ปิดบัญชีทำบุญ
มีน้องที่รู้จักเห็นว่าช่วงนี้ผมกำลังตื่นเต้นและสนุกกับการค้นคว้าหาอ่านเรื่องธรรมกายอย่างจริงจังและหลายครั้งเริ่มเข้าข้างธรรมกายจึงส่งคลิปที่ Drama Addict เอาไปลงมาให้ดู คลิปนั้นตั้งคำถามไว้ว่า "แนวทางที่ท่านทำกันอยู่มันถูกต้องแล้วหรือ"
ในคลิปเอาคำพูดของ 1 คนกับ 1 รูป ความยาว 39 วินาที มาชนกัน คนหนึ่งคือ อนันต์ อัศวโภคิน ลูกศิษย์แถวหน้าของธรรมกายพูดชวนให้ลูกศิษย์วัดปิดบัญชีทำบุญ จากนั้นก็ตัดไปที่เสียงของหลวงพ่อพุทธทาสพูดว่า "บุญอันแท้จริงนั้นไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องใช้เงินมากเป็นของให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางส์ ยิ่งใช้เงินมากยิ่งไม่ใช่บุญ หรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" ตามลิ้งก์ข้างล่างถ้าจะดู
น้องมันถามผมว่าพี่ว่าไง ?
ผมเปิดดูแล้วก็ขำว่าธรรมกายอีกแล้วเหรอวะ วัดนี้นี่ยังไงนะมีศัตรูบานเลย อีกทางก็นึกไปว่าคนเกลียดคำสอนของวัดนี้ มันมีปมด้อยอะไรในวัยเด็กมาหรือเปล่าหรือวัดเขาไปเผาเล้าไก่ปาไข่ใส่หลังคาบ้านมันถึงแค้นฝังหุ่นไม่เผาผีกันขนาดนี้
ผมเลยเล่าให้น้องฟังอย่างนี้ว่า
เอาแบบยังไม่ต้องอ้างอิงตำรับตำราคัมภีร์อะไรเลยนะ (ซึ่งเดี๋ยวจะอ้างให้ฟังทีหลัง) แค่คิดตามสามัญสำนึกมนุษย์ธรรมดาทั่วไปก่อนก็พอ
บอกน้องว่าคนทำคลิปมันเอา 2 เรื่องนี้มาชนกันทำไมนะ บริบทคืออะไรก็ไม่รู้ ก่อนและหลังคำพูดเหล่านี้คืออะไร บอกตรงๆ ผมก็เดาไม่ได้หรอก เหมือนภาพจิ๊กซอว์ 250 ชิ้นคุณเอามาให้ดู 3-4
ชิ้นแล้วถามว่ารูปอะไร ผมจะรู้มั้ยครับ เวลาดูอะไรบริบทมันสำคัญมากนะ ไปตัดคำมาสั้นๆ เพื่อจะชี้นำความคิดว่านี่ไงธรรมกายเลวชวนปิดบัญชีทำบุญ
ทำคลิปซะขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาตั้งคำถาม จะบอกว่าทำมาเปรียบเทียบเป็นกลางๆ ให้พิจารณาเอาเอง คงไม่ได้เจตนามันสื่ออยู่แล้วว่าจะด่าธรรมกาย แหมทำเป็นถามว่าแนวทางมันถูกไหมทู่เรศไปครับ
สมมุติผมพูดอะไรนาน 30 นาที แต่มีอยู่ 2 วิที่ผมพูดว่า "พ่อมึงตาย" แล้วเขาก็เอาท่อนนี้ไปทำคลิปถามว่าคนดูจะรู้สึกอย่างไร แน่นอนมันก็ต้องหาว่าผมหยาบคายนิสัยไม่ดี แต่พอเอาคำพูดหน้ากับหลังคำนี้มาเปิดดูใหม่ปรากฏว่าคำเต็มมันคือ "ทุกท่านครับคำว่า" พ่อมึงตาย "เป็นคำที่ไม่สุภาพอย่าใช้นะครับ"
ก็เหมือนเวลาเราถ่ายภาพนั่นแหละ คนกินข้าวธรรมดาๆ แต่ในจังหวะอ้าปากจะกินถ่ายมาแชะนึงเห็นแล้วโคตรขำคุณจะสวยหล่อมาจากไหนก็หน้าเห่ยได้ทันที เรื่องแบบนี้เลิกสักทีได้ไหมนะแล้วไปดูว่าแต่ละคนน่ะเขาพูดแบบนั้นทำไม คือไปดูความตั้งใจจุดมุ่งหมายที่เขาทำเพราะมันคือการสื่อสารไม่ใช่คำให้การในศาลสักหน่อย
คราวนี้มาดูผลจากคำพูดของ 1 คน 1 รูปนั้นว่าสุดท้ายเกิดผลตามมาอย่างไร เผื่อจะได้อยู่กับโลกความจริงบ้าง ไม่จินตนาการฟุ้งซ่านไปคนเราไม่ใช่พอมีใครบอกให้ไปฆ่าตัวตายซะแล้วจะบ้าไปตายตามกันจริงๆ
1. สิ่งที่ธรรมกายโดนบ่อยมาก คือการ quote คำหรือตัดคลิป หรือให้ทั้งคลิปเลย เอ้าแล้วเอามาแชร์มาโพสต์ซ้ำๆ ย้ำๆ จนเหมือนธรรมกายสอนหรือพูดแบบนั้นตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงๆ บางทีปีหนึ่งเขาพูดแบบนี้ 3-4 ครั้ง แล้วมันก็เอามาย้ำสักพันครั้งจนคนมันนึกว่านี่แหละธรรมกาย อย่างอนันต์นั่นพูดแบบนี้กี่ครั้งกันครับดูแล้วไม่น่าบ่อยหรอก ก็เหมือนคลิปคนดังที่ถูกเอามาแฉน่ะ อย่างดีเจถอยรถชนเขากำลังโกรธทำอะไรไม่ยับยั้งชั่งใจเอามาเปิดแชร์วนไปผิดแค่ครั้งเดียวแต่ชีวิตดับสนิทบรรลัยจักรได้เลยนะคุณ
โอเค จากคลิปมันคงเป็นการพูดชวนบริจาคอะไรสักงานหนึ่งไม่อยากเดา แต่เรื่องนี้นะผมว่าคนธรรมกายนี่เจ๋งดีคือวัดนี้พอจะสร้างจะทำอะไรสังเกตดูเถอะว่าลูกศิษย์เขาจะรุมทำจนเสร็จน่ะไม่มียืดเยื้อให้เสียเวลา อย่างจะสร้างอาคารสักหลังกี่ร้อยกี่พันล้านไม่รู้ก็ตูมเดียวจบปิดจ็อบ, จะสร้างหลวงพ่อสดทองคำก็ลุยกันไม่กี่เดือนเสร็จ ส่วนเรื่องกลยุทธวิธีที่ใช้เดี๋ยวค่อยคุยเอาแค่ความมุ่งมั่นก่อนอันนี้ชนะขาดไม่มีดินพอกหางหมูทำกันเร็วแรงเป็นหนึ่งเดียวกันแข็งแกร่งมากยอมรับ
ผมเคยไปเห็นวัดต่างจังหวัดทางเหนือวัดหนึ่งทำพิธีฉลองศาลาหลังใหญ่ 2 ชั้น จุคนได้สัก 300-400 คนเจ้าอาวาสบอกว่ากว่าจะสร้างเสร็จใช้เวลาไป 20 ปี ผมงี้อึ้งเลยอาคารใหญ่ขนาดนี้มีห้องน้ำสไตล์วินเทจแบบสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วอยู่ 10 กว่าห้องสภาพศาลามีบางส่วนเก่าบางส่วนใหม่เห็นแล้วน้ำตาจะไหลสงสารหลวงพ่อท่านมากว่าคงกังวลมาตลอด 20 ปี เพราะโยมมาทำบุญกันตามศรัทธา 50 บาท 100 บาทเจ้าภาพใหญ่ๆ อาจมีหลักหมื่นบ้างหลักแสน นี่นับหัวได้เลยมีเงินก็สร้างไปไม่มีก็หยุด สร้างๆ หยุดๆ ทอดกฐินผ้าป่ามา 20 ปี เป็นผมนี่ทุบทิ้งไม่สร้างมันละเหนื่อย
ทีนี้ถ้าลองเอาคำในคลิปที่ท่านบอกว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาใช้จะสร้างส้วมสักห้องชาตินี้ก็ไม่เสร็จหรอก เวลาโยมจะอึจะฉี่หลวงพี่คงชี้ไปกลางทุ่งโยมไปขุดหลุมกันเองเถอะ
2. คุณว่าที่เขาชวนปิดบัญชีน่ะมีคนปิดบัญชีตามที่เขาชวนกี่คนนี่ก็เป็นข่าวที่ชอบออกมาเขย่าธรรมกายบ่อยๆ เช่นทำบุญจนหมดตัวครอบครัวทะเลาะแตกแยกกัน พูดกันเมามันจนผมก็เกือบเชื่อตามแล้ว ดีที่ฉลาด 555 เลยยังไม่ลงไปคลุกปลักกับไอ้พวกกลีบสมองง่อยพวกนั้น
เพราะมานั่งนึกว่าไอ้ที่หมดตัวมันคือใครบ้างหว่า กี่คน ชื่อแซ่อะไร บริจาคให้วัดไปเท่าไหร่ ไปแจ้งความหรือยัง
สรุป...ไม่รู้ว่ามันคือใคร ได้ยินแต่ข่าวเล่าต่อๆ กันมาอ่ะ สมมุติตกข่าวติ๊งต่างว่ามีสัก 10 คน 100 คนละกันแต่เฮ้ยวัดนี้มีคนเข้าเป็นล้านบริจาคหมดตัวเพราะหาว่าวัดหลอก 10-100 คนมัน 0.001-0.01 % เองนะ ไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติเลยถ้ามีคนเหล่านั้นจริงๆ อยากแนะนำให้คุณไปบอกวัดเขาเลยว่าขอเงินคืนเถอะครอบครัวลำบาก ผมว่าวัดเขาจะคืนให้ ขนาดสหกรณ์คลองจั่นเงินเกือบพันล้านลูกศิษย์เขายังรวมตังส์กันคืนให้ วัดไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้นถ้ามีจริงก็ไปบอกเขาซะนะอย่ามาโวยวายขายสื่อไม่ได้ตังส์คืนหรอก
กลับมาที่เรื่องการปิดบัญชี คนแรกที่ไม่ได้ปิดคืออนันต์นั่นแหละ แกก็ทำธุรกิจเหมือนเดิมไม่ได้ขายหุ้นขายทุกอย่างตามที่ชวนคนอื่นไว้ แล้วคุณคิดว่าจะมีใครปิดบัญชีตามบ้างล่ะ ถ้ามีก็คงบริจาคได้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ กลับบ้านไปรุ่งขึ้นก็ถือกะลาไปขอทานได้เลย แต่ความจริงก็เห็นวัดชวนทำบุญอะไรพวกนี้ก็ยังมีเงินทำได้อยู่เลยไม่เห็นหมด แสดงว่าปิดบัญชีกันมั้ยคงไม่หรอก แต่ถ้าถามว่ามีมั้ยตรงนี้ไม่รู้นะก็อาจจะมีแต่โวยวายไหมก็ไม่ แต่ถ้าโวยคุณก็ไปบอกเขาว่าขอคืนจบ
หรือถ้ายังไม่พอใจคิดว่าถูกศิษย์ธรรมกายหลอกก็ไปแจ้งความจะได้ไม่ค้างคาใจ
นี่เรากำลังพูดถึงคนนะเฟ้ยไม่ใช่ควายโดยเฉพาะคนธรรมกาย ไม่ใช่ตาสีตาสาจะได้ฟังอะไรก็บ้าทำตามอนันต์ไปหมด
ถ้าให้เดา บรรยากาศที่อนันต์พูดก็คือการปลุกใจให้ฮึกเหิมเหมือนทำงานน่ะ หัวหน้าก็มีหน้าที่มา motivate ลูกน้อง เช่นปีนี้เราต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจมากกว่าเก่าต้องมุ่งไปสู่เป้า 200 % ของบริษัทให้ได้เพื่อบลาๆๆ อะไรก็ว่าไป หรืออย่างราชการมันก็จะเพ้อเรื่องคุณธรรมจริยธรรมทำเพื่อประชาชนไม่คอรัปชั่น มีจิตสำนึกตามค่านิยมของรัฐบาลสองหมื่นแปดพันข้ออะไรก็โม้ไปตามโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ พูดเสร็จคึกกันไป 3 วัน คิดว่าความสำเร็จมันเกิดเพราะคำพูด นั่งอมยิ้มภูมิใจถุยเถอะครับสุดท้ายก็กลับไปเหมือนเดิมอีก
ที่อนันต์พูดเป็นเรื่องลูกศิษย์วัดเขาปลุกใจกันทำเพื่อคนที่เขาเคารพรักคือหลวงพ่อของเขา ซึ่งก็บอกแล้วว่านี่เป็นธรรมชาติของคนวัดนี้คือทำจริงมุ่งมั่นแล้วต้องเอาจนเสร็จ ขายบุญไหมอันนี้ไม่รู้คลิปมันตัดมาแค่นั้น แต่เดานะว่าอนันต์พูดเสร็จลูกศิษย์เขาคงทุ่มทำกันเต็มที่ไม่มีกั๊กเพราะเป้าหมายเดียวกันก็ฮึดกันเป็นโอกาสๆ ไปไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย
ก็เหมือนประโยคที่ชอบเอามาล้อกัน "ชิตังเม โป้งรวย "คุณว่าเขาเชื่อกันไหม บริจาคเสร็จก็คิดว่าจะรวยแล้วโว้ยกลับบ้านก็ไปนั่งกินนอนกินรอรวยบ้าแล้วก็เห็นเขากลับไปทำงานทำการขยันหาเงินมาบริจาคกันอีก ก็แสดงว่าคำนี้มันอาจเป็นคำที่ทำให้ฮึกเหิมส่วนจะรวยไม่รวยนี่ไม่รู้ ซึ่งคนบริจาคเขาคงรู้เองถ้าหวังจะรวยทันทีทันใดแล้วมันไม่รวยเขาคงเลิกทำ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นทำกันอยู่แสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับคำว่าจะรวยเท่าไหร่มัง คือมันจะรวยก็ต้องทำงานอย่าขี้เกียจจะได้มีเงินมาบริจาคทำบุญอีก ส่วนชาติหน้าจะรวยไหมไม่รู้วุ้ยก็ไปดูกันต่อไปคนทำรู้ไหมว่าชาติหน้าจะรวยหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้เหมือนเรานี่แหละ ถ้าเขาจะมั่นใจอย่างนั้นก็เรื่องของเขาเราเสือกอะไรล่ะ
ลองให้อนันต์เอาคำที่ว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาชวนสิโคต รmotivate อ่ะ 555 ก็อย่าได้ทำอะไรเลยชาตินี้นั่งปูเสื่อกินหมากให้หมาเลียปากไปเถอะ
การบิลท์อารมณ์แบบธรรมกายอาจจะสเกลใหญ่ไปหน่อย มาดูเสกลเล็กบ้านๆ น่ารักๆ กันดีกว่าครับ
คือผมมีโอกาสไปทำบุญที่วัดในจังหวัดอุตรดิตถ์แห่งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ชาวบ้านมาทำบุญกันเต็มศาลาคะเนน่าจะสัก 200 กว่าคน หลังจากทำพิธีถวายอะไรแล้วพระก็ฉัน จากนั้นหันมาจะให้พรแต่ยังไม่ให้หลวงพ่อท่านนั่งเฉยๆ อยู่
จังหวะนั้นมัคนายกก็ประกาศว่าตอนนี้รถเข็นศพเวียนรอบเมรุของวัดเก่ามากแล้ว หลวงพ่อท่านอยากจะซื้อใหม่ราคาประมาณหมื่นกว่าบาท (ผมจำตัวเลขจริงไม่ได้นะ)
มัคนายกพูดต่อไปว่าเราช่วยกันทำบุญไปซื้อตอนนี้เลยดีกว่าจะได้เอามาใช้งานได้เร็วๆ
จากนั้นก็เริ่มโชว์ลีลาเพราะแกรู้จักทุกคนบนศาลาหมด ใครเป็นใครฐานะขนาดไหนน่าจะทำบุญได้เท่าไหร่ ว่าแล้วก็เปิดฉากบอกบุญชนิดไม่ทำไม่ได้เพราะแกไล่บอกเป็นคนๆ เลย
ผู้ใหญ่เหน่งทำเท่าไหร่ดีสักพันนึงแล้วกันนะผู้ใหญ่พูดเสร็จคนบนศาลาหัวเราะชอบใจกันใหญ่ผู้ใหญ่ก็ยิ้มรับเหมือนกันเป็นอันว่าตกลง
แม่บุหงาล่ะป้าแกเผยอปากแต่ไม่มีเสียงออกมาว่า 500 แต่มัคนายกโวยวายว่าทำไมแค่ 500 ล่ะน้อยไปเสียชื่อเศรษฐีใหญ่หมดตกลงได้มาอีกพัน
จากนั้นก็ไล่ไปคนนั้นคนนี้อีกหลายคน แกแหย่เขาแบบทีเล่นทีจริงบางทีพูดจนคนไม่กล้าปฏิเสธบางคนดูหน้าแล้วไม่อยากทำเยอะหรอกแต่ถูกคะยั้นคะยอจนอายคนอื่นเขาเลยยอมทำจะได้หมดเรื่องไป บางคนทำ 200 บ้าง 300 บ้าง ก็ตามแต่ฐานะและความสมัครใจ
ระหว่างพูดจะมีคนเดินไปเก็บเงินจากคนที่รับปากไว้ทันทีจนถึงเวลาที่หลวงพ่อให้พรแล้วลงจากศาลาไป
บอกตามตรงผมโคตรชอบบรรยากาศที่มัคนายกชวนคนทำบุญจริงๆ มันดูบ้านๆ แต่เอื้อเฟื้อจริงใจ มีมุขแหย่ให้คนขำแถมได้ตังส์มาให้หลวงพ่อซื้อรถเข็นศพด้วย แม้วิธีที่ใช้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่คล้ายบังคับให้ทำแต่ไม่มีใครถือสาหาความ วิถีชาวบ้านก็แบบนี้เสียดายที่วันนั้นรวมเงินแล้วก็ยังไม่พอซื้ออยู่ดีแต่แค่นี้ก็เบาแรงหลวงพ่อไปเยอะเลย
บรรยากาศบอกบุญบ้านๆ ผมว่าอบอุ่นดีแค่เห็นกุศโลบายที่มัคนายกใช้ก็อดอมยิ้มไม่ได้แล้วครับ
ผมเคยไปเห็นวัดต่างจังหวัดทางเหนือวัดหนึ่งทำพิธีฉลองศาลาหลังใหญ่ 2 ชั้น จุคนได้สัก 300-400 คนเจ้าอาวาสบอกว่ากว่าจะสร้างเสร็จใช้เวลาไป 20 ปี ผมงี้อึ้งเลยอาคารใหญ่ขนาดนี้มีห้องน้ำสไตล์วินเทจแบบสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วอยู่ 10 กว่าห้องสภาพศาลามีบางส่วนเก่าบางส่วนใหม่เห็นแล้วน้ำตาจะไหลสงสารหลวงพ่อท่านมากว่าคงกังวลมาตลอด 20 ปี เพราะโยมมาทำบุญกันตามศรัทธา 50 บาท 100 บาทเจ้าภาพใหญ่ๆ อาจมีหลักหมื่นบ้างหลักแสน นี่นับหัวได้เลยมีเงินก็สร้างไปไม่มีก็หยุด สร้างๆ หยุดๆ ทอดกฐินผ้าป่ามา 20 ปี เป็นผมนี่ทุบทิ้งไม่สร้างมันละเหนื่อย
ทีนี้ถ้าลองเอาคำในคลิปที่ท่านบอกว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาใช้จะสร้างส้วมสักห้องชาตินี้ก็ไม่เสร็จหรอก เวลาโยมจะอึจะฉี่หลวงพี่คงชี้ไปกลางทุ่งโยมไปขุดหลุมกันเองเถอะ
2. คุณว่าที่เขาชวนปิดบัญชีน่ะมีคนปิดบัญชีตามที่เขาชวนกี่คนนี่ก็เป็นข่าวที่ชอบออกมาเขย่าธรรมกายบ่อยๆ เช่นทำบุญจนหมดตัวครอบครัวทะเลาะแตกแยกกัน พูดกันเมามันจนผมก็เกือบเชื่อตามแล้ว ดีที่ฉลาด 555 เลยยังไม่ลงไปคลุกปลักกับไอ้พวกกลีบสมองง่อยพวกนั้น
เพราะมานั่งนึกว่าไอ้ที่หมดตัวมันคือใครบ้างหว่า กี่คน ชื่อแซ่อะไร บริจาคให้วัดไปเท่าไหร่ ไปแจ้งความหรือยัง
สรุป...ไม่รู้ว่ามันคือใคร ได้ยินแต่ข่าวเล่าต่อๆ กันมาอ่ะ สมมุติตกข่าวติ๊งต่างว่ามีสัก 10 คน 100 คนละกันแต่เฮ้ยวัดนี้มีคนเข้าเป็นล้านบริจาคหมดตัวเพราะหาว่าวัดหลอก 10-100 คนมัน 0.001-0.01 % เองนะ ไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติเลยถ้ามีคนเหล่านั้นจริงๆ อยากแนะนำให้คุณไปบอกวัดเขาเลยว่าขอเงินคืนเถอะครอบครัวลำบาก ผมว่าวัดเขาจะคืนให้ ขนาดสหกรณ์คลองจั่นเงินเกือบพันล้านลูกศิษย์เขายังรวมตังส์กันคืนให้ วัดไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้นถ้ามีจริงก็ไปบอกเขาซะนะอย่ามาโวยวายขายสื่อไม่ได้ตังส์คืนหรอก
กลับมาที่เรื่องการปิดบัญชี คนแรกที่ไม่ได้ปิดคืออนันต์นั่นแหละ แกก็ทำธุรกิจเหมือนเดิมไม่ได้ขายหุ้นขายทุกอย่างตามที่ชวนคนอื่นไว้ แล้วคุณคิดว่าจะมีใครปิดบัญชีตามบ้างล่ะ ถ้ามีก็คงบริจาคได้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ กลับบ้านไปรุ่งขึ้นก็ถือกะลาไปขอทานได้เลย แต่ความจริงก็เห็นวัดชวนทำบุญอะไรพวกนี้ก็ยังมีเงินทำได้อยู่เลยไม่เห็นหมด แสดงว่าปิดบัญชีกันมั้ยคงไม่หรอก แต่ถ้าถามว่ามีมั้ยตรงนี้ไม่รู้นะก็อาจจะมีแต่โวยวายไหมก็ไม่ แต่ถ้าโวยคุณก็ไปบอกเขาว่าขอคืนจบ
หรือถ้ายังไม่พอใจคิดว่าถูกศิษย์ธรรมกายหลอกก็ไปแจ้งความจะได้ไม่ค้างคาใจ
นี่เรากำลังพูดถึงคนนะเฟ้ยไม่ใช่ควายโดยเฉพาะคนธรรมกาย ไม่ใช่ตาสีตาสาจะได้ฟังอะไรก็บ้าทำตามอนันต์ไปหมด
ถ้าให้เดา บรรยากาศที่อนันต์พูดก็คือการปลุกใจให้ฮึกเหิมเหมือนทำงานน่ะ หัวหน้าก็มีหน้าที่มา motivate ลูกน้อง เช่นปีนี้เราต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจมากกว่าเก่าต้องมุ่งไปสู่เป้า 200 % ของบริษัทให้ได้เพื่อบลาๆๆ อะไรก็ว่าไป หรืออย่างราชการมันก็จะเพ้อเรื่องคุณธรรมจริยธรรมทำเพื่อประชาชนไม่คอรัปชั่น มีจิตสำนึกตามค่านิยมของรัฐบาลสองหมื่นแปดพันข้ออะไรก็โม้ไปตามโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ พูดเสร็จคึกกันไป 3 วัน คิดว่าความสำเร็จมันเกิดเพราะคำพูด นั่งอมยิ้มภูมิใจถุยเถอะครับสุดท้ายก็กลับไปเหมือนเดิมอีก
ที่อนันต์พูดเป็นเรื่องลูกศิษย์วัดเขาปลุกใจกันทำเพื่อคนที่เขาเคารพรักคือหลวงพ่อของเขา ซึ่งก็บอกแล้วว่านี่เป็นธรรมชาติของคนวัดนี้คือทำจริงมุ่งมั่นแล้วต้องเอาจนเสร็จ ขายบุญไหมอันนี้ไม่รู้คลิปมันตัดมาแค่นั้น แต่เดานะว่าอนันต์พูดเสร็จลูกศิษย์เขาคงทุ่มทำกันเต็มที่ไม่มีกั๊กเพราะเป้าหมายเดียวกันก็ฮึดกันเป็นโอกาสๆ ไปไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย
ก็เหมือนประโยคที่ชอบเอามาล้อกัน "ชิตังเม โป้งรวย "คุณว่าเขาเชื่อกันไหม บริจาคเสร็จก็คิดว่าจะรวยแล้วโว้ยกลับบ้านก็ไปนั่งกินนอนกินรอรวยบ้าแล้วก็เห็นเขากลับไปทำงานทำการขยันหาเงินมาบริจาคกันอีก ก็แสดงว่าคำนี้มันอาจเป็นคำที่ทำให้ฮึกเหิมส่วนจะรวยไม่รวยนี่ไม่รู้ ซึ่งคนบริจาคเขาคงรู้เองถ้าหวังจะรวยทันทีทันใดแล้วมันไม่รวยเขาคงเลิกทำ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นทำกันอยู่แสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับคำว่าจะรวยเท่าไหร่มัง คือมันจะรวยก็ต้องทำงานอย่าขี้เกียจจะได้มีเงินมาบริจาคทำบุญอีก ส่วนชาติหน้าจะรวยไหมไม่รู้วุ้ยก็ไปดูกันต่อไปคนทำรู้ไหมว่าชาติหน้าจะรวยหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้เหมือนเรานี่แหละ ถ้าเขาจะมั่นใจอย่างนั้นก็เรื่องของเขาเราเสือกอะไรล่ะ
ลองให้อนันต์เอาคำที่ว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาชวนสิโคต รmotivate อ่ะ 555 ก็อย่าได้ทำอะไรเลยชาตินี้นั่งปูเสื่อกินหมากให้หมาเลียปากไปเถอะ
การบิลท์อารมณ์แบบธรรมกายอาจจะสเกลใหญ่ไปหน่อย มาดูเสกลเล็กบ้านๆ น่ารักๆ กันดีกว่าครับ
คือผมมีโอกาสไปทำบุญที่วัดในจังหวัดอุตรดิตถ์แห่งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ชาวบ้านมาทำบุญกันเต็มศาลาคะเนน่าจะสัก 200 กว่าคน หลังจากทำพิธีถวายอะไรแล้วพระก็ฉัน จากนั้นหันมาจะให้พรแต่ยังไม่ให้หลวงพ่อท่านนั่งเฉยๆ อยู่
จังหวะนั้นมัคนายกก็ประกาศว่าตอนนี้รถเข็นศพเวียนรอบเมรุของวัดเก่ามากแล้ว หลวงพ่อท่านอยากจะซื้อใหม่ราคาประมาณหมื่นกว่าบาท (ผมจำตัวเลขจริงไม่ได้นะ)
มัคนายกพูดต่อไปว่าเราช่วยกันทำบุญไปซื้อตอนนี้เลยดีกว่าจะได้เอามาใช้งานได้เร็วๆ
จากนั้นก็เริ่มโชว์ลีลาเพราะแกรู้จักทุกคนบนศาลาหมด ใครเป็นใครฐานะขนาดไหนน่าจะทำบุญได้เท่าไหร่ ว่าแล้วก็เปิดฉากบอกบุญชนิดไม่ทำไม่ได้เพราะแกไล่บอกเป็นคนๆ เลย
ผู้ใหญ่เหน่งทำเท่าไหร่ดีสักพันนึงแล้วกันนะผู้ใหญ่พูดเสร็จคนบนศาลาหัวเราะชอบใจกันใหญ่ผู้ใหญ่ก็ยิ้มรับเหมือนกันเป็นอันว่าตกลง
แม่บุหงาล่ะป้าแกเผยอปากแต่ไม่มีเสียงออกมาว่า 500 แต่มัคนายกโวยวายว่าทำไมแค่ 500 ล่ะน้อยไปเสียชื่อเศรษฐีใหญ่หมดตกลงได้มาอีกพัน
จากนั้นก็ไล่ไปคนนั้นคนนี้อีกหลายคน แกแหย่เขาแบบทีเล่นทีจริงบางทีพูดจนคนไม่กล้าปฏิเสธบางคนดูหน้าแล้วไม่อยากทำเยอะหรอกแต่ถูกคะยั้นคะยอจนอายคนอื่นเขาเลยยอมทำจะได้หมดเรื่องไป บางคนทำ 200 บ้าง 300 บ้าง ก็ตามแต่ฐานะและความสมัครใจ
ระหว่างพูดจะมีคนเดินไปเก็บเงินจากคนที่รับปากไว้ทันทีจนถึงเวลาที่หลวงพ่อให้พรแล้วลงจากศาลาไป
บอกตามตรงผมโคตรชอบบรรยากาศที่มัคนายกชวนคนทำบุญจริงๆ มันดูบ้านๆ แต่เอื้อเฟื้อจริงใจ มีมุขแหย่ให้คนขำแถมได้ตังส์มาให้หลวงพ่อซื้อรถเข็นศพด้วย แม้วิธีที่ใช้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่คล้ายบังคับให้ทำแต่ไม่มีใครถือสาหาความ วิถีชาวบ้านก็แบบนี้เสียดายที่วันนั้นรวมเงินแล้วก็ยังไม่พอซื้ออยู่ดีแต่แค่นี้ก็เบาแรงหลวงพ่อไปเยอะเลย
บรรยากาศบอกบุญบ้านๆ ผมว่าอบอุ่นดีแค่เห็นกุศโลบายที่มัคนายกใช้ก็อดอมยิ้มไม่ได้แล้วครับ
พอละเดี๋ยวยาว (ยาวไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เดี๋ยว) มาว่าตามหลักคัมภีร์ดูบ้างดีกว่า
ต้องกราบขออภัยหลวงพ่อพุทธทาสด้วยนะครับ ไม่ได้จะลบหลู่อะไร ผมก็ว่าไปแบบแฟร์ๆ เอาตามที่คลิปมันยกคำพูดมา ส่วนก่อนและหลังคำเหล่านั้นหลวงพ่อกำลังมุ่งสอนอะไรผมก็ไม่รู้ครับดังนั้นขอขมาไว้ก่อนเซฟๆ
ไอ้คนตัดคลิปมันอาศัยเครดิตหลวงพ่อมาใช้ คือคิดว่าท่านพูดอะไรก็ต้องถูกหมดเพราะเป็นพระมีชื่อเสียงความจริงไม่แน่หรอกในเมืองไทย ทั้งพระทั้งโยมเก่งๆ ก็อาจเข้าใจคำสอนไม่เหมือนกัน คำสอนเดียวกันแต่ตีความหมายต่างกันไปไม่ต้องมากหรอก แค่เรื่องนรกสวรรค์มีกล่าวในพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ แต่พระบางรูปไม่กล้าพูดเรื่องนี้ตรงๆ เพราะไม่มั่นใจ บางองค์บอกว่าเป็นเรื่องเปรียบเทียบไปเลยก็มี ตกลงคือเลือกเชื่อใช่ไหมเวลาจะด่าใครก็บอกสอนไม่ตรงพระไตรปิฎก แต่ไอ้ที่มีหลักฐานอยู่ทนโท่ก็ตีความเป็นอย่างอื่นบอกไม่ใช่อย่างนี้บิดเบือนไหมไปคิดเอา
พระสายปริยัติกับสายปฏิบัติก็อาจเข้าใจไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งว่าตามตำรา อีกฝ่ายอิงประสบการณ์มากกว่าไม่ติดกรอบตรงนี้ใครจะศรัทธาเลื่อมใสฝ่ายไหนก็ตามสบายควายไม่ขวิด
คนแต่ละคนไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง อย่างถ้าจะเดินป่าผมขอเดินตามนายพรานที่เรียนมาน้อยดีกว่าเดินต้อยๆ ตามนายแพทย์ไปหรือถ้าอยากจะปลูกข้าวผมก็ให้เครดิตชาวนามากกว่านักวิชาการทั้งหลาย จะทำมาค้าขายผมเชื่อนักธุรกิจมากกว่าอาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่ทั้งชาติไม่เคยทำธุรกิจจริง
อย่างหลวงพ่อพุทธทาสเมื่อก่อนท่านก็เคยเอาเรื่องพุทธมหายานมาสอนหรือพุทธแบบเซ็นก็ยังมี แต่ไม่เห็นจะมีใครไปว่าอะไรซึ่งทำถูกแล้วเพราะมันแล้วแต่ใครจะเข้าใจธรรมะไปทางไหนเท่านั้นเอง
ถ้าว่าทางตำรับตำราผมให้น้ำหนักไปทางอนันต์นะ (อย่าเพิ่งหงุดหงิดนิอ่านไปก่อน)
เพราะบริจาคแบบอนันต์มันมีตำรารองรับวิธีนั้นอยู่จริง
คือการทำบุญบริจาคเนี่ยมันมี 2 แบบใหญ่ๆ แบ่งตามใจผมนะ
1. แบบแรกคือที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั่วๆ ไปและพระกับคนไทยชอบใช้สอนกันเช่นหลักการแบ่งทรัพย์หลักการใช้จ่ายทรัพย์โดยแบ่งทรัพย์บางส่วนมาบริจาคให้ทาน ไม่ได้พูดถึงความมากน้อยจะเรียกว่าทำไปตามศรัทธาก็ได้มังซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้มีคนชอบอ้างว่าบริจาคมากได้บุญมากไม่จริงธรรมกายโดนยิงเรื่องนี้บ่อยๆ
ความจริงแม้พระพุทธเจ้าจะไม่ได้พูดถึงความมากน้อยตรงๆ แต่ก็มีอ้อมๆ อยู่นะ (ถ้าเล่าก็ยาวขอผ่านก่อนแต่เอาว่ามีละกัน)
ในแบบแรกนี้ทรงเน้นว่าบุญเกิดมากต้องอาศัยทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ คือทำกับสงฆ์เป็นหลักพวกสงเคราะห์โรงพยาบาล โรงเรียนช่วยเด็กยากไร้ ท่านไม่ห้ามแต่เมื่อเทียบกับสงฆ์แล้วได้บุญจิ๊ดเดียว
ในตำราบางทีแค่เลื่อมใส บางทีให้ดอกไม้ บางทีให้เข็มด้ายรองเท้ามูลค่าไม่กี่บาท แต่ได้บุญมากไปเกิดบนสวรรค์ได้แต่ถามว่าไปได้เพราะเงินเล็กน้อยหรืออะไรคำตอบคือไม่ใช่ แต่เพราะไปทำกับเนื้อนาบุญคือสงฆ์คนจึงชอบเอาเรื่องนี้มาตีธรรมกายทั้งที่ไม่เคยไปดูเลยว่าคนที่ทำมากกว่าได้ผลมากกว่าคนทำน้อยมีจริงๆ (ถ้าองค์ประกอบเหมือนกันเช่นศรัทธาเท่ากันทำในสงฆ์ชุดเดียวกันเจตนาเหมือนกันเป็นต้นคราวนี้ละปริมาณทรัพย์ที่บริจาคไปจะให้ผลต่างกันละ)
2. แบบที่ 2 คือแบบที่อนันต์พูดนี่แหละความจริงคนไทยก็เคยได้ยินนะแต่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนทำจริงได้ขนาดพระโพธิสัตว์ยังถูกเอามาวิพากษ์วิจารณ์ซะเสียหายก็มี
แบบนี้เรียกว่า "สร้างบารมีแบบพระโพธิสัตว์" ใครเคยอ่านตอนสมัยพระพุทธเจ้าของเราไปเกิดเป็นดาบสชื่อสุเมธสมัยนั้นท่านเอาชีวิตถวายโดยนอนทำตัวแทนสะพานบนดินโคลนให้พระพุทธเจ้าเหยียบผ่านแล้วตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้างในอนาคตซึ่งพระพุทธเจ้าองค์นั้นทำนายว่าจะได้เป็นสมใจ
จากนั้นดาบสก็ไปนั่งสมาธิพิจารณาด้วยอภิญญาสมาบัติของตัวว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วท่านพบว่าต้องสร้างบารมี 10 ข้อ ข้อแรกคือต้องให้ทานเรียกว่าทานบารมี (บารมีก็คือบุญนั่นแหละแต่เป็นบุญที่ต้องทำแบบยิ่งยวดจริงจังชนิดยอมตายกันเลย)
ให้ขนาดไหนอย่างไร ?
คำตอบคือมีเท่าไหร่ให้หมดไม่หวงอะไรเลย พูดภาษาปัจจุบันก็คือให้กันหมดตัวทำอย่างนี้ไปนับชาติไม่ถ้วนวันหนึ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมใจ
แต่ถ้าทำแบบแรกคือสบายๆ ไม่เน้นมากทำพอขำๆ ถ้าไม่ทำชั่วอื่นอีกก็คงพอเอาตัวรอดได้ แต่เท่าที่เห็นคนไทยพุทธปัจจุบันเอาแต่พร่ำเรื่องพุทธแท้พุทธเทียมถกเถียงว่านั่นถูกนี่ผิดแต่ใช้ชีวิตอย่างแย่กินเหล้ามากกว่าเข้าวัด ปีหนึ่งทำบุญไม่กี่ครั้งแล้วจะหวังบรรลุอะไรนรกไม่สูบลงไปก็ดีตายแล้ว
พระโพธิสัตว์ให้หมดแล้วไม่ตายหรือ ? คือท่านก็ไม่ถึงกับให้แบบนี้ทุกชาติแต่เมื่อมีโอกาสก็ทำแบบนี้แหละเป็นปกติ
สิ่งที่ท่านทำคนทั่วไปไม่เข้าใจหรอกคือมันเกินภูมิเกินกว่าจะจินตนาการเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำย่อมไม่เข้าใจชีวิตบนอากาศของนก
ธรรมดาคนเราเห็นอะไรต่างจากที่ตัวคุ้นเคยจะไม่ค่อยสบายใจ ยิ่งถ้าต่างมากไปจะไม่โอเคเลย เช่นถ้าเป็นคนพูดเพราะแต่ต้องอยู่กับคนปากหมาก็อาจหงุดหงิดบ้าได้ เหมือนชาติที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเวสสันดรสมัยนั้นทำทานเพียบเลยมีเท่าไหร่ใครขออะไรให้หมดให้กระทั่งเมียลูกถ้าเป็นสมัยนี้คงโดนประชาทัณฑ์ใจร้ายผิดมนุษย์มนาไม่สงสารลูกเมีย แต่เพราะทำอย่างนั้นท่านจึงมาเป็นพระพุทธเจ้าของเราตอนนี้ ตอนนั้นถูกด่าตอนนี้มาสรรเสริญตกลงเอาไงที่ทำไปผิดหรือถูกล่ะ
ธรรมกายก็สอนลูกศิษย์ให้สร้างบารมีอย่างพระโพธิสัตว์ทำจริงทำเยอะมาก แต่มีลิมิตไม่ถึงกับทำหมดจนอดตายเพราะใจยังไม่แกร่งขนาดพระโพธิสัตว์ แต่คนธรรมกายจะถูกฝึกให้ทำเต็มกำลังของตัวทำเท่าที่ไปไหว เกินกว่านั้นก็ยังไม่ต้องไปเดี๋ยวตายจริงกันพอดี 555
แต่ทำแค่นี้ธรรมกายก็มีทุนทำงานศาสนาได้มากมายแล้ว เช่นสามารถช่วยเหลือพระภาคใต้ต่อเนื่องมาได้ 13 ปี ช่วยชาวบ้านตอนน้ำท่วมช่วยสารพัดช่วยแล้วก็ทำงานเผยแผ่ไปได้กว้างไกลอย่างที่ไม่เคยมีวัดสำนักพุทธฯมหาเถรสมาคมหรือรัฐบาลสมัยไหนทำได้ใกล้เคียงมาก่อน (วัดเดียวทำได้ขนาดนี้ปรบมือสิครับรออะไร)
ทีนี้มาถึงคลิปตัวหลังที่บอกว่า "บุญอันแท้จริงนั้นไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องใช้เงินมากเป็นของให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางส์ยิ่งใช้เงินมากยิ่งไม่ใช่บุญหรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย"
จะว่าถูกก็ถูกจะว่าไม่ถูกก็ไม่ถูกอ่ะนะ (อ่ะตอบกวนละเนี่ย)
555 คือผมหมายถึงมันถูกบางส่วนไม่ถูกบางส่วนน่ะ
คืองี้บุญที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลยน่ะมันมีแต่บุญที่เกิดขึ้นเพราะเงินมันก็มีเหมือนกันเช่นให้อภัยทานไม่ใช้เงินก็ได้บุญ รักษาศีลไม่ใช้เงิน นั่งสมาธิไม่ใช้เงินได้บุญไหม ได้บุญสิแต่วิธีเหล่านี้บางทีก็ต้องเสียเงินทางอ้อมนะไม่ใช่ไม่เสียอะไรเลย
"บุญเป็นของให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางส์" เรื่องนี้ไม่แน่แต่ที่แน่คือบุญไม่มีได้เปล่าหรอกต้องออกแรงทำความดีนอนอืดเป็นหมูเฉยๆ ไม่มีทางได้บุญหรอกครับ
"ยิ่งใช้เงินมากยิ่งไม่ใช่บุญหรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" ตรงนี้แล้วแต่ Condition นะถูกบ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
เอางี้ดีกว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าบุญเกิดได้ 3 ทาง คือทำทานหรือบริจาค, รักษาศีลและนั่งสมาธิภาวนา
ทั้ง 3 สิ่งนี้มีการบริจาคเป็นรากฐานทั้งสิ้นถ้าไม่มีการบริจาคก็รักษาศีล ยากหรือทำไม่ได้ เมื่อทำศีลไม่ได้จะทำสมาธิภาวนาก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นก็อย่าหวังจะหมดกิเลสไปนิพพานได้เลย
ทานจึงเป็นเหมือนเสาเข็มของชีวิตจะสูงส่งตกต่ำก็อยู่ที่ฐานรากแข็งแรงไหมพระพุทธเจ้ายังตรัสไว้ว่า "ศีลคือมหาทาน" แต่มันเป็นทานที่ประณีตกว่าแล้วไม่เสียเงินอย่างที่ว่ามาไงแต่ฐานมันต้องเสียเงินมาก่อนน่ะไม่งั้นขยับสูงขึ้นมาไม่ได้หรอก
คราวนี้มาดูกันเรื่องเสียเงินโดยตรงกับเสียโดยอ้อมเป็นอย่างไร (เงินในที่นี้หมายถึงทรัพย์สมบัติหรืออะไรที่มีมูลค่านะ)
1 บุญจากการให้ทานอันนี้ชัดอยู่แล้วเงินแน่นอน ถ้าสมัยก่อนอาจไม่เท่าไหร่อาหารการกินเก็บผักตำน้ำพริกปูปลาหาในน้ำหมู่ไก่ไข่พืชผักสวนครัวเลี้ยงปลูกเองได้ไม่ค่อยใช้เงิน
จะสร้างกุฏิศาลาไปตัดไม้มามุงจากมุงแฝกกันไปใช้เงินไม่มากแต่เงินไหม...เงิน
ปัจจุบันวัดหนึ่งวัดที่อยู่ได้โดยไม่รับเงินเลยมีไหมไม่รู้นะแต่ถ้ามีมาบอกด้วยโคตรแอนทีคอยากเห็น
พระในอดีตสปีดชีวิตเท่ากับชาวบ้านทั่วไป เดินทางก็ใช้เดินหรือไปกับเกวียนพ่อค้านั่งเรือพายข้ามฝากเหมือนชาวบ้านเขา
ดื่มน้ำตามแม่น้ำบริขารของพระ 1 ใน 8 จึงคือกระบอกกรองน้ำไง ปัจจุบันบวชพระถามว่ามีใช้กันไหม หายากแล้วครับใครจะกล้าไปกรองน้ำที่ไหนมาดื่มล่ะ
ผ้าที่นุ่งก็ผ้าแบบชาวบ้านเอามาย้อมเองตัดเย็บเองไปขอด้ายขอเข็มจากโยมมาทำ
กุฏิก็ไปขอไม้ขอหญ้ามามุงมาบังใช้ดินขี้วัวเหมือนบ้านชาวบ้านสมัยนั้น
สปีดชีวิตเท่าๆ กันอย่างนี้
แต่ปัจจุบันนี่ไม่ใช่แล้วครับ
น้ำดื่มต้องเสียเงินซื้อ จะรองน้ำฝนก็ต้องใช้โอ่งใช้ตุ่มปั้นเองรึไม่สิต้องซื้ออยู่ดีบางที่ใช้น้ำประปาก็ต้องใช้เงินบางที่ใช้น้ำบาดาลเครื่องสูบน้ำก็กินน้ำมันกินไฟใช้เงินอีกกลางคืนมีกี่วัดที่ใช้เทียนบ้างหายากส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้าก็คือเงินอีก
เมื่อก่อนฉันในบาตรใบเดียวเดี๋ยวนี้ก็มีที่ฉันในบาตร แต่พอโยมมาทำบุญก็ต้องซื้อหม้อรามชามไหกระทะเตาแก๊สจานชามมีดเขียงสารพัดเงินทั้งนั้นครับ
สร้างกุฏิเดี๋ยวนี้เป็นไม้ตัดเองผิดกฎหมายอีกต้องซื้อมาบางทีเป็นปูนปูกระเบื้องหลังคาเงินทั้งนั้น
เมื่อก่อนจะแฝกจะหญ้าจะไม้โยมที่ไหนเอามาถวายก็คล้ายๆ กันแต่ปัจจุบันถ้าบอกโยมให้ซื้อกระเบื้องมาทำบุญตามศรัทธาโยมต่างคนต่างก็หิ้วมาหลากหลายขนาดหลายยี่ห้อหลายลายสุดท้ายจะได้กุฏิแฟนซีมาหลังนึง
อื่นๆ ก็ลองคิดเอาเองเถอะว่าถ้าปัจจุบันเกิดมีพระหรือวัดไหนสอนโยมว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" อันนี้ไม่ได้ว่าอะไรนะแต่อยากเห็นจริงๆ เอาแบบพอโยมจะถวายเงินทำบุญแล้วบอกโยมว่าโยมอยากได้บุญโดยไม่ใช้เงินไหมถ้าเป็นผมๆ เอานะจะได้เก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นเพราะไม่ใช้เงินก็ได้บุญนี่
แต่อยากรู้ว่าท่านจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอะไรต่อมิอะไรอย่างไรและท่านจะใช้ชีวิตในสปีดเดียวกับคนปัจจุบันได้อย่างไรกัน
สมมุติโยมนิมนต์ท่านไปโปรดที่บ้านซึ่งห่างจากวัดสัก 50 กิโลถ้าสมัยก่อนชาวบ้านเดินไปนั่งเกวียนไปก็ไปพร้อมเขาแต่เดี๋ยวนี้โยมที่นิมนต์เขาหมายถึงท่านสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่นาทีด้วยรถยนต์เขาจึงนัดได้ไงว่านิมนต์ 9 โมงหรือ 10 โมงพระก็กะเวลาถูกว่าต้องออกจากวัดตอนไหนจึงจะไปทันเวลารถที่ใช้ไม่ได้เติมน้ำแต่ใช้น้ำมันเงินทั้งนั้นครับ
นี่ไงสปีดชีวิตคนมันเปลี่ยนไปพระก็ต้องปรับให้ทันด้วยถ้าไม่ทำศาสนาพุทธก็จบกันตรงนี้แล้วครับ
2. รักษาศีลกับนั่งสมาธิภาวนาขอควบไปด้วยกันเลยคิดว่าต้องใช้เงินไหมครับอย่างโยมจะไปถือศีล 8 นั่งสมาธิที่วัดใช้เงินไหมตอนถือศีลกับนั่งสมาธิน่ะไม่ต้องใช้โดยตรงแต่โดยอ้อมยังไงก็ไม่พ้นเงินเสื้อผ้าชุดขาวอาสนะนั่งสมาธิค่าเดินทางค่าอาหาร (กินของวัดฟรีไม่สบายใจหรอกอย่างน้อยต้องบริจาคเงิน) บางคนมีค่ากลดแบบธุดงค์ด้วยกระป๋งกระเป๋าข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไปเงินทั้งนั้นครับ
สรุปเลยดีกว่าว่าถ้าพระจะใช้ชีวิตสปีดเดียวกับชาวบ้านเขาไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ครับอย่ามาโลกสวยพุทธแท้ปล่อยวางบ้าบอเลยคนละเรื่องกัน
และที่โคตรขำคือไอ้มนุษย์ที่ชอบเอาความเก่าความโทรมมาวัดคุณค่าของพระแต่ละองค์องค์ไหนอยู่กุฏิเก่าๆนุ่งผ้าปอนๆโอ้ยชื่นชมองค์ไหนอยู่กุฏิใหญ่หน่อยผ้านุ่งผ้าห่มอย่างดีก็ด่าว่าไม่มีความสันโดษ
ขอโทษทีคุณค่าของพระเขาไม่ได้วัดกันที่กุฏิกับจีวรวุ้ย
ถึงที่สุดเลยคนที่อยากสร้างบุญมากๆขนาดจะตัดทุกอย่างออกบวชคุณว่าต้องใช้เงินไหม
สิครับไหนจะค่าบาตรค่าไตรจีวรต่อให้บวชฟรีแต่คุณก็ยังมีค่าใช้จ่าย แม้จะบวชไม่สึกไปจนตายคุณก็ต้องสละของทั้งหมดก่อนบวชกางเกงเสื้อผ้ากีต้าร์รองเท้าคู่เก่งรถยนต์บ้านจินตนาการเอาเถอะมีมูลค่าทั้งนั้น
เท่ากับคุณต้องให้สมบัติซึ่งปัจจุบันเรียกมันว่า"เงิน"ซะก่อนคุณจึงจะไปรักษาศีลหรือนั่งสมาธิอย่างที่คุณฝันไว้ได้แล้วแต่ละวันที่คุณว่าได้บุญ (จากศีลสมาธิ) โดยไม่ใช้เงินน่ะรู้ไว้ด้วยว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินคนอื่นอยู่ดีอย่างพระต้องบิณฑบาตขอข้าวโยมมาฉันคิดว่ามันงอกออกมากันเองเรอะโยมเขาเสียเงินไปซื้อมาให้ทั้งนั้น
ดังนั้นคุณไม่มีทางจะทำบุญอะไรได้โดยไม่ใช้เงินจริงๆหรอก
แค่ใช้มากหรือใช้น้อยเท่านั้นแหละแล้วแต่คน
คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายพระไตรปิฎกจึงพูดดักคนที่ชอบคิดว่าบุญเกิดได้โดยไม่ต้องใช้เงินว่า
"คนที่อาศัยปัญญาแต่ศรัทธาน้อยจึงดื้อแก้ไขยากคิดแต่ว่ากุศลมีได้ด้วยสักว่าทำให้เกิดขึ้นในจิตเท่านั้นแล้วไม่ทำกุศลมีการให้ทานเป็นต้นย่อมเกิดในนรก"
ดังนั้นถ้าคุณให้น้อยแล้วสบายใจก็ให้น้อยไปแต่ไม่ต้องไปด่าคนอื่นว่าทำไม่ถูกมันเงินเขาไม่ใช่เงินคุณ
หรือถ้าคุณคิดว่าไม่ต้องใช้เงินก็ได้บุญคุณก็ไม่ต้องให้แต่ไม่ใช่กงการอะไรจะไปด่าคนที่ให้อย่างที่อนันต์ทำย้ำอีกครั้งว่าเพราะมันไม่ใช่เงินคุณ
หรือถ้าคุณอดรังเกียจคนที่เขาคิดต่างและทนเห็นคนให้ทานต่างจากที่คุณให้ไม่ได้ก็ภาวนาในใจว่าเงินเขาไม่ใช่เงินคุณ
จบนะ
คมความคิด
13 มีนาคม 2560
ไอ้คนตัดคลิปมันอาศัยเครดิตหลวงพ่อมาใช้ คือคิดว่าท่านพูดอะไรก็ต้องถูกหมดเพราะเป็นพระมีชื่อเสียงความจริงไม่แน่หรอกในเมืองไทย ทั้งพระทั้งโยมเก่งๆ ก็อาจเข้าใจคำสอนไม่เหมือนกัน คำสอนเดียวกันแต่ตีความหมายต่างกันไปไม่ต้องมากหรอก แค่เรื่องนรกสวรรค์มีกล่าวในพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ แต่พระบางรูปไม่กล้าพูดเรื่องนี้ตรงๆ เพราะไม่มั่นใจ บางองค์บอกว่าเป็นเรื่องเปรียบเทียบไปเลยก็มี ตกลงคือเลือกเชื่อใช่ไหมเวลาจะด่าใครก็บอกสอนไม่ตรงพระไตรปิฎก แต่ไอ้ที่มีหลักฐานอยู่ทนโท่ก็ตีความเป็นอย่างอื่นบอกไม่ใช่อย่างนี้บิดเบือนไหมไปคิดเอา
พระสายปริยัติกับสายปฏิบัติก็อาจเข้าใจไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งว่าตามตำรา อีกฝ่ายอิงประสบการณ์มากกว่าไม่ติดกรอบตรงนี้ใครจะศรัทธาเลื่อมใสฝ่ายไหนก็ตามสบายควายไม่ขวิด
คนแต่ละคนไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง อย่างถ้าจะเดินป่าผมขอเดินตามนายพรานที่เรียนมาน้อยดีกว่าเดินต้อยๆ ตามนายแพทย์ไปหรือถ้าอยากจะปลูกข้าวผมก็ให้เครดิตชาวนามากกว่านักวิชาการทั้งหลาย จะทำมาค้าขายผมเชื่อนักธุรกิจมากกว่าอาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่ทั้งชาติไม่เคยทำธุรกิจจริง
อย่างหลวงพ่อพุทธทาสเมื่อก่อนท่านก็เคยเอาเรื่องพุทธมหายานมาสอนหรือพุทธแบบเซ็นก็ยังมี แต่ไม่เห็นจะมีใครไปว่าอะไรซึ่งทำถูกแล้วเพราะมันแล้วแต่ใครจะเข้าใจธรรมะไปทางไหนเท่านั้นเอง
ถ้าว่าทางตำรับตำราผมให้น้ำหนักไปทางอนันต์นะ (อย่าเพิ่งหงุดหงิดนิอ่านไปก่อน)
เพราะบริจาคแบบอนันต์มันมีตำรารองรับวิธีนั้นอยู่จริง
คือการทำบุญบริจาคเนี่ยมันมี 2 แบบใหญ่ๆ แบ่งตามใจผมนะ
1. แบบแรกคือที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั่วๆ ไปและพระกับคนไทยชอบใช้สอนกันเช่นหลักการแบ่งทรัพย์หลักการใช้จ่ายทรัพย์โดยแบ่งทรัพย์บางส่วนมาบริจาคให้ทาน ไม่ได้พูดถึงความมากน้อยจะเรียกว่าทำไปตามศรัทธาก็ได้มังซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้มีคนชอบอ้างว่าบริจาคมากได้บุญมากไม่จริงธรรมกายโดนยิงเรื่องนี้บ่อยๆ
ความจริงแม้พระพุทธเจ้าจะไม่ได้พูดถึงความมากน้อยตรงๆ แต่ก็มีอ้อมๆ อยู่นะ (ถ้าเล่าก็ยาวขอผ่านก่อนแต่เอาว่ามีละกัน)
ในแบบแรกนี้ทรงเน้นว่าบุญเกิดมากต้องอาศัยทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ คือทำกับสงฆ์เป็นหลักพวกสงเคราะห์โรงพยาบาล โรงเรียนช่วยเด็กยากไร้ ท่านไม่ห้ามแต่เมื่อเทียบกับสงฆ์แล้วได้บุญจิ๊ดเดียว
ในตำราบางทีแค่เลื่อมใส บางทีให้ดอกไม้ บางทีให้เข็มด้ายรองเท้ามูลค่าไม่กี่บาท แต่ได้บุญมากไปเกิดบนสวรรค์ได้แต่ถามว่าไปได้เพราะเงินเล็กน้อยหรืออะไรคำตอบคือไม่ใช่ แต่เพราะไปทำกับเนื้อนาบุญคือสงฆ์คนจึงชอบเอาเรื่องนี้มาตีธรรมกายทั้งที่ไม่เคยไปดูเลยว่าคนที่ทำมากกว่าได้ผลมากกว่าคนทำน้อยมีจริงๆ (ถ้าองค์ประกอบเหมือนกันเช่นศรัทธาเท่ากันทำในสงฆ์ชุดเดียวกันเจตนาเหมือนกันเป็นต้นคราวนี้ละปริมาณทรัพย์ที่บริจาคไปจะให้ผลต่างกันละ)
2. แบบที่ 2 คือแบบที่อนันต์พูดนี่แหละความจริงคนไทยก็เคยได้ยินนะแต่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนทำจริงได้ขนาดพระโพธิสัตว์ยังถูกเอามาวิพากษ์วิจารณ์ซะเสียหายก็มี
แบบนี้เรียกว่า "สร้างบารมีแบบพระโพธิสัตว์" ใครเคยอ่านตอนสมัยพระพุทธเจ้าของเราไปเกิดเป็นดาบสชื่อสุเมธสมัยนั้นท่านเอาชีวิตถวายโดยนอนทำตัวแทนสะพานบนดินโคลนให้พระพุทธเจ้าเหยียบผ่านแล้วตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้างในอนาคตซึ่งพระพุทธเจ้าองค์นั้นทำนายว่าจะได้เป็นสมใจ
จากนั้นดาบสก็ไปนั่งสมาธิพิจารณาด้วยอภิญญาสมาบัติของตัวว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วท่านพบว่าต้องสร้างบารมี 10 ข้อ ข้อแรกคือต้องให้ทานเรียกว่าทานบารมี (บารมีก็คือบุญนั่นแหละแต่เป็นบุญที่ต้องทำแบบยิ่งยวดจริงจังชนิดยอมตายกันเลย)
ให้ขนาดไหนอย่างไร ?
คำตอบคือมีเท่าไหร่ให้หมดไม่หวงอะไรเลย พูดภาษาปัจจุบันก็คือให้กันหมดตัวทำอย่างนี้ไปนับชาติไม่ถ้วนวันหนึ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมใจ
แต่ถ้าทำแบบแรกคือสบายๆ ไม่เน้นมากทำพอขำๆ ถ้าไม่ทำชั่วอื่นอีกก็คงพอเอาตัวรอดได้ แต่เท่าที่เห็นคนไทยพุทธปัจจุบันเอาแต่พร่ำเรื่องพุทธแท้พุทธเทียมถกเถียงว่านั่นถูกนี่ผิดแต่ใช้ชีวิตอย่างแย่กินเหล้ามากกว่าเข้าวัด ปีหนึ่งทำบุญไม่กี่ครั้งแล้วจะหวังบรรลุอะไรนรกไม่สูบลงไปก็ดีตายแล้ว
พระโพธิสัตว์ให้หมดแล้วไม่ตายหรือ ? คือท่านก็ไม่ถึงกับให้แบบนี้ทุกชาติแต่เมื่อมีโอกาสก็ทำแบบนี้แหละเป็นปกติ
สิ่งที่ท่านทำคนทั่วไปไม่เข้าใจหรอกคือมันเกินภูมิเกินกว่าจะจินตนาการเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำย่อมไม่เข้าใจชีวิตบนอากาศของนก
ธรรมดาคนเราเห็นอะไรต่างจากที่ตัวคุ้นเคยจะไม่ค่อยสบายใจ ยิ่งถ้าต่างมากไปจะไม่โอเคเลย เช่นถ้าเป็นคนพูดเพราะแต่ต้องอยู่กับคนปากหมาก็อาจหงุดหงิดบ้าได้ เหมือนชาติที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเวสสันดรสมัยนั้นทำทานเพียบเลยมีเท่าไหร่ใครขออะไรให้หมดให้กระทั่งเมียลูกถ้าเป็นสมัยนี้คงโดนประชาทัณฑ์ใจร้ายผิดมนุษย์มนาไม่สงสารลูกเมีย แต่เพราะทำอย่างนั้นท่านจึงมาเป็นพระพุทธเจ้าของเราตอนนี้ ตอนนั้นถูกด่าตอนนี้มาสรรเสริญตกลงเอาไงที่ทำไปผิดหรือถูกล่ะ
ธรรมกายก็สอนลูกศิษย์ให้สร้างบารมีอย่างพระโพธิสัตว์ทำจริงทำเยอะมาก แต่มีลิมิตไม่ถึงกับทำหมดจนอดตายเพราะใจยังไม่แกร่งขนาดพระโพธิสัตว์ แต่คนธรรมกายจะถูกฝึกให้ทำเต็มกำลังของตัวทำเท่าที่ไปไหว เกินกว่านั้นก็ยังไม่ต้องไปเดี๋ยวตายจริงกันพอดี 555
แต่ทำแค่นี้ธรรมกายก็มีทุนทำงานศาสนาได้มากมายแล้ว เช่นสามารถช่วยเหลือพระภาคใต้ต่อเนื่องมาได้ 13 ปี ช่วยชาวบ้านตอนน้ำท่วมช่วยสารพัดช่วยแล้วก็ทำงานเผยแผ่ไปได้กว้างไกลอย่างที่ไม่เคยมีวัดสำนักพุทธฯมหาเถรสมาคมหรือรัฐบาลสมัยไหนทำได้ใกล้เคียงมาก่อน (วัดเดียวทำได้ขนาดนี้ปรบมือสิครับรออะไร)
ทีนี้มาถึงคลิปตัวหลังที่บอกว่า "บุญอันแท้จริงนั้นไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องใช้เงินมากเป็นของให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางส์ยิ่งใช้เงินมากยิ่งไม่ใช่บุญหรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย"
จะว่าถูกก็ถูกจะว่าไม่ถูกก็ไม่ถูกอ่ะนะ (อ่ะตอบกวนละเนี่ย)
555 คือผมหมายถึงมันถูกบางส่วนไม่ถูกบางส่วนน่ะ
คืองี้บุญที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลยน่ะมันมีแต่บุญที่เกิดขึ้นเพราะเงินมันก็มีเหมือนกันเช่นให้อภัยทานไม่ใช้เงินก็ได้บุญ รักษาศีลไม่ใช้เงิน นั่งสมาธิไม่ใช้เงินได้บุญไหม ได้บุญสิแต่วิธีเหล่านี้บางทีก็ต้องเสียเงินทางอ้อมนะไม่ใช่ไม่เสียอะไรเลย
"บุญเป็นของให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางส์" เรื่องนี้ไม่แน่แต่ที่แน่คือบุญไม่มีได้เปล่าหรอกต้องออกแรงทำความดีนอนอืดเป็นหมูเฉยๆ ไม่มีทางได้บุญหรอกครับ
"ยิ่งใช้เงินมากยิ่งไม่ใช่บุญหรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" ตรงนี้แล้วแต่ Condition นะถูกบ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
เอางี้ดีกว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าบุญเกิดได้ 3 ทาง คือทำทานหรือบริจาค, รักษาศีลและนั่งสมาธิภาวนา
ทั้ง 3 สิ่งนี้มีการบริจาคเป็นรากฐานทั้งสิ้นถ้าไม่มีการบริจาคก็รักษาศีล ยากหรือทำไม่ได้ เมื่อทำศีลไม่ได้จะทำสมาธิภาวนาก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นก็อย่าหวังจะหมดกิเลสไปนิพพานได้เลย
ทานจึงเป็นเหมือนเสาเข็มของชีวิตจะสูงส่งตกต่ำก็อยู่ที่ฐานรากแข็งแรงไหมพระพุทธเจ้ายังตรัสไว้ว่า "ศีลคือมหาทาน" แต่มันเป็นทานที่ประณีตกว่าแล้วไม่เสียเงินอย่างที่ว่ามาไงแต่ฐานมันต้องเสียเงินมาก่อนน่ะไม่งั้นขยับสูงขึ้นมาไม่ได้หรอก
คราวนี้มาดูกันเรื่องเสียเงินโดยตรงกับเสียโดยอ้อมเป็นอย่างไร (เงินในที่นี้หมายถึงทรัพย์สมบัติหรืออะไรที่มีมูลค่านะ)
1 บุญจากการให้ทานอันนี้ชัดอยู่แล้วเงินแน่นอน ถ้าสมัยก่อนอาจไม่เท่าไหร่อาหารการกินเก็บผักตำน้ำพริกปูปลาหาในน้ำหมู่ไก่ไข่พืชผักสวนครัวเลี้ยงปลูกเองได้ไม่ค่อยใช้เงิน
จะสร้างกุฏิศาลาไปตัดไม้มามุงจากมุงแฝกกันไปใช้เงินไม่มากแต่เงินไหม...เงิน
ปัจจุบันวัดหนึ่งวัดที่อยู่ได้โดยไม่รับเงินเลยมีไหมไม่รู้นะแต่ถ้ามีมาบอกด้วยโคตรแอนทีคอยากเห็น
พระในอดีตสปีดชีวิตเท่ากับชาวบ้านทั่วไป เดินทางก็ใช้เดินหรือไปกับเกวียนพ่อค้านั่งเรือพายข้ามฝากเหมือนชาวบ้านเขา
ดื่มน้ำตามแม่น้ำบริขารของพระ 1 ใน 8 จึงคือกระบอกกรองน้ำไง ปัจจุบันบวชพระถามว่ามีใช้กันไหม หายากแล้วครับใครจะกล้าไปกรองน้ำที่ไหนมาดื่มล่ะ
ผ้าที่นุ่งก็ผ้าแบบชาวบ้านเอามาย้อมเองตัดเย็บเองไปขอด้ายขอเข็มจากโยมมาทำ
กุฏิก็ไปขอไม้ขอหญ้ามามุงมาบังใช้ดินขี้วัวเหมือนบ้านชาวบ้านสมัยนั้น
สปีดชีวิตเท่าๆ กันอย่างนี้
แต่ปัจจุบันนี่ไม่ใช่แล้วครับ
น้ำดื่มต้องเสียเงินซื้อ จะรองน้ำฝนก็ต้องใช้โอ่งใช้ตุ่มปั้นเองรึไม่สิต้องซื้ออยู่ดีบางที่ใช้น้ำประปาก็ต้องใช้เงินบางที่ใช้น้ำบาดาลเครื่องสูบน้ำก็กินน้ำมันกินไฟใช้เงินอีกกลางคืนมีกี่วัดที่ใช้เทียนบ้างหายากส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้าก็คือเงินอีก
เมื่อก่อนฉันในบาตรใบเดียวเดี๋ยวนี้ก็มีที่ฉันในบาตร แต่พอโยมมาทำบุญก็ต้องซื้อหม้อรามชามไหกระทะเตาแก๊สจานชามมีดเขียงสารพัดเงินทั้งนั้นครับ
สร้างกุฏิเดี๋ยวนี้เป็นไม้ตัดเองผิดกฎหมายอีกต้องซื้อมาบางทีเป็นปูนปูกระเบื้องหลังคาเงินทั้งนั้น
เมื่อก่อนจะแฝกจะหญ้าจะไม้โยมที่ไหนเอามาถวายก็คล้ายๆ กันแต่ปัจจุบันถ้าบอกโยมให้ซื้อกระเบื้องมาทำบุญตามศรัทธาโยมต่างคนต่างก็หิ้วมาหลากหลายขนาดหลายยี่ห้อหลายลายสุดท้ายจะได้กุฏิแฟนซีมาหลังนึง
อื่นๆ ก็ลองคิดเอาเองเถอะว่าถ้าปัจจุบันเกิดมีพระหรือวัดไหนสอนโยมว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" อันนี้ไม่ได้ว่าอะไรนะแต่อยากเห็นจริงๆ เอาแบบพอโยมจะถวายเงินทำบุญแล้วบอกโยมว่าโยมอยากได้บุญโดยไม่ใช้เงินไหมถ้าเป็นผมๆ เอานะจะได้เก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นเพราะไม่ใช้เงินก็ได้บุญนี่
แต่อยากรู้ว่าท่านจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอะไรต่อมิอะไรอย่างไรและท่านจะใช้ชีวิตในสปีดเดียวกับคนปัจจุบันได้อย่างไรกัน
สมมุติโยมนิมนต์ท่านไปโปรดที่บ้านซึ่งห่างจากวัดสัก 50 กิโลถ้าสมัยก่อนชาวบ้านเดินไปนั่งเกวียนไปก็ไปพร้อมเขาแต่เดี๋ยวนี้โยมที่นิมนต์เขาหมายถึงท่านสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่นาทีด้วยรถยนต์เขาจึงนัดได้ไงว่านิมนต์ 9 โมงหรือ 10 โมงพระก็กะเวลาถูกว่าต้องออกจากวัดตอนไหนจึงจะไปทันเวลารถที่ใช้ไม่ได้เติมน้ำแต่ใช้น้ำมันเงินทั้งนั้นครับ
นี่ไงสปีดชีวิตคนมันเปลี่ยนไปพระก็ต้องปรับให้ทันด้วยถ้าไม่ทำศาสนาพุทธก็จบกันตรงนี้แล้วครับ
2. รักษาศีลกับนั่งสมาธิภาวนาขอควบไปด้วยกันเลยคิดว่าต้องใช้เงินไหมครับอย่างโยมจะไปถือศีล 8 นั่งสมาธิที่วัดใช้เงินไหมตอนถือศีลกับนั่งสมาธิน่ะไม่ต้องใช้โดยตรงแต่โดยอ้อมยังไงก็ไม่พ้นเงินเสื้อผ้าชุดขาวอาสนะนั่งสมาธิค่าเดินทางค่าอาหาร (กินของวัดฟรีไม่สบายใจหรอกอย่างน้อยต้องบริจาคเงิน) บางคนมีค่ากลดแบบธุดงค์ด้วยกระป๋งกระเป๋าข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไปเงินทั้งนั้นครับ
สรุปเลยดีกว่าว่าถ้าพระจะใช้ชีวิตสปีดเดียวกับชาวบ้านเขาไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ครับอย่ามาโลกสวยพุทธแท้ปล่อยวางบ้าบอเลยคนละเรื่องกัน
และที่โคตรขำคือไอ้มนุษย์ที่ชอบเอาความเก่าความโทรมมาวัดคุณค่าของพระแต่ละองค์องค์ไหนอยู่กุฏิเก่าๆนุ่งผ้าปอนๆโอ้ยชื่นชมองค์ไหนอยู่กุฏิใหญ่หน่อยผ้านุ่งผ้าห่มอย่างดีก็ด่าว่าไม่มีความสันโดษ
ขอโทษทีคุณค่าของพระเขาไม่ได้วัดกันที่กุฏิกับจีวรวุ้ย
ถึงที่สุดเลยคนที่อยากสร้างบุญมากๆขนาดจะตัดทุกอย่างออกบวชคุณว่าต้องใช้เงินไหม
สิครับไหนจะค่าบาตรค่าไตรจีวรต่อให้บวชฟรีแต่คุณก็ยังมีค่าใช้จ่าย แม้จะบวชไม่สึกไปจนตายคุณก็ต้องสละของทั้งหมดก่อนบวชกางเกงเสื้อผ้ากีต้าร์รองเท้าคู่เก่งรถยนต์บ้านจินตนาการเอาเถอะมีมูลค่าทั้งนั้น
เท่ากับคุณต้องให้สมบัติซึ่งปัจจุบันเรียกมันว่า"เงิน"ซะก่อนคุณจึงจะไปรักษาศีลหรือนั่งสมาธิอย่างที่คุณฝันไว้ได้แล้วแต่ละวันที่คุณว่าได้บุญ (จากศีลสมาธิ) โดยไม่ใช้เงินน่ะรู้ไว้ด้วยว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินคนอื่นอยู่ดีอย่างพระต้องบิณฑบาตขอข้าวโยมมาฉันคิดว่ามันงอกออกมากันเองเรอะโยมเขาเสียเงินไปซื้อมาให้ทั้งนั้น
ดังนั้นคุณไม่มีทางจะทำบุญอะไรได้โดยไม่ใช้เงินจริงๆหรอก
แค่ใช้มากหรือใช้น้อยเท่านั้นแหละแล้วแต่คน
คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายพระไตรปิฎกจึงพูดดักคนที่ชอบคิดว่าบุญเกิดได้โดยไม่ต้องใช้เงินว่า
"คนที่อาศัยปัญญาแต่ศรัทธาน้อยจึงดื้อแก้ไขยากคิดแต่ว่ากุศลมีได้ด้วยสักว่าทำให้เกิดขึ้นในจิตเท่านั้นแล้วไม่ทำกุศลมีการให้ทานเป็นต้นย่อมเกิดในนรก"
ดังนั้นถ้าคุณให้น้อยแล้วสบายใจก็ให้น้อยไปแต่ไม่ต้องไปด่าคนอื่นว่าทำไม่ถูกมันเงินเขาไม่ใช่เงินคุณ
หรือถ้าคุณคิดว่าไม่ต้องใช้เงินก็ได้บุญคุณก็ไม่ต้องให้แต่ไม่ใช่กงการอะไรจะไปด่าคนที่ให้อย่างที่อนันต์ทำย้ำอีกครั้งว่าเพราะมันไม่ใช่เงินคุณ
หรือถ้าคุณอดรังเกียจคนที่เขาคิดต่างและทนเห็นคนให้ทานต่างจากที่คุณให้ไม่ได้ก็ภาวนาในใจว่าเงินเขาไม่ใช่เงินคุณ
จบนะ
คมความคิด
13 มีนาคม 2560
ปิดบัญชีทำบุญ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
21:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: