หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๐)
เมื่อใกล้ถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของทุก ๆ ปีนั้น ในวัฒนธรรมของเรา คนไทยย่อมจะมีการย้อนรำลึกนึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก
อาทิ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์
ท่านผู้มีพระคุณของเรา เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ
เช่น เพื่อนึกถึงคุณความดีของท่านที่มีต่อตัวเรา
เพื่อทบทวนคำสั่งสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ที่ท่านมอบให้แก่เรา
ตลอดจนเพื่อทบทวนบุญที่เรากระทำเพื่อท่านในปีที่ผ่านมา ฯลฯ
เพื่อที่จะนำคำสั่งสอนบทเรียนอันล้ำค่า หรือบุญกุศลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์
หรือมาทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
ในส่วนของผู้เขียนเองนั้น
ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน
ที่เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง
มักจะย้อนรำลึกนึกถึงบุคคลสำคัญท่านหนึ่งอยู่เสมอ บุคคลท่านนั้นก็คือ
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย มหาปูชนียาจารย์ผู้เป็นที่เคารพยิ่งของเราทุกคน
ซึ่งกล่าวได้ว่า ทั้งคำสอน ปฏิปทาต่าง ๆ ตลอดจน “วิชชาความรู้” ของท่านนั้น คือสิ่งที่ทรงคุณค่าและสามารถนำพาสันติสุขให้แก่ตัวเราและมวลมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง
การน้อมรำลึกถึงท่านในแต่ละครั้ง จึงถือว่าเป็นการน้อมนำเอาสิ่งที่ดีงาม
ที่เป็นมงคลของชีวิตให้เข้ามาสู่ตัวเราอยู่เสมอไป
เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบูชาบุคคลผู้ควรบูชา ซึ่งถือว่าเป็นมงคลอันสูงสุด
(ปูชา จ ปูชะนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตตมํ) ดังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
ซึ่งก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งว่า
ในตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น
เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปประกอบศาสนกิจหรือทำงานศึกษาวิจัยหลักฐานธรรมกายในพื้นที่แห่งใดก็ดี
ก็มักจะมีโอกาสพบกับบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) อยู่เสมอไป
แม้ว่าจะไม่เกิดขึ้นโดยตรงทุกครั้งในทุก ๆ ภารกิจ
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่ผู้เขียนได้รับข้อมูลที่สำคัญ
การบอกเล่าที่สำคัญ (ในเรื่องหลักฐานธรรมกาย)
จากการได้พบกับบุคคลผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเดชพระคุณหลวงปู่
(พระมงคลเทพมุนี) โดยตรง
บุคคลท่านหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ
พระเดชพระคุณดร.พระมหาผ่อง ปิยะธีโร สะมาฤกษ์
อดีตประธานศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนสัมพันธ์ลาว
(เทียบเท่าตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรัก ความเคารพ ความศรัทธาในพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เป็นอย่างมาก
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนได้พบกับท่านในโอกาสต่าง ๆ ทั้งในการประกอบศาสนกิจ หรือการไปประชุมในเวทีนานาชาติหลาย ๆ
ครั้ง หากมีโอกาสและเวลาเอื้ออำนวย
พระเดชพระคุณดร.พระมหาผ่องก็จะสละเวลาถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าศรัทธา น่าประทับใจ
ให้ผู้เขียนฟังทุกครั้ง แม้ในเรื่องที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงปู่
แต่ถ้าหากเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อความเข้าใจในวิชชาธรรมกายแล้ว พระเดชพระคุณ
ดร.พระมหาผ่องท่านก็ไม่เคยละเลยที่จะถ่ายทอดแม้แต่สักครั้งเดียว
ซึ่งในแต่ละครั้งท่านก็จะเล่าถึงเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความเบิกบานใจ
พระเดชพระคุณ ดร.พระมหาผ่อง ปิยะธีโร สะมาฤกษ์ นั้น
เป็นพระมหาเถระผู้เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประชาชนชาวไทย
ในช่วงวัยต้นของชีวิตท่านนั้น เป็นที่น่าสนใจว่า
ท่านเคยเดินทางมาศึกษาและเป็นครูสอนอยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดชนะสงคราม
ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร รวมเวลาถึง ๑๖ ปีด้วยกัน
โดยในช่วงระหว่างนั้น พระเดชพระคุณดร.พระมหาผ่อง
เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ (พระมงคลเทพมุนี) อยู่หลายครั้ง
และการที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นระยะ ๆ นี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาปฏิปทา
ข้อวัตรปฏิบัติ และเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงปู่สืบต่อมา
พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺตมหาเถร) |
เมื่อกล่าวถึงพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงปู่นั้น
อาจกล่าวได้ว่า พระธรรมเทศนาของท่านที่แสดงเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๐
ถือเป็นพระธรรมเทศนาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของท่าน
ทั้งนี้เพราะเป็นพระธรรมเทศนาที่ พระเดชพระคุณพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺตมหาเถร)
อดีตอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ทำหนังสือขออาราธนานิมนต์พระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยตนเอง
โดยได้กำหนดหัวข้อการแสดงพระธรรมเทศนาว่าจะต้องเป็นเรื่องกัมมัฏฐานโดยตรง
และในวันนั้นการแสดงพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด
จนฺทสโร) ครูผู้คนพบวิชชาธรรมกาย ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น เป็นที่อนุโมทนาชื่นชมโดยทั่วไป
พระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพะสุต) |
หนึ่งในบุคคลผู้ทรงภูมิความรู้
ซึ่งยืนยันถึงความถูกต้อง ลุ่มลึก ของพระธรรมเทศนาในครั้งนี้ไว้อย่างชัดเจนก็คือ “พระทิพย์ปริญญา” (ธูป กลัมพะสุต) ป.ธ.๖
ผู้ติดตามการสอนแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของพระเดชพระคุณหลวงปู่
(พระมงคลเทพมุนี)
ในการแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ ๑
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ – วันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙
รวมทั้งการแสดงพระธรรมเทศนาในวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐
โดยในท้ายที่สุดท่านพระทิพย์ปริญญาผู้นี้ได้ให้ข้อสรุปว่า
“... หลวงพ่อ (พระมงคลเทพมุนี) ท่านมุ่งมั่นในการสอนสมาธิเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเทศน์เรื่องใด ๆ ก็ตาม
สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาให้ไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยการปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกาย...”1
1 พระครูภาวนามงคล, ตามรอยธรรมกาย :
หลักฐานธรรมกายของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย, กรุงเทพฯ : เอส. พี. เค. เปเปอร์ แอนด์
ฟอร์ม, ๒๕๕๖, หน้า ๓๙๖-๔๐๔.
เช่นเดียวกับที่ท่านพระเดชพระคุณพระพิมลธรรม
(ช้อย ฐานทตฺตมหาเถร) ได้เอ่ยปากชื่นชมพระธรรมเทศนาในวันที่ ๗ ตุลาคมพุทธศักราช
๒๔๙๐ ของพระเดชพระคุณหลวงปู่เช่นกันว่า “...การเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (นั้น) ลึกซึ้ง มีลำดับ ขั้นตอน สอดแทรกบาลี
นำมาขยายความให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน ทั้งศีล สมาธิ ความบริสุทธิ์
เชื่อมโยงสู่การปฏิบัติ สมแล้วที่เป็นนักปฏิบัติธรรมวินัย
ไม่มีที่ติเลย ...”
สำหรับตัวของท่านพระทิพย์ปริญญาเองก็ยังได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมจากการฟังพระธรรมเทศนาครั้งดังกล่าวด้วยว่า
“เท่าที่ได้เคยพบปะมา
พระที่เป็นฝ่ายสมถะมักไม่ใคร่แสดงธรรม (แต่)
พระที่แสดงธรรมส่วนมากมักเป็นฝ่ายปริยัติ ...แต่ (สำหรับ) หลวงพ่อวัดปากน้ำนี้
...ด้วยความที่เป็นนักปริยัติมาเก่าก่อน แนวการแสดงธรรมในเบื้องต้นแต่ละกัณฑ์
ระวังบาลีมิให้คลาดเคลื่อน”2
2 สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย
(ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์), มุทิตาสักการะ พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม), กรุงเทพฯ: (มปท.), หน้า ๔๒-๔๔.
การให้คำยืนยันของพระมหาเถระและบุคคลผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกข้างต้น
ทำให้เราทราบว่า ในระหว่างการทำงาน
การศึกษา และเผยแผ่ธรรมปฏิบัติตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ผู้เป็นที่เคารพบูชาของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั่วโลกนั้นมิใช่เรื่องง่าย กล่าวโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท่านกำลังให้การถ่ายทอดความรู้ธรรมปฏิบัติมานับสิบปีนั้น ท่านต้องพบกับอุปสรรคมากมายหลายด้าน
ในท่ามกลางเสียงชื่นชมอนุโมทนา
ก็ยังปะปนไปด้วยเสียงโต้แย้งคัดค้านท่านเสมอมาเช่นกัน
พระอริยุคุณาธาร (ปุสฺโสเสง) |
ดังเช่นในปีพุทธศักราช ๒๔๙๓
ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องที่ท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง
ๆ อย่างกว้างขวาง ทำให้ทางการคณะสงฆ์ถึงกับส่ง ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร
(ปุสฺโสเสง) เปรียญธรรม ๖ ประโยค
ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่จากวัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ในฐานะผู้ตรวจการภาค
มาตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ จนในท้ายที่สุด
ท่านจึงได้มาสนทนากับพระเดชพระคุณหลวงปู่ในหลายประเด็น นับตั้งแต่เรื่องของการปฏิบัติ
แนวการสอนในวิชชาธรรมกาย เรื่องพระวินัย ตลอดจนพระไตรปิฎก ฯลฯ
ซึ่งจากการพบและสนทนากันในคราวนั้น ทำให้ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสฺโสเสง)
ให้ข้อสรุปถึงแนวการสอนและการปฏิบัติของพระเดชพระคุณหลวงปู่ไว้ ๓ ประการใหญ่ ๆ คือ ๑) แนวการสอนและการปฏิบัติของพระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นไปตามแบบของโบราณาจารย์
ซึ่งสงเคราะห์ลงได้ในหลักกายคตาสติกรรมฐานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางแบบไว้ (คือ
การให้กำหนดจิตไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ๒)
แนวการสอนนี้ถือว่าเป็นกสิณแสงสว่าง โดยสมมุติเป็นดวงแก้ว หรือจะว่าเป็นวิญญาณกสิณก็ได้ ๓)
เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแน่วแน่นิมิตก็จะปรากฏ หรือถ้าเป็นการเพ่งภาพหรือวัตถุ
หรือธรรมชาติ หรือเป็นมโนภาพใช้ในการแผลงฤทธิ์ที่เรียกกันว่า “วิกุพพนาฤทธิ์” ตกลงว่าวิธีการปฏิบัติและการสอนของหลวงปู่วัดปากน้ำนั้นเป็นปฏิปทาเพื่ออภิญญาโดยตรง
การให้ข้อสรุปของท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร
(ปุสฺโสเสง) ในครั้งนั้น นับว่าเป็นข้อสรุปที่สำคัญและช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ ความเป็นพระมหาเถระที่มีปฏิปทาและจริยวัตรที่งดงามของพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ได้เป็นอย่างดี ด้วยว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา เกียรติคุณของพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราก็ยิ่งขจรขจายไปกว้างไกลยิ่งกว่าเดิม
จนการคณะสงฆ์ในยุคนั้นได้ถวายเกียรติแด่ท่าน
และส่งผลให้ท่านได้รับพระราชทานพัดยศเทียบเปรียญ (พ.ศ. ๒๔๙๔)
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามว่า “พระมงคลราชมุนี” (พ.ศ. ๒๔๙๘)
และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามว่า “พระมงคลเทพมุนี” (พ.ศ. ๒๕๐๐) ในที่สุด
สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) |
จนแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ในภายหลัง สมเด็จพระสังฆราช
(ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ก็ยังได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือ “ชีวประวัติของพระมงคลเทพมุนี
และอานุภาพธรรมกาย” เพื่อยืนยันถึงความมีอยู่จริงของวิชชาธรรมกายไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
โดยทรงพระนิพนธ์ไว้ตั้งแต่ครั้งยังทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต
ในช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๑๒
ความตอนหนึ่งว่า
“...คำว่า ธรรมกาย นั้น พระคุณท่าน (พระมงคลเทพมุนี) ไม่ได้บัญญัติขึ้นเอง
แต่หาก (เพราะ) ท่านได้ปฏิบัติธรรมมาแล้ว ซึ่งตรงกับคำที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกด้วย
เมื่อท่านค้นคว้าได้มาบังเอิญไปตรงกับพระไตรปิฎกเข้า จึงเป็นเรื่องที่ท่านภูมิใจและมั่นใจว่าของจริง มีจริง
และมีอยู่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ...แต่ของจริงนั้น บุคคลจะพึงได้ พึงเห็น
ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงเท่านั้น
มิใช่เกิดขึ้นเพราะความคิดนึกและความปรารถนา...”3
3 สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น
ปุณฺณสิริ), ชีวประวัติของพระมงคลเทพมุนี
(หลวงพ่อวัดปากน้ำ) และอานุภาพธรรมกาย, ธนบุรี, โรงพิมพ์ดำรงธรรม, ๒๕๑๕, หน้า ๕๐.
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอีกเช่นกันที่ไม่เพียงแต่พระนิพนธ์ฉบับนี้เท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันความมีอยู่จริง
ความเป็นสิ่งที่ดีจริงของวิชชาธรรมกาย
หากแต่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามแห่งเดียวกันนี้เองที่เป็นสถานที่เก็บรักษา “พระไตรปิฎกฉบับเทพชุมนุม” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๓) ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้น
ซึ่งภายหลังเมื่อสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ได้ขออนุญาตเข้าไปทำการอนุรักษ์ รวบรวม
จัดหมวดหมู่ ทำบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว4 ในเวลาต่อมาจึงทำให้ได้พบจารึกคัมภีร์ “ธมฺมกายาทิ” และได้พบอีกครั้งหนึ่งจากการไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหอสมุดแห่งชาติ
พระนคร ในพระไตรปิฎกฉบับรองทรง
ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทั้งนี้การค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญข้างต้นจึงเป็นเสมือนการค้นพบฐานความรู้และประวัติศาสตร์ที่สำคัญครั้งหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะในด้านหนึ่งย่อมจะเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า
บรรพบุรุษไทยทุกยุคทุกสมัยต่างก็ทราบและรู้จักเรื่องราวของ “ธรรมกาย” มาเป็นเวลานานแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือ
การพบเรื่องราวหลักฐานธรรมกายนี้
เป็นการพบในสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายโดยตรง ทั้งในแง่ของบุคคล หลักฐานเอกสาร
และประวัติศาสตร์
ซึ่งก็เป็นดังที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำไว้ตั้งแต่เบื้องต้นว่า
“ล้วนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง” จริง ๆ
4สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ได้ดำเนินการในการร่วมอนุรักษ์คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
คือพระไตรปิฎก ฉบับหลวง และพระไตรปิฎกฉบับเทพชุมนุมตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖
แล้วเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ มีการนำสำเนาคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับเทพชุมนุมฉบับดิจิทัลนี้ไปจัดแสดงในนิทรรศการสัปดาห
์ วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน
ในท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอน้อมนำบุญที่ได้กระทำมาแล้วด้วยดีตลอดปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ ไม่ว่าจะเป็นบุญใดก็ตาม
ขอให้ทุกท่านได้มีส่วนในทุก ๆ
บุญที่ผู้เขียนและคณะทำงานสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัยได้สร้างสมมาแล้วทุกประการ
โดยเฉพาะล่าสุดที่ผู้เขียนได้ร่วมก่อตั้งกองทุนสำคัญ ๒ ทุน คือ กองทุนการเผยแผ่และปกป้องพระพุทธศาสนาจังหวัดน่าน และ กองทุนการวิจัยวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันมี พระเดชพระคุณพระสุนทรมุนี
ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครน่านเฉลิมพระเกียรติพระเดชพระคุณพระชยานันทมุนี
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์นครน่าน เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง
มาร่วมเป็นสักขีพยาน
ด้วยความตั้งใจสร้างบารมีกันมาด้วยดีของนักสร้างบารมีทุกท่าน
ผู้เขียนขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขสันติ
มีความปลื้มปีติในบุญทุกบุญที่ร่วมกันสั่งสมมาแล้วด้วยดีตลอดปีพุทธศักราช ๒๕๕๙
มีความเข้มแข็ง และพร้อมสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน
ที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกในปี ๒๕๖๐ ที่จะมาถึงนี้
พร้อมกันนี้ก็ขออนุโมทนาในความพร้อมเพรียงของสาธุชนพุทธบริษัททุกคนที่ได้มาร่วมกันสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตรจนครบ
๑๑,๑๑๑,๑๑๑ จบ ในวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย
(หรือตรงกับวันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙) ที่ผ่านมา
และขอให้เป้าหมายต่อไปของการสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตลอดจนการร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนาของลูกหลานพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
จงสำเร็จเป็นอัศจรรย์ทุกประการเทอญฯ
Cr. พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม
สุธมฺโม)
และคณะนักวิจัย DIRI
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๑ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๐)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:40
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: