การนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระมีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ?


การนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระมีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ? และที่สำคัญการปฏิบัติแบบนี้สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้จริงหรือไม่ ?

หากมาดูกันจริง ๆ ประเด็นคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คนยุคนี้เพิ่งจะสงสัย  แต่ถือเป็นประเด็นที่คาใจผู้คนมา ยาวนานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว ถ้าหากเราเริ่มนับจาก พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งเป็นปีที่หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (สด  จนฺทสโร)  บรรลุธรรม  ค้นพบวิชชาธรรมกายขึ้นมาอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำถามเกิดขึ้นเป็นระลอก ๆ อย่างไม่จบไม่สิ้นว่า..การปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ที่มีคนจำนวนมากนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระกลางท้องเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนหรือไม่ ? ซึ่งในสมัยหลวงปู่วัดปากน้ำ  ก็มีกลุ่มที่ไม่พอใจพูดเหยียดหยามหลวงปู่ว่า ใครอยากเป็นอสุรกายจงไปเรียนธรรมกายที่วัดปากน้ำทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าคำว่า  ธรรมกาย มีปรากฏให้เห็นชัดเจนอยู่ในพระไตรปิฎกหลายแห่งด้วยกัน

จากการที่ได้รับข้อมูลน้อยเกินไป แล้วไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติม แถมไม่ได้ลงมือฝึกสมาธิจริงจังนี่เอง จึงเกิดคำถามใหม่ตามมาอีกว่า.. แม้คำว่าธรรมกายมีในพระไตรปิฎกก็จริง แล้วการนั่งสมาธิแบบธรรมกายที่เห็นองค์พระล่ะ มีจริง ๆ หรือไม่ ? ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับรองไหม ? แล้ววิธีนี้ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้จริง ๆ หรือ ?

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสงสัยประเด็นนี้  ก็ถือว่าการมาพบกันในบทความนี้ อาจทำให้คุณได้มองความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง จะได้ไม่หลงไปกล่าวหาใครโดยยังไม่ศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง

จากการค้นพระไตรปิฎกพบข้อมูลเด่นชัดว่า พระอรหันต์ในสาย สัทธาธิมุต หรือผู้หลุดพ้นจากกิเลสได้ด้วยศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า ท่านได้เจริญสมาธิแบบ พุทธานุสติโดยการตามตรึกระลึกถึงพระพุทธองค์  ซึ่งการเจริญภาวนาแบบนี้  ทำให้เห็นพระพุทธองค์ในสมาธิได้ !

พระอรหันต์ในสายนี้มีหลายองค์มากเช่น  พระภัทราวุธะ  พระอาฬวีโคดม  พระปิงคิยะ แต่ผู้ที่โดดเด่นที่สุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงกับทรงตั้งให้เป็น  เอตทัคคะ หรือเป็นเลิศทางด้านนี้ก็คือ  พระวักกลิ (ผู้เป็นเอตทัคคะทางด้านสัทธาธิมุตฝ่ายภิกษุ)  และ  สิงคาลมาตาเถรี (ผู้เป็นเอตทัคคะทางด้านสัทธาธิมุตฝ่ายภิกษุณี)


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้ต่อแล้วว่า..การเจริญภาวนาของพระอรหันต์สายสัทธาธิมุตเป็นอย่างไร ซึ่งองค์ที่มีประเด็นเด่นที่น่าสนใจมากองค์แรกก็คือ  พระปิงคิยะ

จาก  พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน- อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต  ปิงคิยปัญหาที่ ๑๖



ปิงคิยมาณพเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี แต่หลังจากที่ปิงคิยมาณพได้มาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี แล้วออกบวช  จากนั้นจึงรีบเดินทางกลับไปโปรดพราหมณ์พาวรี แล้วก็พรรณนาถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้พราหมณ์พาวรีถามว่า ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีขนาดนี้ ทำไมท่านไม่อยู่เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา  พระปิงคิยะจึงตอบไปว่า ท่านใช้วิธีไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจ โดยการตรึกระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา จนการเห็นด้วยใจของท่านเหมือนการเห็นด้วยตา และสามารถเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในลักษณะที่มีความสว่างไสว มีรัศมี จนมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธเจ้า


และทันใดนั้นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยข่ายพระญาณว่า พระปิงคิยะมีบารมีแก่รอบพอที่จะบรรลุอรหันต์แล้ว จึงทรงใช้พุทธานุภาพทำให้พระปิงคิยะเห็นรูปกายพระองค์ประดุจมาปรากฏอยู่ตรงหน้า จากนั้นตรัสเทศน์จนพระปิงคิยะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

ฉะนั้น..นี้ก็คือข้อมูลหนึ่งในการยืนยันว่าการเห็นพระตลอดเวลาจากการทำสมาธิ สามารถทำให้บรรลุธรรมได้ !!!


พระอรหันต์องค์ต่อไปที่จะทำให้ผู้อ่านได้ข้อมูลที่ชี้ชัดลงไปอีกก็คือ สิงคาลมาตาเถรี ซึ่งเป็นเลิศทางด้านมีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้าในฝ่ายภิกษุณี

จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทานภาค ๒ พุทธวังสะ-จริยาปิฎก สิงคาลมาตาเถริยาปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระสิงคาลมาตาเถรี


ประวัติของสิงคาลมาตาเถรีมีประเด็นที่น่าสนใจคือ หลังจากที่สิงคาลมาตาได้ไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน  จากนั้นออกบวชเป็นภิกษุณี  แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า จึงเจริญภาวนาโดยการตามตรึกระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา (หรือเจริญพุทธานุสติ)  ซึ่งพอทำอยู่ไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์  และหลังจากที่บรรลุแล้ว  ก็ยังเห็นรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมาธิอย่างมิรู้เบื่อ

จะเห็นว่าในพระไตรปิฎกระบุไว้ชัดว่า การเห็นพระของสิงคาลมาตาเถรี เป็นการเห็นตลอดเวลา ซึ่งการเห็นแบบนี้ย่อมไม่ใช่การเห็นกายเนื้อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  เพราะพระองค์ไม่ทรงสรรเสริญการตามเห็นกายภายนอก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดติด เป็นของไม่เที่ยง มีความเน่าเปื่อยไปเป็นธรรมดา


ดังนั้น..กรณีนี้การเห็นพระของสิงคาลมาตาเถรีจึงเหมือนการเห็นของพระปิงคิยะคือ เห็นด้วยใจในระดับที่ชัดมากจนเหมือนเห็นด้วยตา ซึ่งสิงคาลมาตาเถรีก็ได้อธิบายเกี่ยวกับการเห็นเพิ่มเติมว่า พระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านเห็นนั้นเป็นพระรูปที่เกิดจากพระบารมีทั้งปวง อันประกอบแล้วด้วยสิริและพรั่งพร้อมไปด้วยความงามทุกประการ จนทำให้รู้สึกเพลินตาและไม่รู้สึกเบื่อต่อการเห็นเลย

และที่สำคัญ..การที่สิงคาลมาตาเถรีมีคุณสมบัติเช่นนี้ ทำให้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญและแต่งตั้งให้ท่านเป็นเอตทัคคะทางด้านสัทธาธิมุต อีกทั้งการเห็นอย่างนี้ ยังทำให้ท่านสามารถบรรลุคุณวิเศษต่าง ๆ ได้เช่น มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ ตลอดจนการทำลายกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป

การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งและสรรเสริญสิงคาลมาตาเถรีเช่นนี้ ถือเป็นการรับรองว่า การเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ซึ่งมีลักษณะกายเป็นกายมหาบุรุษครบทั้ง ๓๒ ประการ) เช่นนี้เป็นสิ่งถูกต้อง (สำหรับเรื่องกายมหาบุรุษทั้ง ๓๒ ประการ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากลักขณสูตร)

ดังนั้น การกล่าวหาว่า การนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระนั้นเป็นความเพี้ยนหรือบิดเบือน ถือเป็นเรื่องที่เราถูกหลอกมานาน แล้วหลงเชื่อตาม ๆ กัน จนเข้าใจไปว่าข้อมูลที่ถูกหลอกมาตลอดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง !!!


ส่วนข้อมูลในลำดับสุดท้ายที่จะหยิบยกขึ้นมา เป็นจุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายเรื่องกายภายในไว้ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือเรื่องราวของ พระวักกลิ  ผู้เป็นเอตทัคคะทางด้านสัทธาธิมุตในฝ่ายพระภิกษุ


จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ภิกขุวรรคที่ ๒๕ ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ




เดิมพระวักกลิเป็นผู้ที่ติดในรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก จึงขอออกบวชเพื่อจะได้เห็นพระองค์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า วักกลิ ประโยชน์อะไรของเธอด้วยการเฝ้าดูกายเน่านี้ วักกลิ คนใดแลเห็นธรรม คนนั้น (ชื่อว่า) เห็นเรา (ผู้ตถาคต), คนใดเห็นเรา (ผู้ตถาคต) คนนั้น (ชื่อว่า) เห็นธรรม.



หากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๕. วักกลิสูตร ว่าด้วยการเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า จะพบว่า จากคำตรัสที่ว่า.. ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรมแสดงว่า..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงรูปกายที่เป็นกายเนื้ออันไม่เที่ยงของมนุษย์ แต่เป็นรูปกายที่เห็นได้จากการปฏิบัติสมาธิเหมือนกรณีของพระปิงคิยะและสิงคาลมาตาเถรี

การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ละรูปที่มีความเน่าเปื่อย เพราะมันเป็นสิ่งไม่เที่ยง แต่ถ้าเอารูปนั้นมาเป็นที่ตั้งหรือเป็นนิมิตในการเจริญภาวนาเหมือนกรณีพระอรหันต์ทั้ง ๓ องค์ที่กล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้เห็นพระพุทธองค์ในสมาธิ จนสามารถรวมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์ในสมาธิได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถดับกิเลสจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรับรองไว้ด้วยพระองค์เอง

ฉะนั้น..การเห็นองค์พระในสมาธิมีในพระไตรปิฎกจริง และที่สำคัญการปฏิบัติแบบนี้สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้

Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๗๙  เดือนพฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๖๐


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ดร.เมธี  พิทักษ์ธีระธรรม จากบทวิจัยเรื่อง พุทธานุสติและ การเห็นพระ
การนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระมีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ? การนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระมีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ? Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 19:49 Rating: 5

1 ความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.