ลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม (ตอนที่ ๓)


บทความเรื่องลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม ได้กล่าวถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของประเทศศรีลังกาที่ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในคัมภีร์ทีปวงศ์ ซึ่งเป็นวรรณกรรมภาษาบาลีที่มีความสำคัญที่สุดเล่มหนึ่งแห่งพระพุทธศาสนา โดยบทความแบ่งเป็น ๓ ตอนด้วยกันคือ ตอนที่ ๑ กล่าวถึงการเสด็จเยือนเกาะลังกา ๓ ครั้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ ๒ กล่าวถึงการลงหลักปักฐานของพระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่เกิดขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการสังคายนาครั้งที่ ๓ และในบทความตอนที่ ๓ นี้ จะนำเสนอเป็นตอนสุดท้าย ซึ่งจะได้กล่าวถึงวิธีการสืบทอดพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลังกาทวีปที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการสืบทอดแบบมุขปาฐะมาเป็นการจารจารึกพระไตรปิฎกลงบนแผ่นใบลาน อันเป็นแม่แบบให้ดินแดนอื่น ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทยึดถือปฏิบัติตามเป็นธรรมเนียมสืบต่อมายาวนานหลายพันปี

หลังจากพระมหินทเถระและพระนางสังฆมิตตาเถรี พระราชโอรส และพระราชธิดา ของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ยังความรุ่งเรืองแห่งพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หยั่งรากลง ณ เกาะลังกา จนมีกุลบุตรและกุลธิดาเกิดความเลื่อมใสออกบวชเป็นพระภิกษุ ภิกษุณีเป็นจำนวนมาก พระภิกษุและภิกษุณีชาวสิงหลเหล่านี้ต่างเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยและใส่ใจในการศึกษาพระไตรปิฎก เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีป นอกจากนี้ แสงแห่งธรรมของพระบรมครูยิ่งเจิดจ้า เมื่อมีพระมหาเถระและพระมหาเถรีผู้เป็นเลิศจากดินแดนชมพูทวีปจำนวนมากเดินทางมาสอนพระไตรปิฎกยังเกาะลังกา ดังปรากฏในคัมภีร์ทีปวงศ์ฉบับกรมศิลปากรอยู่หลายตอน อาทิ หน้า ๙๓ ได้กล่าวไว้ว่า พระนางสังฆมิตตากับพระภิกษุณีหมื่น ๖ พันองค์ เป็นผู้ที่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงบูชา ได้สอนพระวินัยปิฎกอยู่ในอนุราธปุระกับพระภิกษุณี ๒ หมื่นองค์ได้มาจากชมพูทวีป เป็นผู้ที่พระเจ้าอภัยทรงขอมา ได้สอนพระไตรปิฎกอยู่ในอนุราธปุระ

ภาพการบูรณะวิหาร Kelani หลังถูกทำลายโดยต่างศาสนิก เป็นตัวอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์
ที่แสดงว่าความรุ่งเรืองหรือความตกต่ำของพระพุทธศาสนาขึ้นอยู่กับกษัตริย์ที่ปกครอง
เกาะลังกา ณ ช่วงเวลานั้น

ในสมัยที่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงเป็นกษัตริย์ครองทวีปลังกา ถือว่าพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ทว่าในขณะนั้น เกาะลังกามีชนเผ่าอาศัยอยู่ ๒ ชนเผ่าคือ ชาวสิงหลและชาวทมิฬ ชนเผ่าสิงหลเป็นผู้ที่เคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ในขณะที่ชนเผ่าทมิฬมีความเชื่อในศาสนาอื่น ครั้นสิ้นรัชสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ อำนาจผู้ปกครองลังกาทวีปตกอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์ทมิฬ เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาถูกบ่อนทำลาย เกิดการสู้รบแย่งชิงอำนาจระหว่างกษัตริย์ ๒ ชนเผ่าอยู่หลายร้อยปี หากคราใดบัลลังก์ตกอยู่ในอำนาจของกษัตริย์ชนเผ่าทมิฬพระพุทธศาสนาก็ดับมืดจนแทบหมดสิ้นไปจากแผ่นดินลังกา ในทางตรงข้าม หากกษัตริย์ชนเผ่าสิงหลเป็นผู้มีชัย แสงแห่งธรรมก็จะกลับเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่วดินแดน ดังนั้นความรุ่งเรืองและความตกต่ำของพระพุทธศาสนา ณ เกาะลังกาจึงไม่แน่นอน ขึ้นอยู่ที่ว่ายุคนั้นกษัตริย์ของชนเผ่าใดขึ้นมามีอำนาจในการปกครอง

ลังการามเจดีย์แห่งอนุราธปุระ ที่สร้างโดยพระเจ้าทุฏฐคามินีอภัย

การสู้รบแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างกษัตริย์ ๒ ชนเผ่าที่ยาวนานต่อเนื่องหลายร้อยปี ทำให้พระธรรมวินัยที่พระภิกษุท่องจำสืบต่อกันมากระจัดกระจายสูญหายไปในไฟสงคราม อีกทั้งความวุ่นวายที่กระจายไปทั่วแผ่นดินก็ทำให้ผู้คนว่างเว้นจากการศึกษาและการประพฤติธรรม จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าทุฏฐคามินีอภัย พระองค์ทรงกู้ราชบัลลังก์คืนมาจากกษัตริย์ทมิฬ ทรงมีพระราชศรัทธาและทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโลหะปราสาทเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือชนเผ่าทมิฬ ทั้งยังทรงทำนุบำรุงพระสงฆ์และทรงสร้างวัดและสถูปอีกหลายแห่ง เช่น มหาสถูปในเมืองอนุราธปุระอย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ บัลลังก์ก็ถูกเปลี่ยนกลับไปตกอยู่ในเงื้อมมือกษัตริย์ทมิฬอีกครา


ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ เศษ รัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย กษัตริย์ทมิฬเข้ายึดเมืองอนุราธปุระ ประชาชนประสบภาวะทุพภิกขภัยอย่างหนัก เจดีย์ถูกปล่อยปละให้รกร้าง พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากอพยพหนีไปยังประเทศอินเดีย พระองค์จึงเสด็จลี้ภัยไปซ่องสุมกำลังเพื่อชิงบัลลังก์กลับคืนมาจากกษัตริย์ทมิฬ โดยได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหาติสสะ เมื่อทรงยึดพระราชอำนาจคืนมาได้สำเร็จ ทรงตระหนักว่าหากปล่อยให้พระธรรมคำสอนสืบทอดด้วยวิธีท่องจำแบบปากเปล่าตามแบบเดิมที่กระทำกันมายาวนานเกรงว่าจะทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนและไม่สมบูรณ์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้กระทำสังคายนาขึ้น ณ อาโลกเลณสถาน มตเลชนบท โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน และโปรดเกล้าฯ ให้จารจารึกพระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลานเป็นครั้งแรก เพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้ยืนยาวดังปรากฏในคัมภีร์ทีปวงศ์ฉบับกรมศิลปากรหน้า ๙๘ ดังนี้

“…เมื่อก่อนพระภิกษุทั้งหลายได้นำพระไตรปิฎกบาลีและอรรถกถามาด้วยมุขปาฐะ แต่ภายหลังได้เห็นความเสื่อมไปแห่งปัญญาของกุลบุตรทั้งหลาย จึงได้จดจารพระปาลีอรรถกถาลงไว้ในใบลาน เพื่อความตั้งอยู่นานแห่งพระธรรม…” นับจากนั้นการสืบทอดพุทธธรรมด้วยการจารจารึกลงในคัมภีร์ใบลานก็เป็นรูปแบบใหม่ที่ประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนานำไปปฏิบัติ แม้ว่าคัมภีร์ฉบับแรกที่จารจารึก ณ อาโลกเลณสถานจะผุผังไม่เหลือฉบับจริงให้ได้เห็น แต่คัมภีร์พระไตรปิฎกใบลานที่จารทดแทนฉบับดั้งเดิมจากรุ่นสู่รุ่นก็เป็นหลักฐานปฐมภูมิที่ยืนยันให้เห็นถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาต่อเนื่องหลายพันปีตั้งแต่ พ.ศ. ๔๐๐ เศษ

หากพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เกาะลังกา จะเห็นว่าไฟสงครามและความพยายามที่จะล้มล้างพระพุทธศาสนาโดยต่างศาสนิกเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการสืบทอดพระธรรมคำสอน เป็นการปฏิรูปของเดิมที่ดีที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น จากการสืบทอดแบบปากเปล่าที่กระทำสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลในชมพูทวีป ปรับเปลี่ยนเป็นการจารจารึกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นลาน จนกลายเป็นวิธีการสืบทอดที่แพร่หลายและใช้สืบต่อมายาวนานอีกหลายพันปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๔๐๐ เศษเรื่อยมา

นี้แสดงให้เห็นว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส หากในวันนั้นชาวสิงหลยอมจำนนให้กับโชคชะตาและละทิ้งพระพุทธศาสนาให้ตกต่ำไปตามยถากรรม คงไม่เกิดการเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นลายลักษณ์อักษรมาถึงเราในปัจจุบัน มุขปาฐะที่ใช้สืบทอดมานานเป็นวิธีการที่ดี แต่หากเราเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสพัฒนาหาแนวทางใหม่ ๆ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อาจจะได้พบช่องทางใหม่ที่ดีกว่าเดิมควบคู่ไปกับวิธีแบบเดิมที่ปฏิบัติกันมามองเหตุการณ์ในอดีตแล้วนำมาวิเคราะห์กับสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อเกิดภัยต่อพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด บางสิ่งที่เราเคยทำเป็นปกติวิสัยในอดีต วันนี้อาจทำได้ไม่เช่นเดิม ขอเพียงแต่เราไม่เสื่อมคลายจากศรัทธา และเดินหน้าในการทำดีตามแนวพุทธองค์ต่อไป และปรับตัวปรับใจให้เข้ากับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ต่อไปภายหน้าความอดทนความพยายามท่ามกลางวิกฤตในวันนี้ จะทำให้แสงแห่งธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม เฉกเช่นแสงแห่งธรรมที่กลับมาเจิดจ้าในเกาะลังกา ไม่ว่าจะถูกภัยใดมาเบียดเบียนก็ตาม

Cr. Tipitaka (DTP)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๘ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม (ตอนที่ ๓) ลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม (ตอนที่ ๓) Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 23:38 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.