พลังของจินตนาการ
เหตุใดอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
จึงบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ?
ก่อนอื่นต้องดูว่า จินตนาการคืออะไร ต่างกับความคิดที่มีเหตุผลอย่างไร
ถ้าเราคิดอย่างมีเหตุผล คิดบนฐานความรู้เดิมว่ามีสิ่งที่ค้นพบแล้วพิสูจน์ได้
แล้วก็ต่อยอดขึ้นไปนั้นคือการคิดอย่างมีเหตุมีผล แต่จินตนาการเป็นการคิดกึ่ง ๆ
คิดฝัน โดยไม่ต้องอิงถึงฐานความรู้ปัจจุบัน เช่น คนสมัยก่อนคิดว่า
วันหนึ่งจะไปบินบนฟ้าเหมือนนก ก็เป็นการคิดฝันที่ไม่ได้อิงจากฐานข้อมูลปัจจุบัน
เพราะในยุคนั้นยังไม่มีเครื่องบิน แล้วคนจะไปบินบนฟ้าได้อย่างไร การคิดกึ่ง ๆ
นึกฝันไม่ถูกจำกัดด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในขณะนั้นคือจินตนาการ
ถามว่าแล้วทำไมไอน์สไตน์จึงบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
ก็เพราะว่าการที่เราจะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ต้องอาศัยจินตนาการ ถ้าคิดแบบไม่มีจินตนาการ
ต้องคิดจากสิ่งที่เรารู้แล้วในปัจจุบัน แล้วก็พัฒนาต่อไปอีกนิดหน่อย
แต่ถ้ามีจินตนาการจะสามารถทะลุกรอบไปอีกมิติได้เลย
การที่ไอน์สไตน์สรุปอย่างนี้ เพราะว่าเขาสรุปจากประสบการณ์ในชีวิตจริง
ทฤษฎีที่ดังที่สุดของเขาคือทฤษฎีสัมพัทธภาพ ก็เกิดขึ้นจากจินตนาการ
ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีนี้ตอนอายุ ๒๕ ปี ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย
ถ้าเป็นคนยุคปัจจุบันยังไม่จบปริญญาเอกเลย แต่ไอน์สไตน์ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพแล้ว
ซึ่งแสดงว่า เขาไม่ได้คิดตอนอายุ ๒๕ ปี
จะประกาศออกมาเป็นที่ยอมรับทั่วโลกได้ต้องคิดมาก่อนหน้านั้นแล้วอาจจะคิดตอนอายุ
๒๒-๒๓ ปีด้วยซ้ำไป ถามว่าเขาคิดได้อย่างไร คิดได้ด้วยจินตนาการ
ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค่อย ๆ ใช้ความคิดใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะคิดไม่ออกเลยเพราะสิ่งที่เขาคิดมันหลุดจากสามัญสำนึกของคนทั่วไป
ความคิดเรื่อง “มวลสารขยายได้” หลุดจากสามัญสำนึกของคนทั่วไปไหม
ถ้ามีใครบอกว่าทิชชูชิ้นนี้มีมวลสารมากกว่าโลกทั้งใบหรือดวงอาทิตย์ทั้งดวง
หลุดกรอบไหม หลุดนะ ถ้าใช้ความคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่ค่อย ๆ
สั่งสมประสบการณ์ไม่มีทางคิดออก แต่ไอน์สไตน์คิดสิ่งนี้ออกใน ๑ วัน
เพราะใช้จินตนาการที่เกิดขึ้นขณะที่นั่งใจสบาย ๆ พอใจโปร่ง ๆ คล้ายเป็นสมาธิ
มันก็แวบขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากไม่มีอะไรเร็วเหนือแสงจะเกิดอะไรขึ้น
นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าแสงเดินทางเร็วมาก ด้วยความเร็วประมาณ ๑๘๖,๐๐๐
ไมล์ต่อวินาที วินาทีเดียววิ่งรอบโลกได้หลายรอบ พอรู้ว่าแสงเดินทางได้เร็วขนาดนั้น
เขาก็จินตนาการว่า ถ้าสมมุติไม่มีอะไรเร็วเหนือแสง แสงเร็วที่สุดจะเป็นอย่างไร
แล้วก็อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาคำนวณดูเล่น ๆ ว่าจะเป็นอย่างไร พอคำนวณเสร็จ
ก็เอาไปทดลองดู ปรากฏว่าเป็นจริง เลยกลายเป็นที่มาของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ถ้าคิดอย่างมีเหตุมีผลไม่มีทางคิดออก
แต่ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นเพราะจินตนาการที่หลุดกรอบ
หลาย ๆ
เรื่องที่มนุษย์ทำสำเร็จก็เพราะจินตนาการ เช่น จินตนาการว่าวันหนึ่งเราจะบินบนฟ้าได้
ก็เลยเกิดเป็นเครื่องบิน วันหนึ่งเราจะไปเดินบนดวงจันทร์ ก็สร้างยานอวกาศขึ้นมา
แล้วไปเดินบนดวงจันทร์ได้ การค้นพบใหม่ ๆ ที่สำคัญ ๆ มากมายเกิดขึ้นเพราะจินตนาการ
ไอน์สไตน์จึงสรุปว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
จะเปรียบได้หรือไม่ว่า ความรู้คืออดีตส่วนจินตนาการคืออนาคต
?
อยากให้เปรียบว่า ความรู้เป็นพื้นฐาน จินตนาการคือการต่อยอดสู่อนาคต
เพราะถ้าจินตนาการแบบไม่มีความรู้
ก็คิดอะไรไม่ออก ถ้าไอน์สไตน์ไม่มีความรู้เรื่องกฎของนิวตัน
สิ่งที่เขาคิดก็เป็นความเพ้อฝันเฉย ๆ ถ้าเรามีความรู้เป็นพื้นฐานที่หนักแน่น
เมื่อจินตนาการแล้ว
เราก็สามารถใช้ความรู้นั้นเป็นฐานต่อยอดก้าวไปสู่จินตนาการนั้นได้
เพราะฉะนั้นความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันคือพื้นฐาน แต่จะค้นพบอะไรใหม่ ๆ
ที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องอาศัยจินตนา การจินตนาการคืออนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
มนุษย์ใช้ความคิดจากสมองในการจินตนาการหรือใช้ใจ
?
ต้องเข้าใจก่อนว่า
สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นเครื่องมือของใจ สมองเหมือนคอมพิวเตอร์
ใจเป็นผู้สั่งการเหมือน user เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่า
เราใช้สมองซีกขวาในเรื่องจินตนาการ สมองซีกซ้ายในเรื่องเหตุผลและความจำ
แสดงว่าสมองเป็นตัวจินตนาการไม่ใช่นะ
เหมือนคอมพิวเตอร์ที่เราใช้โปรแกรมนี้เกี่ยวกับเรื่องคำนวณ แต่เวลาทำ Photoshop
สร้างรูปต้องใช้อีกโปรแกรมหนึ่ง
เราก็คิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นตัวสร้างรูปและเป็นตัวคำนวณใช่ไหม ไม่ใช่
คนที่สร้างรูปตัวจริงคือ user โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เราใช้แต่ละโปรแกรมเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น
ใจเป็นผู้สั่งทุกอย่าง สมองเป็นแค่เครื่องมือให้ใจใช้
เด็กสามารถจินตนาการได้ดี
แต่กิจกรรมส่วนใหญ่ของเด็กคือการอ่านการ์ตูนและเล่นเกม
ถ้าห้ามเด็กอ่านการ์ตูนหรือเล่นเกม จะไปปิดกั้นจินตนาการหรือไม่ ?
ถามว่าทำไมเด็กถึงจินตนาการได้ดี เพราะว่ากรอบที่ร้อยรัดเขายังน้อย
ความรู้ยังไม่มาก ที่เขาใช้จินตนาการเป็นหลักเพราะเขามีความคิดฝันเยอะ
เวลาอ่านการ์ตูน ก็จินตนาการคิดฝันไป หรือถ้าได้มุดท่อไปนั่นไปนี่ก็ชอบ
รู้สึกว่ามีการผจญภัย ลึกลับ หรือถ้ามืด ๆ หน่อยก็กลัวผี
นั้นคือโลกของเด็กซึ่งฐานความรู้ยังแคบ เลยใช้จินตนาการเป็นหลักพอโตขึ้น
เริ่มรู้อะไรมากขึ้น จินตนาการเริ่มถูกจำกัดกรอบ
พอจะคิดอะไรที่รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หรือที่ขัดแย้งกับความรู้ที่เคยเรียนมา
ก็ไม่คิด ทำให้จินตนาการแคบลง
แต่ถ้าคนไหนรู้หลักและฝึกการสมดุลได้ดี
คือ มีความรู้แต่ไม่จำกัดจินตนาการ
ถ้าอย่างนี้ความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นฐานหนุนให้จินตนาการนั้นเป็นจินตนาการที่สร้างสรรค์ แล้วก็สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าจินตนาการนั้น
ๆ ทำจริงได้ไหม
เอามาใช้ได้หรือเปล่า เพราะไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะจินตนาการได้ทั้งหมด ความรู้จะเป็นฐานหนุนให้จินตนาการมีโอกาสนำมาใช้ให้เป็นจริงได้สูงขึ้น
นี้คือความต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
พอเราเรียนรู้เยอะ ๆ แล้ว อย่าไปติดกรอบมาก
อาตมามีเพื่อนคนหนึ่งเรียนแพทย์ด้วยกันอยทูี่จุฬาฯ เขาเป็นนักกีฬา
มีคราวหนึ่งเล่นผิดท่า กล้ามเนื้อหลังยอก เวลาจะตีเทนนิสเงื้อตบไม่ได้ ตบแล้วปวดหลัง
เส้นมันยึด อาตมารู้จักหมอนวดฝีมือดี
นวดแล้วหายจริง คนที่คอตกหมอนกว่าจะหายบางทีเป็นอาทิตย์ไปให้หมอนวดจับเส้นที่เก่ง ๆ
จับแล้วหายคามือเลย อาตมาก็เลยบอกให้เขาไปหา แต่เขาคิดว่าถ้ามีปัญหาเรื่องกระดูก
เรื่องเส้น ต้องไปหาหมอกระดูกและข้อเท่านั้น ด้วยความที่ตัวเองเรียนแพทย์
จึงไปจำกัดกรอบตัวเองว่าแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้นที่เก่ง หมอนวด หมอฝังเข็ม ยาจีน
ยาไทย ไม่เชื่อทั้งนั้น ผลสุดท้ายคือหลังยอกต่อไป แต่ถ้าไปหาหมดนวดเก่ง ๆ จับเส้น
เขาจะหายได้ทันทีเลย นี้คือข้อจำกัดของการมีความรู้เยอะ
ถ้าหากไปยึดมั่นกับมันมากเกินไปจนกระทั่งปฏิเสธอย่างอื่นหมด
จะกลายเป็นข้อเสียมากกว่า
ย้อนมาที่เด็ก เมื่อเรารู้แล้วว่า วัยเด็กเป็นวัยที่ความรู้ยังไม่มาก
เขามีจินตนาการเยอะ เพราะยังไม่ถูกครอบ เราควรจะส่งเสริมจินตนาการเด็กอย่างไร
เรื่องการ์ตูนหรือเกมก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าการ์ตูนที่มีความรุนแรงหรือเกมรบราฆ่าฟันกันอย่างนี้ไม่ดี
ต้องเป็นการ์ตูนที่สร้างสรรค์ สมัยโบราณที่ยังไม่มีการ์ตูน
ผู้เฒ่าผู้แก่จะเล่านิทานชาดกให้เด็ก ๆ ฟัง เด็กฟังแล้วจะคิดตามไปด้วย
รูปไม่มีก็ต้องใช้จินตนาการตามไปด้วย อย่างนี้ดี เพราะเนื้อหาสอนใจ เกมก็เหมือนกัน
แทนที่จะไปเล่นเกมรุนแรงโหดร้าย ก็เล่นเกมตัวต่อให้เด็กจินตนาการช่วยกันคิด
ช่วยกันต่อ อย่างนี้เป็นต้น อะไรที่เสริมจินตนาการเป็นสิ่งที่ดี
แต่อะไรที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับความโหดร้ายหรือเรื่องที่ไม่ดี ก็ต้องหลีกเลี่ยง
มีวิธีแก้ไขหรือกระตุ้นคนที่ขาดจินตนาการอย่างไรบ้าง
?
อย่างแรก อย่าไปยึดมั่นกับความรู้ที่เรามีในปัจจุบันมากเกินไป
ให้รู้ว่าความรู้ในปัจจุบันก็คือ ความรู้ที่สั่งสมมา แต่เรายังต้องก้าวไปข้างหน้า
มนุษย์เราเจริญมาได้ก็ด้วยจินตนาการ อย่างนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เขาจะคิดฝันแบบหลุดกรอบไปเลย
แล้วพบว่าต่อมาที่ฝัน ๆ ไว้จำนวนไม่น้อยกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหม
บางคนอาจจะนึกว่านักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จินตนาการเก่งมากจริง ๆ
แล้วให้เรารู้ว่าในโลกนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น
แล้วสิ่งที่วิทยาศาสตร์รู้ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง ๑
เปอร์เซ็นต์ของกฎธรรมชาติที่มีอยู่เลย ดังนั้นเมื่อมนุษย์จำนวนมากมีใจมุ่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยการชี้นำของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์
พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีการให้มันเป็นจริงขึ้นมา พอใจจดจ่อเรื่องใดมาก ๆ เข้า
ก็จะไปเหนี่ยวนำจนกระทั่งสุดท้ายพบวิธีทำให้เรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้นให้เรารู้เถิดว่า มนุษย์มีขีดความสามารถที่แทบจะเรียกว่าไร้ขีดจำกัด
ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจจริง
เพราะฉะนั้นอย่าไปจำกัดกรอบตัวเองด้วยความคิดว่าเป็นไปไม่ได้
อย่าเอาความรู้ปัจจุบันมาครอบตัวเองจนกระทั่งไม่กล้าจะกระดิกออกไปนอกกรอบ
ปฏิเสธทุกอย่างที่อยู่นอกกะลาว่าไม่จริง
เพราะเห็นอยู่แค่ในกะลาโลก มีแค่ในกะลาเท่านั้น
ใครติดกรอบความรู้ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากกบในกะลา ถ้าออกนอกกะลาแล้วจะพบว่า
ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกตั้งเยอะ และจะไปถึงได้ด้วยจินตนาการ
แล้วก็ย้อนกลับมาเอาฐานความรู้ปัจจุบันไปพิสูจน์คิดค้นให้จินตนาการนั้นเป็นความจริง
ถ้าจะแก้คนที่ขาดจินตนาการ
ต้องแก้ทัศนคติตรงนี้ก่อน พอแก้ทัศนคติได้ ก็ค่อย ๆ ฝึกจินตนาการ
ลองขีดเขียนวาดรูป ลองฝึกใช้สมองซีกขวาบ้าง ไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองอย่างเดียว
ให้อยู่กับเรื่องราวที่เป็นศิลปะบ้างแล้วก็นั่งสมาธิให้ใจนิ่ง ๆ ด้วย คนเราพอใจนิ่งจินตนาการจะยิ่งเกิด
เพราะมันเป็นการเคลียร์ใจให้หลุดจากกรอบความคิดที่ถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว มนุษย์ปัจจุบันถูกครอบทั้งนั้น
จะมากจะน้อย แม้คนที่มีจินตนาการดีก็ถูกครอบ แต่ถูกครอบน้อยหน่อยเท่านั้นเอง
การครอบไม่ได้มีแต่เรื่องวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แม้เรื่องทางสังคมก็มี
ตัวเราโตมาอย่างไร ถูกปลูกฝังมาอย่างไร ก็จะคิดอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว
คนที่ฉลาดคือคนที่สามารถมองกรอบที่ครอบตัวเองเอาไว้ได้
แล้วสามารถหลุดกรอบออกมาได้
นั้นคือคนที่มีปัญญาและมีจินตนาการ การนั่งสมาธิทำใจนิ่ง ๆ
คือการเคลียร์กรอบทั้งหลายให้เกลี้ยงออกไปจากใจ
จะทำให้ใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็เป็นจินตนาการทางบวกด้วย
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๘ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
พลังของจินตนาการ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:01
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: