พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานครอบครัว ชาวพุทธและสังคมพุทธไว้บ้างหรือไม่ ?
ตอบ :
ชาวพุทธ หมายถึง ผู้ที่มีที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดคือพระรัตนตรัย
เป็นผู้ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้ดำรงชีวิตอย่างมีเป้าหมาย คือฝึกฝนอบรมตนเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ประโยชน์ตน คือ การมุ่งฝึกตนเพื่อเป้าหมายประโยชน์ทั้ง ๓ ระดับ คือ
เป้าหมายชีวิตในโลกนี้ เป้าหมายชีวิตในโลกหน้า (สัมปรายภพ)
และเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุมรรคผลนิพพาน
มุ่งขจัดอาสวกิเลสต้นเหตุแห่งทุกข์และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ประโยชน์ท่าน คือ การมุ่งฝึกตนเพื่อส่งเสริมให้ผู้อื่นบรรลุประโยชน์ทั้ง ๓
ระดับ ของเขาด้วย ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตเพื่อบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก
สำหรับมาตรฐานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้
ให้ชาวพุทธใช้เป็นแนวทางสำหรับฝึกตนเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ตนเองและชาวโลกนั้น
ประกอบด้วย ๖ หมวด ซึ่งถ้าใครทำได้ครบทุกหมวด
ชีวิตก็จะประสบความเจริญรุ่งเรืองตามมาตรฐานเช่นเดียวกับชาวพุทธในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา
ได้แก่
หมวดที่ ๑ กรรมที่ต้องละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดพฤติกรรมที่ห้ามทำบาปกรรมไว้ ๑๔ ข้อ
หากใครเคยทำมาก่อนในอดีต
ต่อแต่นี้ต้องละเสียให้เลิกทำบาปกรรมซึ่งเป็นตัวถ่วงไม่ให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า
ทรัพย์ที่มีก็ต้องรู้จักรักษาไม่ให้หมดไปโดยใช่เหตุ ได้แก่
• ละกรรมกิเลส ๔ ประการ ได้แก่ ศีล ๔
ข้อแรก ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ
• ไม่ทำบาปกรรมด้วยอคติ ๔ ประการ ได้แก่
ลำเอียงเพราะรัก โกรธ หลง หรือ กลัวภัย
• ไม่เสพทางเสื่อมแห่งทรัพย์สมบัติ
คือ อบายมุข ๖ ประการ ได้แก่ การดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูมหรสพ การเล่นการพนัน การคบคนชั่วเป็นมิตร และความเกียจคร้าน สิ่งเหล่านี้มีแต่โทษ
ไม่ก่อประโยชน์ สังคมที่รุ่งเรืองไม่ว่าจะเป็นระดับอาณาจักร ตระกูลบริษัท
หรืออื่นใดก็แล้วแต่ จะเสื่อมลงก็เพราะยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ๖ เหล่านี้
หมวดที่ ๒ การเลือกคบคน
เมื่อเกิดเป็นคนก็ต้องมีเพื่อน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานไว้ว่าเมื่อจะคบใครก็ต้องคบให้ได้ดี
เลือกคบคนดี โดยก่อนอื่นต้องรู้จักแยกแยะระหว่างคนดีกับคนชั่ว
ขณะเดียวกันก็ต้องฝึกตัวเองให้เป็นมิตรแท้ต่อคนอื่นด้วย
เพราะถ้าตนเองยังฝึกตนไม่ได้มาตรฐานของมิตรแท้
ก็คงไม่มีคนดีคนไหนอยากจะคบหาเราเป็นเพื่อนด้วย มิตรเทียม คือ คนที่ไม่ควรคบ
เพราะมีพฤติกรรมที่ไม่นับว่าเป็นมิตร ใครคบหาสมาคมด้วย
ก็มีแต่จะทำให้เสื่อมลงและนำภัยมาให้ไม่จบสิ้น
มิตรเทียม จัดเป็น ๑ ในอบายมุข ๖ แบ่งได้ ๔ ประเภท ได้แก่ ๑) คนปอกลอก ๒)
คนดีแต่พูด ๓) คนหัวประจบ ๔) คนชักชวนในทางฉิบหาย
มิตรแท้ คือ มิตรที่ควรคบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งกลุ่มมิตรแท้ไว้ ๔
ประเภท ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับมิตรเทียม ได้แก่ ๑) มิตรมีอุปการะ ๒)
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๓) มิตรแนะนำประโยชน์ ๔) มิตรมีความรักใคร่
หมวดที่ ๓ วิธีใช้ทรัพย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานการใช้ทรัพย์ของชาวพุทธไว้ด้วยโดยทรงให้แบ่งทรัพย์ออกเป็น
๔ ส่วน ได้แก่ใช้สอยเลี้ยงชีพ ๑ ส่วน ใช้ประกอบการงานอาชีพและผูกมิตร ๒ ส่วน
แบ่งไว้ใช้ในยามอันตรายอีก ๑ ส่วน รายละเอียดตรงนี้เคยพูดไว้ในปัญหาก่อน ๆ แล้ว
ลองกลับไปทบทวนดู
ข้อสังเกตคือมิตรแท้มีค่ากว่าทรัพย์สมบัติ การหามิตรแท้หรือเพื่อนแท้ให้เจอและผูกมิตร
ไว้ได้เป็นสิ่งสำคัญ
มนุษย์ตัวคนเดียวมีลำพัง ๒ มือ จะทำอะไรให้สำเร็จทุกอย่างเป็นเรื่องยาก
ถ้าไม่ได้คนดีมาช่วย เป็นเรื่องยากจริงๆ
ถ้าอ่านเรื่องของบุคคลในประวัติศาสตร์ ก็จะยิ่งเห็นตัวอย่างชัด เช่น
ในสามก๊ก เล่าปี่ สร้างอาณาจักรได้เพราะได้มิตรสหายคู่ใจมา๔ คน คือ กวนอู เตียวหุย
จูล่ง ขงเบ้ง
ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธ
ท่านเป็นบัณฑิตรู้จักเลือกคบหามิตรดีตั้งแต่ยังมิได้ครองราชย์
เมื่อแรกเจอและได้สนทนากับสมณะสิทธัตถะ (เมื่อแรกออกบวชก่อนจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ก็ถูกใจ
เพราะหาผู้มีคุณสมบัติมิตรแท้อย่างนี้มานาน
พระองค์คิดจะแบ่งแคว้นมคธครึ่งหนึ่งให้ปกครอง
แต่เมื่อทราบว่าสมณะสิทธัตถะสละราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์
พระองค์จึงตั้งความปรารถนาไว้ที่การตรัสรู้ตามแทน นี้คือความฉลาดในการเลือกคบมิตรของพระเจ้าพิมพิสาร
เพราะตระหนักดีว่า มิตรแท้มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติ
หมวดที่ ๔
ปฏิบัติหน้าที่การงานประจำทิศ ๖
ทิศในความหมายของพระบรมศาสดาไม่ใช่ทิศตามภูมิศาสตร์ เหนือ ใต้ ตะวันออก
ตะวันตก แต่ทรงหมายถึงบุคคลแวดล้อมรอบตัวเรา
หากตั้งตัวเราเป็นศูนย์กลาง จะพบว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดเรานั้นแบ่งออกได้เป็น
๖ ทิศ ได้แก่ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องบน
ทิศเบื้องล่าง
ทิศเบื้องหน้า - บิดา มารดา
ทิศเบื้องหลัง - สามี ภรรยา
ทิศเบื้องขวา - ครูอาจารย์
ทิศเบื้องซ้าย - มิตร
ทิศเบื้องบน - สมณะ
ทิศเบื้องล่าง - นายจ้าง ลูกน้อง
ทิศ ๖ คือหน่วยของสังคมขนาดเล็กที่สุดที่สมบูรณ์และสำคัญที่สุด
หากบุคคลในแต่ละทิศสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ประจำทิศของตนได้สมบูรณ์
ย่อมสามารถสร้างสังคมให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม
ในทางกลับกัน เมื่อสังคมอ่อนแอ ก็ต้องกลับมาสำรวจว่า
เราได้ทำหน้าที่ประจำต่อทิศต่างๆ นั้นอย่างไร
และบุคคลในทิศต่างๆ ได้ทำหน้าที่ของตนต่อเราได้มากน้อยเพียงไร ก็จะพบเหตุของความบกพร่องและสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ด้วยการทำหน้าที่ของทิศให้สมบูรณ์
หน้าที่เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการงานที่ต้องทำ
หน้าที่ของฝ่ายหนึ่งก็บ่งบอกถึงสิทธิของอีกฝ่ายหนึ่งที่จะพึงได้รับ เช่น
พ่อแม่มีหน้าที่ห้ามลูกจากการทำความชั่ว แนะนำให้ทำแต่ความดี
ฉะนั้นตั้งแต่ลูกยังเล็กก็มีสิทธิที่พึงได้รับจากพ่อแม่ คือการปลูกฝังให้รู้จักบุญ
บาป ดี ชั่ว เมื่อลูกเติบโตขึ้นมีหน้าที่เลี้ยงดูท่านตอบแทน
พ่อแม่ยามแก่ชราก็มีสิทธิที่พึงจะได้รับจากการดูแลของลูกเต้า เป็นต้น
สังคมที่แต่ละคนรู้จักหน้าที่และสิทธิของตนเอง
เข้าใจถูกถึงวัตถุประสงค์ของการให้และรับจากกันและกัน
และปฏิบัติได้ถูกวิธีในการงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากหน้าที่นั้นๆ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นความสุขความเจริญของทุกคนในสังคมนั้น
หมวดที่ ๕ ประพฤติสังคหวัตถุ ๔ เป็นลิ่มสลักใจ
ความสำเร็จในงานทุกอย่างที่สัมพันธ์ระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย
จะต้องมีลิ่มสลักใจหรือกาวใจ หากขาดความประพฤติเหล่านี้ไป แม้พี่น้องอยู่ด้วยกัน
ก็ไม่รักกัน สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาแม้มีลูกเต้ามากมาย สักวันหนึ่งยังต้องจากกัน
เพราะลิ่มสลักใจที่ทำไว้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นศิษย์กับอาจารย์
เพื่อนกับเพื่อน เจ้านายกับลูกน้องก็ตาม ถ้าทำลิ่มสลักใจ ๔ ข้อนี้หลุดไป
แม้เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ก็ต้องพรากจากกันจนได้
สังคหวัตถุ ๔ ได้แก่
• ทาน คือ การแบ่งปัน การให้
• ปิยวาจา คือ วาจาไพเราะ
• อัตถจริยา คือ ประพฤติตนเป็นประโยชน์
เป็นที่พึ่งพาอาศัยได้
• สมานัตตตา คือ
เป็นผู้ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ เป็นที่ไว้วางใจได้
หมวดที่ ๖
ความประพฤติเป็นเหตุแห่งการได้ยศ ได้การยอมรับ
ความเจริญประการหนึ่งของคนในโลกคือการได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ
ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง
และการยอมรับจากผู้คนในสังคม ซึ่งผู้ประพฤติถูกต้องตามธรรมย่อมได้รับเกียรตินั้นและรักษาเกียรติยศนั้นไว้ได้
เพราะนอกจากทำประโยชน์ตนแล้ว ยังประพฤติตนทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นทั่วไปด้วย
จึงเป็นได้ทั้งต้นแบบ และช่วยเหลือคนอื่นได้ หลักในการประพฤติตนแบ่งเป็นชุด ๓ ชุด
ดังนี้
• ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นคนละเอียด มีไหวพริบ มีความประพฤติเจียมตน ไม่ดื้อกระด้าง
• เป็นคนหมั่น ไม่เกียจคร้าน
ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย มีปัญญา มีความประพฤติไม่ขาดสาย
• เป็นผู้สงเคราะห์
แสวงหามิตรที่ดีรู้เท่าถ้อยคำที่คนเขากล่าว ปราศจากความตระหนี่ เป็นผู้แนะนำ
ชี้แจง ตามแนะนำ
ความรู้ความสามารถที่จะกระทำได้ตามนี้ไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
แต่เกิดจากการฝึกฝน การอบรมสั่งสอน เคี่ยวเข็ญจากบิดามารดา จากสมณะ จากครูอาจารย์
ที่ท่านทุ่มเทฝึกให้ทำการงานต่าง ๆ ในหน้าที่ ความรู้ความสามารถต่าง ๆ
จึงเกิดขึ้นมา และความดีที่ทำจะเป็นเครื่องรับประกันว่า
ชีวิตจะพบกับความสุขความเจริญทั้งชีวิตในปัจจุบัน และชีวิตในโลกหน้าไปจนกว่าจะทำพระนิพพานให้แจ้ง หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
แบบแผนการดำเนินชีวิตทั้ง ๖
หมวดนี้ประกอบเข้าด้วยกันเป็นมาตรฐานการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดในโลกนี้ก็ตาม หากประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
จะสร้างสุขให้แก่ตนเองสร้างครอบครัวที่เป็นสุข
และสร้างสังคมที่สงบสุขที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตได้จริง
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
สังคมเปลี่ยนไป แนวทางการใช้ชีวิตเปลี่ยนตาม พระพุทธศาสนามีคําแนะนําอย่างไร ? (ปีก่อนหน้า)
ความสะอาดและเป็นระเบียบมีความสําคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาอย่างไร ?
เมื่อเริ่มสร้างวัดพระธรรมกาย หลวงพ่อมีหลักการสร้างและดูแลวัดอย่างไร ?
การบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะฝึกตนให้เป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร ?
ฤกษ์ดีพึ่งได้จริงหรือ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวิธีบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรอย่างไร?
ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวิธีบำเพ็ญฯ |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
สังคมเปลี่ยนไป แนวทางการใช้ชีวิตเปลี่ยนตาม พระพุทธศาสนามีคําแนะนําอย่างไร ? (ปีก่อนหน้า)
ความสะอาดและเป็นระเบียบมีความสําคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาอย่างไร ?
เมื่อเริ่มสร้างวัดพระธรรมกาย หลวงพ่อมีหลักการสร้างและดูแลวัดอย่างไร ?
การบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะฝึกตนให้เป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร ?
ฤกษ์ดีพึ่งได้จริงหรือ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวิธีบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรอย่างไร?
ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานครอบครัว ชาวพุทธและสังคมพุทธไว้บ้างหรือไม่ ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
06:52
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: