นท่านก่อนใครทั้งหมด อยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิด ทําไมบางคนจึงทิ้งท่านไปได้
ไปเห็นคนที่เพิ่งคบกันไม่นานสําคัญกว่า ช่างโง่เง่าเบาปัญญาไม่น่าเกิดมาเป็นคนเอาเสียเลย
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๓ บทที่ ๙
พระอรหันต์ของลูก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:41
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: