พิธีมอบพัดรองและประกาศเกียรติคุณ พระธรรมทูตภาคพื้นเอเชีย
..ก่อนจะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ณ แดนอาทิตย์อุทัยในคอลัมน์นี้
เราเชื่อว่า..มีคนจำนวนไม่น้อย ที่อ่านพาดหัวคอลัมน์แล้วสงสัยว่า “พัดรอง”
คืออะไร? ..มอบไปเพื่ออะไร?
และ “พัดรอง”
กับ “พัดยศ” ต่างกันอย่างไร?
หรือแม้กระทั่งคำว่า “พระธรรมทูต” คือใคร?
นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป
นอกจากคุณจะเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้แล้ว ยังจะได้รู้อีกว่า มีอะไรเกิดขึ้น ณ
ดินแดนที่เห็นพระอาทิตย์ส่องแสงเป็นแห่งแรกของโลกในแต่ละวัน !!!
ก่อนอื่นเราจะไปทำความรู้จักกับคำว่า “พัดยศ” หรือ “ตาลปัตร” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องบริขารหรือของใช้ของพระภิกษุสงฆ์
ที่ใช้บังหน้าเวลาประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา แต่ตาลปัตรที่เรียกว่า “พัดยศ” นี้
มีความพิเศษกว่าตาลปัตรธรรมดาตรงที่ เป็นพัดที่พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชานุญาตให้สร้างขึ้น
เพื่อถวายแด่พระสงฆ์พร้อมกับสมณศักดิ์
ถือเป็นเครื่องประกอบยศและเป็นการประกาศเกียรติคุณที่พระสงฆ์ได้รับ...
ส่วน “พัดรอง”
ก็คือ พัดที่พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชานุญาตให้สร้างถวายพระสงฆ์
เพื่อเป็นที่ระลึกในพระราชพิธีสำคัญ หรือประชาชนจะสร้างขึ้นเพื่อถวายพระเองในวาระต่าง
ๆ ก็ได้ ซึ่งพัดรองนี้ใช้เป็นพัดสำรองแทนพัดยศในการประกอบพิธีบุญทั่ว ๆ ไป
เพราะพัดยศจะใช้เฉพาะในพระราชพิธีเท่านั้น !!!
..และเนื่องในวาระครบ ๘๐ ปี แห่งรัฐสภาไทย ประธานรัฐสภาจึงถือโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้
น้อมถวาย “พัดรอง” แด่คณะพระธรรมทูต ซึ่งคำว่า “พระธรรมทูต” นั้น หมายถึง พระภิกษุที่เดินทางไปแสดงธรรมยังสถานที่ต่าง
ๆ โดยทำหน้าที่เป็นทูตของพระศาสนา
ซึ่งมีทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศและต่างประเทศ
แต่ทว่า..พิธีมอบพัดที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น
ณ วัดพระธรรมกายคานากาว่า ในวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ที่ผ่านมานี้ เป็นพิธีมอบพัดรองแด่ พระธรรมทูตสายต่างประเทศ
ที่เป็นเจ้าอาวาสศูนย์สาขาของวัดพระธรรมกายภาคพื้นเอเชีย ๑๘ วัด ที่ตั้งอยู่ใน ๙
ประเทศ ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย มองโกเลีย เกาหลี
และอินโดนีเซีย
การถวายพัดรอง ถือเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณ และเป็นการถวายกำลังใจแด่พระธรรมทูตที่เสียสละไปเผยแผ่ธรรมะในต่างแดน
ซึ่งการจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเช่นนี้ ต้องปรับตัวและฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง
แต่ท่านก็ยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ด้วยความเสียสละอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยเช่นนี้เอง
ทางคณะกรรมการสภาธรรมกายสากลแห่งภาคพื้นเอเชีย และสาธุชนชาวญี่ปุ่น
จึงพร้อมใจกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้น โดยมีคณะสงฆ์เข้าร่วมพิธีเกือบ ๖๐ รูป
และสาธุชนเกือบ ๔๐๐ คน
พิธีในครั้งนี้ นับเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่ พระเดชพระคุณพระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร
ท่านได้เมตตาไปเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ คุณพรสรร กำลังเอก ภริยาท่านพลเอกอาทิตย์
กำลังเอก ได้กรุณาเดินทางจากเมืองไทย เพื่อไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาส
ด้วยเหตุนี้ จึงนับเป็นความโชคดีอย่างสูงสุดของพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ถือโอกาสนี้กราบถวายมุทิตาจิตแด่ พระเดชพระคุณพระพรหมดิลก
ที่ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ พระพรหมดิลก
ปริยัตินายกคณาทร บวรศาสนกิจวิธาน ศีลสมาจารนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓
และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในด้านการปกครองเป็น เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖
ในโอกาสนี้
พระเดชพระคุณพระพรหมดิลกได้กล่าวสัมโมทนียกถา พร้อมทั้งกล่าวอนุโมทนาบุญญาติโยมว่า
“การเดินทางมามอบพัดรองในครั้งนี้
ทำให้เห็นความเจริญของพระพุทธศาสนาในต่างแดน
ซึ่งเป็นความตั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และการที่ทุกท่านได้เดินทางมาร่วมพิธีกรรม และทำบุญในวันนี้
ถือเป็นการสร้างความดีให้กับชีวิต เพื่อจะทำชีวิตให้เจริญ ซึ่งตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว
มีหลักในการดำเนินชีวิตที่เรียกว่าบันได ๓ ขั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ซึ่งเราก็ควรเลือกสิ่งที่ดีงามมาสรรค์สร้างให้กับชีวิตตนเอง...”
ส่วน คุณพรสรร กำลังเอก ได้กล่าวว่า “พอได้ทราบว่า
พระเดชพระคุณพระพรหมดิลกท่านเมตตามาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ให้ในครั้งนี้ ก็ดีใจมาก
ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง
ประกอบกับการที่เราได้เป็นเจ้าภาพสร้างวัดพระธรรมกายคานากาว่าร่วมกับสาธุชนที่นี่เอาไว้
ครั้นพอได้กลับมาเยือนจริง ๆ ก็รู้สึกปลื้มกว่าที่คิดไว้มาก
เพราะได้เห็นถึงพลังศรัทธาของสาธุชนจำนวนมาก ที่มานั่งสมาธิรวมกัน
จนสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงของทุกคน
ตลอดจนพระอาจารย์ท่านก็ตั้งใจเผยแผ่พระศาสนากันอย่างเอาจริงเอาจัง
จนเราอยากจะให้สิ่งดี ๆ อย่างในวันนี้กับทุกวัดทั่วโลกค่ะ”..
Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๓๕
เดือนมกราคม ๒๕๕๗
พิธีมอบพัดรองและประกาศเกียรติคุณ พระธรรมทูตภาคพื้นเอเชีย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: